ไม่ไดว่าตัวเองเก่ง หรือทำได้ แต่ผมสงสัยว่าสิ่งที่เกิดมันเวอร์ไปมั้ยมีคนทำแล้วเป็นแบบผมมั้ย
ผมบวชใช้เวลาไม่กี่เดือน แล้วรู้สึกว่านั่งลงลึกมากถึงระดับไหนไม่แน่ใจ แล้วนั่งได้แค่ครั้งเดียว แล้วไม่กล้านั่งอีกเลย
ผมตัดเรื่องราวบางตอนในชีวิตจิงหลังจากการบวช จากคนที่ไม่เคยเชื่อพอได้สัมผัส ทำให้รู้ว่าพระธรรมนั้นลึกซึ่งยิ่งนัก
สังเกตจากการพิมพ์ ผมไม่รู้เรื่องวิปัสนากรรมฐาน หรือคำบาลีเท่าไหร่ รู้บ้างเพียงเล็กน้อย พอเป็นแนวทาง วัดที่ผมบวชเป็นวัดบ้านนอกมีแต่ป่า มีสิ่งลี้ลับเยอะจนทำให้ผมอธิฐานจิตภวนาให้ชนะได้ทุกความกลัวในสมาธิครั้งนี้ โดยผมนั่งหน้าพระพุทธรูปของพระองค์ในศาลาวัด แล้วนั่งนานมากครับ
นี้คือเรื่องเต็มสนใจอ่านดูแล้วติฉินได้ครับ
http://pantip.com/topic/34062072
ผมแค่ตัดมาบางส่วน เพื่อให้ผู้รู้ชี้แนะ
วิจารณ์ได้เต็มที่ครับ
ต่อครับหลังจากที่ผม อยู่ในอารมณ์สมาธิแล้ว ลมพายุอย่างแรงครับพัดใบไม้ข้าวพังกระจุยกระเต็มศาลาไฟดับหมดวัด
คาดว่าน่าจะเป็นพายุพวกโซนร้อน ความรู้สึกผมไม่เกี่ยวกับสิ่งที่มองไม่เห็นนะครับ ผมตัดสิ้นใจลืมตาครับ ตอนนั้นถึงผมจะลืมตาแต่ผมยังอยู่ในภาวะสมาธิ ปราศจากความกลัวคับ ผมหยิบไฟฉายมาแล้วส่องดูนาฬิกาที่ติดอยู่บนเสาศาลาครับ ตอนนั้นเป็นเวลา 22:48 คือผมนั่งนานมาก น่าจะนั่งมาตั้งแต่ทึ่มกว่าแปลกใจตัวเองเหมือนกัน
ผมยังไม่เก็บข้าวของในศาลาครับตอนนั้น เพราะกุฏิผมยังมีผ้า สบง จีวร ตากอยู่ ครับตอนนั้นผมหยิบไฟฉายแล้วเดินออก
จากศาลา แต่ก็ต้องอึ่งคับผมลุกขึ้นเดินก้าวแรก จากจุดที่นั่ง คือก้าวนั่นแตะพื้นศาลา ทำไมเหมือนก้าวนั้นมีความหมายกับชีวิตผม คนเราปกติเดินจะไม่ค่อยสนใจว่าเวลาก้าวเท้าลงเหยียบพื้นว่าเกิดอะไรขึ้นหรือรู้สึกอะไร เพราะมันไม่ได้สำคัญกับชีวิตคนปกติ มากนัก
แต่คับขอใช้คำว่าแต่ คนที่นั่งสมาธิแล้วลืมตา แล้วยังไม่เอาจิตออกจะสมาธิ คือผมนั้นเอง ผมก้าวเท้าเหยียบลงพื้นแต่ล่ะครั้ง ผมพิจรณาการเหยียบพื้น ให้ความสำคัญในการเดิน อารมณ์อยู่ในการเดิน ไม่ได้อยู่ที่ลมพายุ แล้วผมเดินช้าๆไปเรื่อยๆ(เหมือนแต่ล่ะก้าวมีเรามีสมาธิรู้ในสิ่งที่ทำตอนนี้คือปัจจุบัน แล้วมองสิ่งที่ตนกำลังทำ ไม่วอกแวะกับสิ่งอื่น)
ครับผมเดินมาถึงกุฏิ ตอนนั้นมืดมาก ผมเก็บผ้าเสร็จ ผมพิจรณา ความมืดตอนนั้นยังไม่เข้ากุฏิ ผมเพ่งไปในความมืดสิ่งที่ผมเคยกลัว ผมเพ่งมองรอบๆความมืด อยู่ค่อนข้างนาน แต่ครั้งนี้แปลกครับ ผมกลับไม่รู้สึก กลัว หรือ คิดว่าในความมืดนั้นคืออะไร เพราะตอนนั้นในหัวผมไม่มีความคิดครับ ทุกอย่างยังโล่งเหมือนอารมณ์ยังอยู่ในสมาธิ แล้วกับมาถามตัวเองว่ากลัวความมืด หรือสิ่งที่อยู่ในความมืด พอตะหนักว่าเรากลัวสองสิ่งนี้นี่เอง
ทำให้ผมชนะความกลัวด้วยสมาธิคับ แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นสิครับเพราะนี้ รู้สึกจะเป็นบททดสอบสุดท้ายของผม
ที่ทำให้เกือบแย่เลยครับ ผมกลับเข้ากุฏิโดยที่ไม่จุดตะเกียงใส่ถ่านที่โยมยายมาถวาย
ทีนี้ผมรู้สึกว่าร้อนเพราะไฟมันดับ ผมตัดสิ้นใจนั่งสมาธิในความมืด คราวนี้ผมนั่งนานจนตกลึกเข้าไปอีกขั้น ผมได้ยินเสียงคนหัวเราะข้างนอกกุฏิ นะตอนนั้นผมไม่ได้เอ่ยออกเสียงครับ ผมตั้งจิตภาวะนาว่า ภูตผีปีศาจ สัมภเวสี หรือมารใดๆ ทั้งหลายแหล่ ตอนที่จิตเราอยู่นอกสมาธิ อย่าได้มาส่งเสียง หรือ รบกวนจนทำให้เราเกิดความกลัว
ถ้าพวกท่านมีเรื่องอะไร หรือต้องการอะไร ขอให้มาหาเราในตอนที่เรา กำลังเจริญจิตภาวนา
ทันทีที่สิ้นคำขอ ของผมนั้น เป็นเหมือนตัวอะไรไม่รู้เลยคับเพราะ ผมใช้จิตมองไม่ลืมตา ย้ำนะครับตอนนั้นผมนั่งสมาธิอยู่
สิ่งนั้นยืดตัวลงมาผมเห็นทุกอย่างตอนนั้นเห็นแม้กระทั่งตัวเองนั่ง แล้วสิ่งนั้นเอ่ยปากขึ้นว่า มากับเราสิ ผมตอบว่าได้เราจะไปด้วย ตอนนั้นไม่ได้กลัวเลยคับ เพราะอยู่ในสมาธิ แล้ว…
สิ่งนั้นดึงตัวผมหรือจิตผมค่อยๆยืดขึ้นจากการนั่งสมาธิ ก่อนจะหลุดออกจากร่างผมหันหลังกับมา เห็นตัวเองนั่งอยู่ในความมืด
แล้วจิตผมก็หลุดปึดขึ้นมา รู้สึกว่าลอยตามสิ่งนั้นไปได้สักพัก ทุกอย่างที่จิตผมเห็นคือเป็นเหมือนเป็นสีแดง แล้วแดงขึ้นเรื่อยๆ สักพักเหมือนจิตเราพุ่งลงไปที่ไหนสักแห่ง คือผมไม่ได้กลัวเลยครับตอนนั้น แค่ความรู้สึกผมบอกว่าไม่ค่อยดีแล้ว เพราะแสงสีแดงมันแดงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้แสบตา ผมเลยตัดสิ้นใจตั้งจิตภาวนา สวดพระคาถาพาหุง ผมสวดได้ครึ่งบท แสงสีแดงหายผมลืมตา เห็นแต่ความมืด แล้วตัวเองรู้สึกเย็นๆทั้งตัว ปรากฏว่า จับดูตัวแระจีวรเปียก (ตอนนั่งยังไม่ได้ถอดจีวร) ตัวผมเปียกด้วยเหงื่อ คือตอนผมนั่งไฟดับ แล้วอากาศร้อนมาก ผมไม่รู้ว่าตัวเองหลุดไปไหนมา แต่ตัวผมเปียกมากเหมือนพึ่งโดนน้ำสาด
อารมณ์ผมตอนลืมตาคือจิตผมได้หลุดออกจากสมาธิแล้วคับ เป็นอารมณ์ของคนปกติ คิดไปต่างนาๆ เกิดความกลัวแต่ไม่ถึงกับ ตื่นตะหนก
ปรากฏว่าคืนนั้นไฟไม่มา ผมถือตะเกียงใส่ถ่านไปอาบน้ำแล้ว ทำกิจวัตรเสร็จสิ้น แล้วนอน
หรืออีกตอนครับไขข้อสงสัยกลับหลวงพี่ไท
จิตถึงระดับไหน
ผมบวชใช้เวลาไม่กี่เดือน แล้วรู้สึกว่านั่งลงลึกมากถึงระดับไหนไม่แน่ใจ แล้วนั่งได้แค่ครั้งเดียว แล้วไม่กล้านั่งอีกเลย
ผมตัดเรื่องราวบางตอนในชีวิตจิงหลังจากการบวช จากคนที่ไม่เคยเชื่อพอได้สัมผัส ทำให้รู้ว่าพระธรรมนั้นลึกซึ่งยิ่งนัก
สังเกตจากการพิมพ์ ผมไม่รู้เรื่องวิปัสนากรรมฐาน หรือคำบาลีเท่าไหร่ รู้บ้างเพียงเล็กน้อย พอเป็นแนวทาง วัดที่ผมบวชเป็นวัดบ้านนอกมีแต่ป่า มีสิ่งลี้ลับเยอะจนทำให้ผมอธิฐานจิตภวนาให้ชนะได้ทุกความกลัวในสมาธิครั้งนี้ โดยผมนั่งหน้าพระพุทธรูปของพระองค์ในศาลาวัด แล้วนั่งนานมากครับ
นี้คือเรื่องเต็มสนใจอ่านดูแล้วติฉินได้ครับhttp://pantip.com/topic/34062072
ผมแค่ตัดมาบางส่วน เพื่อให้ผู้รู้ชี้แนะ
วิจารณ์ได้เต็มที่ครับ
ต่อครับหลังจากที่ผม อยู่ในอารมณ์สมาธิแล้ว ลมพายุอย่างแรงครับพัดใบไม้ข้าวพังกระจุยกระเต็มศาลาไฟดับหมดวัด
คาดว่าน่าจะเป็นพายุพวกโซนร้อน ความรู้สึกผมไม่เกี่ยวกับสิ่งที่มองไม่เห็นนะครับ ผมตัดสิ้นใจลืมตาครับ ตอนนั้นถึงผมจะลืมตาแต่ผมยังอยู่ในภาวะสมาธิ ปราศจากความกลัวคับ ผมหยิบไฟฉายมาแล้วส่องดูนาฬิกาที่ติดอยู่บนเสาศาลาครับ ตอนนั้นเป็นเวลา 22:48 คือผมนั่งนานมาก น่าจะนั่งมาตั้งแต่ทึ่มกว่าแปลกใจตัวเองเหมือนกัน
ผมยังไม่เก็บข้าวของในศาลาครับตอนนั้น เพราะกุฏิผมยังมีผ้า สบง จีวร ตากอยู่ ครับตอนนั้นผมหยิบไฟฉายแล้วเดินออก
จากศาลา แต่ก็ต้องอึ่งคับผมลุกขึ้นเดินก้าวแรก จากจุดที่นั่ง คือก้าวนั่นแตะพื้นศาลา ทำไมเหมือนก้าวนั้นมีความหมายกับชีวิตผม คนเราปกติเดินจะไม่ค่อยสนใจว่าเวลาก้าวเท้าลงเหยียบพื้นว่าเกิดอะไรขึ้นหรือรู้สึกอะไร เพราะมันไม่ได้สำคัญกับชีวิตคนปกติ มากนัก
แต่คับขอใช้คำว่าแต่ คนที่นั่งสมาธิแล้วลืมตา แล้วยังไม่เอาจิตออกจะสมาธิ คือผมนั้นเอง ผมก้าวเท้าเหยียบลงพื้นแต่ล่ะครั้ง ผมพิจรณาการเหยียบพื้น ให้ความสำคัญในการเดิน อารมณ์อยู่ในการเดิน ไม่ได้อยู่ที่ลมพายุ แล้วผมเดินช้าๆไปเรื่อยๆ(เหมือนแต่ล่ะก้าวมีเรามีสมาธิรู้ในสิ่งที่ทำตอนนี้คือปัจจุบัน แล้วมองสิ่งที่ตนกำลังทำ ไม่วอกแวะกับสิ่งอื่น)
ครับผมเดินมาถึงกุฏิ ตอนนั้นมืดมาก ผมเก็บผ้าเสร็จ ผมพิจรณา ความมืดตอนนั้นยังไม่เข้ากุฏิ ผมเพ่งไปในความมืดสิ่งที่ผมเคยกลัว ผมเพ่งมองรอบๆความมืด อยู่ค่อนข้างนาน แต่ครั้งนี้แปลกครับ ผมกลับไม่รู้สึก กลัว หรือ คิดว่าในความมืดนั้นคืออะไร เพราะตอนนั้นในหัวผมไม่มีความคิดครับ ทุกอย่างยังโล่งเหมือนอารมณ์ยังอยู่ในสมาธิ แล้วกับมาถามตัวเองว่ากลัวความมืด หรือสิ่งที่อยู่ในความมืด พอตะหนักว่าเรากลัวสองสิ่งนี้นี่เอง
ทำให้ผมชนะความกลัวด้วยสมาธิคับ แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นสิครับเพราะนี้ รู้สึกจะเป็นบททดสอบสุดท้ายของผม
ที่ทำให้เกือบแย่เลยครับ ผมกลับเข้ากุฏิโดยที่ไม่จุดตะเกียงใส่ถ่านที่โยมยายมาถวาย
ทีนี้ผมรู้สึกว่าร้อนเพราะไฟมันดับ ผมตัดสิ้นใจนั่งสมาธิในความมืด คราวนี้ผมนั่งนานจนตกลึกเข้าไปอีกขั้น ผมได้ยินเสียงคนหัวเราะข้างนอกกุฏิ นะตอนนั้นผมไม่ได้เอ่ยออกเสียงครับ ผมตั้งจิตภาวะนาว่า ภูตผีปีศาจ สัมภเวสี หรือมารใดๆ ทั้งหลายแหล่ ตอนที่จิตเราอยู่นอกสมาธิ อย่าได้มาส่งเสียง หรือ รบกวนจนทำให้เราเกิดความกลัว
ถ้าพวกท่านมีเรื่องอะไร หรือต้องการอะไร ขอให้มาหาเราในตอนที่เรา กำลังเจริญจิตภาวนา
ทันทีที่สิ้นคำขอ ของผมนั้น เป็นเหมือนตัวอะไรไม่รู้เลยคับเพราะ ผมใช้จิตมองไม่ลืมตา ย้ำนะครับตอนนั้นผมนั่งสมาธิอยู่
สิ่งนั้นยืดตัวลงมาผมเห็นทุกอย่างตอนนั้นเห็นแม้กระทั่งตัวเองนั่ง แล้วสิ่งนั้นเอ่ยปากขึ้นว่า มากับเราสิ ผมตอบว่าได้เราจะไปด้วย ตอนนั้นไม่ได้กลัวเลยคับ เพราะอยู่ในสมาธิ แล้ว…
สิ่งนั้นดึงตัวผมหรือจิตผมค่อยๆยืดขึ้นจากการนั่งสมาธิ ก่อนจะหลุดออกจากร่างผมหันหลังกับมา เห็นตัวเองนั่งอยู่ในความมืด
แล้วจิตผมก็หลุดปึดขึ้นมา รู้สึกว่าลอยตามสิ่งนั้นไปได้สักพัก ทุกอย่างที่จิตผมเห็นคือเป็นเหมือนเป็นสีแดง แล้วแดงขึ้นเรื่อยๆ สักพักเหมือนจิตเราพุ่งลงไปที่ไหนสักแห่ง คือผมไม่ได้กลัวเลยครับตอนนั้น แค่ความรู้สึกผมบอกว่าไม่ค่อยดีแล้ว เพราะแสงสีแดงมันแดงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้แสบตา ผมเลยตัดสิ้นใจตั้งจิตภาวนา สวดพระคาถาพาหุง ผมสวดได้ครึ่งบท แสงสีแดงหายผมลืมตา เห็นแต่ความมืด แล้วตัวเองรู้สึกเย็นๆทั้งตัว ปรากฏว่า จับดูตัวแระจีวรเปียก (ตอนนั่งยังไม่ได้ถอดจีวร) ตัวผมเปียกด้วยเหงื่อ คือตอนผมนั่งไฟดับ แล้วอากาศร้อนมาก ผมไม่รู้ว่าตัวเองหลุดไปไหนมา แต่ตัวผมเปียกมากเหมือนพึ่งโดนน้ำสาด
อารมณ์ผมตอนลืมตาคือจิตผมได้หลุดออกจากสมาธิแล้วคับ เป็นอารมณ์ของคนปกติ คิดไปต่างนาๆ เกิดความกลัวแต่ไม่ถึงกับ ตื่นตะหนก
ปรากฏว่าคืนนั้นไฟไม่มา ผมถือตะเกียงใส่ถ่านไปอาบน้ำแล้ว ทำกิจวัตรเสร็จสิ้น แล้วนอน
หรืออีกตอนครับไขข้อสงสัยกลับหลวงพี่ไท