
โรบิน เซียน

ท่านๆทั้งหลายคงรู้จักกันดีเกี่ยวกับโจรใจบุญอย่าง โรบิน ฮูด ผู้ปล้นคนรวยแล้วนำสิ่งที่ปล้นมาแจกจ่ายให้กับคนจน เรื่องราวของโรบิน ฮูด เกิดขึ้นเมื่อครั้งอดีตกาลราวศตวรรษที่ 19 เสียงชื่อและคุณงามความดีของเขาถูกเล่าขานเรื่อยมานานเป็นร้อยปี ผู้คนต่างเรียกเขาว่า
“วีรีบุรุษนอกกฎหมาย”
เรื่องราวของ โรบิน ฮูด ไม่เพียงแต่หยุดแค่นั้น เรื่องของเขายังถูกหยิบมาทำเป็นภาพยนตร์ อย่างที่หลายท่านคงพอจะรู้จักได้ดูได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ และชื่นชอบในความเก่งกาจความดีของ โรบิน ฮูด
เช่นเดียวกับไอ้เซียนบุรุษหนุ่มบ้านโนนผักแว่น มันชื่นชอบ โรบิน ฮูด เป็นชีวิตจิตใจ จิตไร้สำนึกลามไปจนถึงจิตใต้สำนึกของมันเลยทีเดียว
มันประกาศตนอย่างเป็นทางการผ่านวิทยุกระจายเสียงของหมู่บ้าน หลังจากที่มันพยายามยื้อแย่งไมโครโฟนจากผู้ใหญ่บ้าน จนผู้ใหญ่บ้านต้องยอมยกให้มันแต่โดยดี ไม่เช่นนั้นมันจะกัดหูผู้ใหญ่ให้ขาดไปเลย—นี้คือคำขู่ของมัน ที่หยิบยื่นให้แก่หัวหน้าหมู่บ้าน
“ประกาศ ประกาศ ข้าไอ้เซียน ต่อแต่นี้ไป จงเรียกข้าว่า โรบิน เซียน และหากใครต้องการความช่วย โปรดเรียกข้าได้ทันที ข้าจะช่วยเหลือทุกคนที่เรียกข้าว่า โรบิน เซียน โปรดจำให้ขึ้นใจ โรบิน เซียน ขอบคุณ สวัสดี จุ๊บจุ๊บ”
สิ้นเสียงประกาศของไอ้เซียนผู้คนในหมู่บ้านต่างหัวเราะขบขำ บางคนได้แต่ส่ายศีรษะไปมากับความพิลึกพิลั่นของไอ้เซียน แม้แต่มารดาของมันเอง ซึ่งกำลังทำอาหารอยู่ ท่านตกใจกับเสียงของลูกชาย จนเผลอเทน้ำปลาใส่แกงจืดจนหมดขวด แกงจืดของป้าปิ่นมารดาของไอ้เซียนเลื่องลือไปไกลสามบ้านแปดบ้านกับความไม่จืดของแกงจืด น่าอัปยศอดสูยิ่งนักกับคนเป็นแม่บ้านอย่างป้าปิ่น แกโมโหลูกชายจนเลือดขึ้นหน้า ที่เป็นสาเหตุให้แกงจืดดันไม่จืด ดั่งที่ตั้งใจไว้
ไอ้เซียนเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบปีบริบูรณ์ มันเป็นคนรูปร่างสูงโปร่งดวงตาเล็ก จมูกโต ฟันเหยิน หน้าบานและใหญ่ราวกับฝาปิดโอ่งมังกร ผมสีทองรากไทรเก๋ไก๋ มันชอบใส่กางเกงยีนส์ขาเดฟสีเขียว กับเสื้อยืดสีเหลือง และมีผ้าเช็ดหน้าสีแดงผูกเป็นโบว์น่ารักๆไว้ที่คอ มันเลียนแบบอย่างอินทรีแดงหนังโปรดของมันอีกเรื่อง เวลาเดินมันชอบยักไหล่ไปด้วย มันถือว่าเป็นท่าเดินที่เท่ที่สุด
ไอ้เซียนจบการศึกษาเพียงมอสองครึ่ง เกือบถึงมอสาม เพราะมันสอบตกและดันไปตบกะโหลกผอ. มันจึงต้องออกจากโรงเรียนด้วยใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข
“เย้ๆ ข้าไม่ต้องไปเรียนแล้วโว้ย” ไอ้เซียนในวัยสิบสี่ร้องตะโกนด้วยความดีใจ มันโยนกระเป๋านักเรียนไปกองไว้กลางบ้าน ก่อนจะซิ่งมอไซด์รุ่นดัดแปลงท่อไอเสียมาใหม่ บิดแต่ละทีรับรองดังกระหึ่มไปทั่วหมู่บ้าน
ไอ้เซียนใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาเรื่อยมาจนถึงวัยยี่สิบปี มันตั้งตนเป็นหัวหน้าแก๊งเด็กแว๊นประจำหมู่บ้าน มันขนานนามแก๊งของมันว่า
“เซมามี” หรือจะเรียกเต็มๆก็ได้ว่า
“เซมามีเตะ ถ้าเมิงไม่เข็ด กูจะเด็ดหัวเมิง” ไอ้เซียนจึงมีรูปย่อให้กับชื่อแก๊งแค่ เซมามี บางคนก็แอบเติม จัง ให้แก๊งมัน จนกลายเป็น
“เซมามีจัง”
แก๊งของมันมีสมาชิกทั้งหมดหกคน สมุนของไอ้เซียนล้วนเป็นเด็กประถม ที่ยอมจำนนมาเป็นลูกน้องให้แก่มัน เนื่องด้วยไอ้เซียนเป็นคนหน้าใหญ่และใจป้ำเป็นนิสัย มันเลี้ยงลูกสมุนได้ไม่อั้น แม้มันจะต้องเป็นหนี้ตามร้านขายของก็ตาม ขอแค่ให้ลูกสมุนของมันได้อิ่มท้องมันก็พึงพอใจเป็นที่สุด
“ไอ้เซียน ค่าไอติมยี่สิบบาท ติดมาสามวันแล้วนะ เมื่อไหร่จะเอามาจ่ายซักที” เจ๊นวลเจ้าของร้านชำประจำหมู่บ้านตะโกนทวงเงินลูกหนี้ทันที ที่ลูกหนี้เดินเข้ามาในร้าน
“จ่ายสิบบาทก่อนล่ะกัน วันนี้ข้ามีอยู่แค่นี้ ไว้วันข้างหน้าข้าจะเอาอีกสิบบาทมาคืน ข้าให้คำมั่นสัญญา” ไอ้เซียนกล่าวเสียงดังหนักแน่น วาจากล้าหาญเด็ดเดี่ยว พร้อมวางเงินเหรียญสิบไว้ที่โต๊ะ แล้วมันก็เดินออกจากร้านด้วยจิตใจอันภาคภูมิกับการได้นำเงินสิบบาทมาคืนให้เจ้าหนี้
ไอ้เซียนเดินอ้อยอิ่งกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี มันแวะทักทายผู้คนในหมู่บ้านด้วยความเป็นมิตร แต่หากมันเห็นบ้านไหนมีรั้วกั้นปิดมิดชิด และยังมีผลมะม่วงที่ถูกห่อหุ้มด้วยกระดาษ มันจะค่อยๆย่องไปขโมยผลมะม่วงนั้นจนเกลี้ยงต้นแล้วนำมาแจกจ่ายให้กับลูกสมุนของมัน
ไอ้เซียนเดินผิวปากด้วยใจเป็นสุข ก่อนที่สายตาของมันจะไปสะดุดกับหญิงสาวแสนสวย น้องใบเฟิร์นสาวงามในใจของมัน คนที่มันแอบชอบมาตั้งแต่ประถม บัดนี้น้องใบเฟิร์นเติบโตเป็นสาวแสนสวยที่งดงามที่สุดในหมู่บ้าน
ร่างกายของไอ้เซียนชาไปทั่วทั้งตัว มันยืนยิ้มกว้างให้กับหญิงสาวที่มันแอบรัก พร้อมส่งแววตาหวานหยาดเยิ้มไปให้น้องใบเฟิร์น จนแมลงหวี่บินมาตอมรอบดวงตามัน มันหาได้สนใจแมลงหวี่ไม่ มันปล่อยให้แมลงหวี่บินว่อนรอบดวงตามันอย่างพอใจ เนื่องด้วยร่างกายของมันไม่ตอบสนองต่ออะไรทั้งนั้น แม้แต่มือของมันยังไม่มีแรงยกขึ้นมาปัดพัดแมลงหวี่ตัวน้อยๆเหล่านั้น
นานเหลือเกินที่มันไม่ได้เจอน้องใบเฟิร์น ตั้งแต่น้องใบเฟิร์นไปเรียนต่อที่กรุงเทพ กลับมาคราวนี้น้องใบเฟิร์นสวยงามหยาดฟ้ามาสู่ดิน โสภิณดั่งเดือนดวง มันจึงอยากขอมองให้หนำใจ รักของมันเพียงได้มองก็สุขใจ
แต่น่าเห็นใจมันยิ่งนักเมื่อสาวที่แอบรัก มิได้รู้สึกไยดีกับมันเลย หล่อนมองมันราวกับเป็นกิ้งกือ ไส้เดือนก็ไม่ปาน หล่อนสะบัดหน้าบูดบึ้งใส่มันก่อนจะรีบเดินหายวับเข้าไปในบ้านทันที หัวใจของไอ้เซียนสะทกสะท้านเจ็บปวดแทบจะกระอักเลือดออกมาเสียให้ได้ เพียงรอยยิ้มอันเล็กน้อย ของน้องนางคนสวยก็ไม่มีให้แก่มัน
“อาจเป็นเพราะน้องเขาไม่รู้ ว่าเอ็งชอบน้องเขาอยู่” เสียงหนึ่งกระซิบข้างหูของมัน
“ใช่ๆ ว่ะ ข้าว่าอาจเป็นไปได้” ไอ้เซียนตอบโต้เสียงนั่นกลับทั้งๆที่มันไม่รู้ว่าเสียงนั่นมาจากที่ใด
“เอ็งต้องหาทางบอกความในใจให้น้องใบเฟิร์นได้รับรู้ ก่อนที่น้องจะกลับกรุงเทพ” เสียงนั่นกระซิบข้างหูของมันอีกครั้ง
“ใช่ๆ ข้าจะไปบอกน้องใบเฟิร์นว่าข้ารักน้องใบเฟิร์นมากแค่ไหน” ไอ้เซียนตอบกลับ น้ำเสียงฮึกเหิมกล้าหาญ
ไอ้เซียนกลับบ้านด้วยหัวใจพองโตคืนนี้ล่ะที่มันจะบอกความในใจกับน้องใบเฟิร์น มันขังตัวเองไว้ในห้องเดินวนไปวนมารอบห้องนอน พยายามคิดหาวิธีสารภาพรัก มันเดินเกาหัวตัวเองจนผมร่วงหล่นมากองที่พื้นเป็นกระจุก
เกิดมาในชีวิตนี้ของมัน ยังไม่เคยสารภาพรักใคร งานนี้ถือว่าเป็นงานช้างของมันจริงๆ และแล้วสิ่งหนึ่งก็แว่บขึ้นมาในหัวของมัน ไอ้เซียนกระโดดขึ้นไปนอนคว่ำบนที่นอน ในมือมีปากกาหมึกใกล้หมด กับสมุดพระราชทานปกสีน้ำตาล ที่มันเคยได้ตอนเป็นนักเรียน สมุดยังคงใหม่เอี่ยมอ่องเพราะมันไม่เคยได้ใช้งานเลย
แล้วมันก็ลงมือเขียนจดหมายรักด้วยสำนวนภาษไทยแบบผิดๆถูกๆ ของเด็กนักเรียนที่สอบตกภาษาไทยอยู่เป็นนิจ
ถึง น่องใบเฟิร์นที่น่ารัก
เพ่เซียนหัวหน้าแก๊งเซมามี รู้สึกดีจัยมากเรยนะ ที่ได้เจอกับน่องใบเฟิร์นเมื้อตอนกลางวัน
น่องใบเฟิร์นสวยขึ่นเยอะจนเพ่เซียนจำไม่ได่เรย อิอิ เพ่นึกว่าตัวเองได่เห้นนางฟ้าเสียอีก
ตลอดเวลาที่น่องใบเฟิร์นไปเรียนที่กุงเทพ เพ่เซียนคิดถึงน่องใบเฟิร์นทุกลมหายจัย
เพ่มีคาวมในใจอยากบอกน่องใบเฟิร์น ว่าเพ่แอบรักน้องใบเฟิร์นมานานแร้ว
หวังว่าน่องใบเฟิร์นจะเห้นคาวมรักและคาวมจริงใจของเพ่เซียนที่มีต่อน่องใบเฟิร์น
ด้วยรักและคิดถึง
เพ่เซียน
เขียนเสร็จไอ้เซียนรีบพับจดหมายสอดใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงของมัน มันรอให้ถึงยามวิกาลช่วงเวลาที่ทุกคนหลับใหล มันจะนำจดหมายอันหวานซึ้งนี้ไปให้น้องใบเฟิร์น มันนอนดิ้นอยู่บนเตียง ปากหัวเราะคิกคักด้วยความเคอะเขิน ในจดหมายที่ตนเขียน
สี่ทุ่มครึ่งได้เวลานำจดหมายไปส่ง ไอ้เซียนเลือกปั่นจักรยานเนื่องด้วยมอไซด์ของมันเสียงดัง กลัวจะทำให้คนในหมู่บ้านสะดุ้งตื่น จนอาจล่วงรู้ภารกิจสารภาพรักของมัน
ไอ้เซียนปั่นจักรยานด้วยความเร็วประดุจรถไฟฟ้าความเร็วสูงชิงกันเซ็น มันพุ่งทะยานผ่านความมืดมิดของหมู่บ้าน มีเพียงแสงจันทร์สาดส่องประกายลงมาทำให้พื้นข้างล่างไม่มืดมิดจนเกินไป
ถึงหน้าบ้านน้องใบเฟิร์นไอ้เซียนทิ้งจักรยานไปกองที่พื้น ก่อนจะค่อยๆย่องเดินอ้อมไปหลังบ้าน มันมองขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน ห้องหนึ่งเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ มีผ้าม่านสีชมพูถูกปิดบังหน้าต่างนั่น สายลมพัดมากระทบผ้าม่านจนเผยให้เห็น พื้นผนังของห้องที่ทาด้วยสีชมพู
แสงไฟในห้องสว่างไสวบ่งบอกให้รู้ว่า เจ้าของห้องยังไม่นอน ไอ้เซียนรีบล้วงลงไปในกระเป๋าแล้วหยิบจดหมายออกมา มันก้มหาก้อนหินที่พื้นดิน เลือกเอาก้อนที่พอเหมาะ มันใช้หนังยางมัดจดหมายไว้กับก้อนหิน สูดลมหายใจเฮือกใหญ่เข้าสู่ปอด ก่อนจะโยนก้อนหินนั่นเข้าไปในห้อง เสียงของก้อนหินตกกระทบบนพื้นห้อง
ไอ้เซียนยืนยิ้มแฉ่ง หัวใจเต้นรัวอย่างสุดจะห้าม มือไม้สั่นสะท้าน จะวิ่งไปเสียตอนนี้ขาของมันกลับไม่ทำงาน มันจึงได้แต่ยืนยิ้มเงยหน้ามองผ้าม่านสีชมพูด้วยใจอิ่มเอมแสนเป็นสุข หัวใจของมันล่องลอยไปอยู่กับเจ้าของห้องนั้นแล้ว
“โอ๊ย” ไอ้เซียนร้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อก้อนหินก้อนนั่น ถูกโยนลงมาโดนหน้าผากมันพอดี มันก้มลงเก็บก้อนหินที่มีกระดาษสีขาวห่อหุ้มเอาไว้ มือของมันสั่นเทา ลมหายใจขาดห้วง เมื่อมันค่อยๆคลี่กระดาษนั่นออก
ถึง ไอ้พี่เซียนหน้าผี
ฉันมีแฟนแล้ว อย่ามายุ่ง ฉันไม่ชอบพี่
ใบเฟิร์น
ปล.หัดไปเรียนภาษาไทยใหม่เลยนะ เขียนบ้าอะไร ทำภาษาไทยวิบัติหมด
พออ่านจบหัวใจของไอ้เซียนแตกสลาย น้ำใสๆไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของมัน ความเจ็บปวดรวดร้าวเกาะกุมร่างกายไอ้เซียน ฝังรากหยั่งลึกลงไปในใจ ในหู ในดวงตา ในลำไส้ใหญ่ลำไส้เล็ก หรือแม้แต่สั่นสะเทือนไปจนถึงริดสีดวงที่อยู่ในทวารของมันก็พลอยเจ็บปวดไปด้วย ชีวิตมันหมดสิ้นแล้ว
มันขย้ำจดหมายบีบบดขยี้จนสาแก่ใจ ก่อนจะยัดลงปากตัวเอง มันค่อยๆเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยกลืนกินจดหมายลงท้องด้วยความขื่นขมระทมใจ
ไอ้เซียนวิ่งทะยานกลับบ้านด้วยความเร็วราวนักกรีฑาโอลิมปิก มือสองข้างของมันปาดเช็ดน้ำตา หน้ามูก น้ำลายที่ไหลเปอะเปื้อนแก้ม จิตใจของมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มันลืมแม้กระทั่งจักรยานของตัวเอง
มันวิ่งเข้าบ้าน กระโดดข้ามบิดามารดาที่นอนดูทีวี มันกระโดดได้ไกลและสูงราวกับนักกีฬากระโดดสูงเหรียญทองโอลิมปิกผนวกกับนักกีฬากระโดดไกลอีกทอดหนึ่ง แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ผู้เป็นบิดามารดาไม่ทันสังเกต
ผู้เป็นบิดาสะดุ้งโหยงด้วยความเกรี้ยวโกรธ
“ไอ้ลูกสารเลว ไอ้ลูกเนรคุณ แกเล่นกระโดดข้ามพ่อกับแม่เชียวหรือ คืนนี้ข้าจะเอาเลือดหัวแกออกให้ดู สอนดีไม่ได้ดี แกเตรียมตัวตายเลย” ผู้เป็นบิดาตะโกนลั่นบ้าน ดีดตัวลุกขึ้นไปหยิบมีดอีโต้ในครัว
“พ่อเดี๋ยวก่อน” ผู้เป็นภรรยาเดินมาห้ามปรามสามี สีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง
“เมื่อกี้แม่เห็นลูกร้องไห้ด้วย ลูกอาจมีเรื่องทุกข์ใจอยู่นะพ่อ แม่เลี้ยงลูกมายี่สิบปี ลูกเราไม่ใช่คนที่ร้องไห้อะไรง่ายๆนะ แม่ว่าลองถามลูกก่อนดีไหม” ผู้เป็นภรรยาเอ่ยกับสามี จึงทำให้สามีใจเย็นลง
“เข้าไปดูมันหน่อยเป็นอะไร” สามีบอก
ไอ้เซียนนอนคลุมโปงหดตัวลีบลง น้ำตาไหลพรากอย่างสุดห้าม มารดาเดินมานั่งที่ข้างเตียงนอนมันส่วนบิดายืนรออยู่หน้าห้อง
“เซียน--ลูกเป็นอะไร” มารดาแตะมือลงไปที่ตัวลูก ซึ่งยังนอนคลุมโปงอยู่
“มีอะไรบอกแม่ได้นะ”
“ผมอกหักครับแม่” ไอ้เซียนตอบเสียงสะอื้น และนั่นก็ทำให้ผู้เป็นมารดาเกือบจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมา ไม่นึกไม่ฝันว่าลูกชายจะมีความรัก และทำให้ลูกชายเสียใจร้องไห้ได้ถึงเพียงนี้
“ไม่เป็นไรนะลูกแม่ ใครไม่รักลูก พ่อกับแม่ก็ยังรักลูกเสมอ ลูกคือที่สุดในดวงใจแม่” มารดาพูดกับลูกชาย พลางกับใช้มือตบเบาๆที่ตัวลูกชายซึ่งซ่อนกายอยู่ใต้ผ้าห่ม
ไอ้เซียนดึงผ้าห่มออกจากตัวนั่งเผชิญหน้ากับมารดา และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ผมขอโทษครับแม่ที่ทำตัวไม่ดีมาตลอด ทำให้พ่อกับแม่เสียใจ ต่อจากนี้ไปผมจะกลายเป็นคนใหม่ ผมจะเป็นคนดีให้ได้ ผมจะเป็นลูกที่ดีให้พ่อกับแม่ได้ภูมิใจ” ไอ้เซียนเอ่ยทั้งน้ำตาก่อนจะโผเข้าไปกอดมารดา บิดาที่ยืนแอบดูอยู่หน้าห้องเห็นทุกเหตุการณ์แล้วน้ำตาก็ไหลริน
เรื่องสั้น.... โรบิน เซียน
ท่านๆทั้งหลายคงรู้จักกันดีเกี่ยวกับโจรใจบุญอย่าง โรบิน ฮูด ผู้ปล้นคนรวยแล้วนำสิ่งที่ปล้นมาแจกจ่ายให้กับคนจน เรื่องราวของโรบิน ฮูด เกิดขึ้นเมื่อครั้งอดีตกาลราวศตวรรษที่ 19 เสียงชื่อและคุณงามความดีของเขาถูกเล่าขานเรื่อยมานานเป็นร้อยปี ผู้คนต่างเรียกเขาว่า “วีรีบุรุษนอกกฎหมาย”
เรื่องราวของ โรบิน ฮูด ไม่เพียงแต่หยุดแค่นั้น เรื่องของเขายังถูกหยิบมาทำเป็นภาพยนตร์ อย่างที่หลายท่านคงพอจะรู้จักได้ดูได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ และชื่นชอบในความเก่งกาจความดีของ โรบิน ฮูด
เช่นเดียวกับไอ้เซียนบุรุษหนุ่มบ้านโนนผักแว่น มันชื่นชอบ โรบิน ฮูด เป็นชีวิตจิตใจ จิตไร้สำนึกลามไปจนถึงจิตใต้สำนึกของมันเลยทีเดียว
มันประกาศตนอย่างเป็นทางการผ่านวิทยุกระจายเสียงของหมู่บ้าน หลังจากที่มันพยายามยื้อแย่งไมโครโฟนจากผู้ใหญ่บ้าน จนผู้ใหญ่บ้านต้องยอมยกให้มันแต่โดยดี ไม่เช่นนั้นมันจะกัดหูผู้ใหญ่ให้ขาดไปเลย—นี้คือคำขู่ของมัน ที่หยิบยื่นให้แก่หัวหน้าหมู่บ้าน
“ประกาศ ประกาศ ข้าไอ้เซียน ต่อแต่นี้ไป จงเรียกข้าว่า โรบิน เซียน และหากใครต้องการความช่วย โปรดเรียกข้าได้ทันที ข้าจะช่วยเหลือทุกคนที่เรียกข้าว่า โรบิน เซียน โปรดจำให้ขึ้นใจ โรบิน เซียน ขอบคุณ สวัสดี จุ๊บจุ๊บ”
สิ้นเสียงประกาศของไอ้เซียนผู้คนในหมู่บ้านต่างหัวเราะขบขำ บางคนได้แต่ส่ายศีรษะไปมากับความพิลึกพิลั่นของไอ้เซียน แม้แต่มารดาของมันเอง ซึ่งกำลังทำอาหารอยู่ ท่านตกใจกับเสียงของลูกชาย จนเผลอเทน้ำปลาใส่แกงจืดจนหมดขวด แกงจืดของป้าปิ่นมารดาของไอ้เซียนเลื่องลือไปไกลสามบ้านแปดบ้านกับความไม่จืดของแกงจืด น่าอัปยศอดสูยิ่งนักกับคนเป็นแม่บ้านอย่างป้าปิ่น แกโมโหลูกชายจนเลือดขึ้นหน้า ที่เป็นสาเหตุให้แกงจืดดันไม่จืด ดั่งที่ตั้งใจไว้
ไอ้เซียนเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบปีบริบูรณ์ มันเป็นคนรูปร่างสูงโปร่งดวงตาเล็ก จมูกโต ฟันเหยิน หน้าบานและใหญ่ราวกับฝาปิดโอ่งมังกร ผมสีทองรากไทรเก๋ไก๋ มันชอบใส่กางเกงยีนส์ขาเดฟสีเขียว กับเสื้อยืดสีเหลือง และมีผ้าเช็ดหน้าสีแดงผูกเป็นโบว์น่ารักๆไว้ที่คอ มันเลียนแบบอย่างอินทรีแดงหนังโปรดของมันอีกเรื่อง เวลาเดินมันชอบยักไหล่ไปด้วย มันถือว่าเป็นท่าเดินที่เท่ที่สุด
ไอ้เซียนจบการศึกษาเพียงมอสองครึ่ง เกือบถึงมอสาม เพราะมันสอบตกและดันไปตบกะโหลกผอ. มันจึงต้องออกจากโรงเรียนด้วยใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข
“เย้ๆ ข้าไม่ต้องไปเรียนแล้วโว้ย” ไอ้เซียนในวัยสิบสี่ร้องตะโกนด้วยความดีใจ มันโยนกระเป๋านักเรียนไปกองไว้กลางบ้าน ก่อนจะซิ่งมอไซด์รุ่นดัดแปลงท่อไอเสียมาใหม่ บิดแต่ละทีรับรองดังกระหึ่มไปทั่วหมู่บ้าน
ไอ้เซียนใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาเรื่อยมาจนถึงวัยยี่สิบปี มันตั้งตนเป็นหัวหน้าแก๊งเด็กแว๊นประจำหมู่บ้าน มันขนานนามแก๊งของมันว่า “เซมามี” หรือจะเรียกเต็มๆก็ได้ว่า “เซมามีเตะ ถ้าเมิงไม่เข็ด กูจะเด็ดหัวเมิง” ไอ้เซียนจึงมีรูปย่อให้กับชื่อแก๊งแค่ เซมามี บางคนก็แอบเติม จัง ให้แก๊งมัน จนกลายเป็น “เซมามีจัง”
แก๊งของมันมีสมาชิกทั้งหมดหกคน สมุนของไอ้เซียนล้วนเป็นเด็กประถม ที่ยอมจำนนมาเป็นลูกน้องให้แก่มัน เนื่องด้วยไอ้เซียนเป็นคนหน้าใหญ่และใจป้ำเป็นนิสัย มันเลี้ยงลูกสมุนได้ไม่อั้น แม้มันจะต้องเป็นหนี้ตามร้านขายของก็ตาม ขอแค่ให้ลูกสมุนของมันได้อิ่มท้องมันก็พึงพอใจเป็นที่สุด
“ไอ้เซียน ค่าไอติมยี่สิบบาท ติดมาสามวันแล้วนะ เมื่อไหร่จะเอามาจ่ายซักที” เจ๊นวลเจ้าของร้านชำประจำหมู่บ้านตะโกนทวงเงินลูกหนี้ทันที ที่ลูกหนี้เดินเข้ามาในร้าน
“จ่ายสิบบาทก่อนล่ะกัน วันนี้ข้ามีอยู่แค่นี้ ไว้วันข้างหน้าข้าจะเอาอีกสิบบาทมาคืน ข้าให้คำมั่นสัญญา” ไอ้เซียนกล่าวเสียงดังหนักแน่น วาจากล้าหาญเด็ดเดี่ยว พร้อมวางเงินเหรียญสิบไว้ที่โต๊ะ แล้วมันก็เดินออกจากร้านด้วยจิตใจอันภาคภูมิกับการได้นำเงินสิบบาทมาคืนให้เจ้าหนี้
ไอ้เซียนเดินอ้อยอิ่งกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี มันแวะทักทายผู้คนในหมู่บ้านด้วยความเป็นมิตร แต่หากมันเห็นบ้านไหนมีรั้วกั้นปิดมิดชิด และยังมีผลมะม่วงที่ถูกห่อหุ้มด้วยกระดาษ มันจะค่อยๆย่องไปขโมยผลมะม่วงนั้นจนเกลี้ยงต้นแล้วนำมาแจกจ่ายให้กับลูกสมุนของมัน
ไอ้เซียนเดินผิวปากด้วยใจเป็นสุข ก่อนที่สายตาของมันจะไปสะดุดกับหญิงสาวแสนสวย น้องใบเฟิร์นสาวงามในใจของมัน คนที่มันแอบชอบมาตั้งแต่ประถม บัดนี้น้องใบเฟิร์นเติบโตเป็นสาวแสนสวยที่งดงามที่สุดในหมู่บ้าน
ร่างกายของไอ้เซียนชาไปทั่วทั้งตัว มันยืนยิ้มกว้างให้กับหญิงสาวที่มันแอบรัก พร้อมส่งแววตาหวานหยาดเยิ้มไปให้น้องใบเฟิร์น จนแมลงหวี่บินมาตอมรอบดวงตามัน มันหาได้สนใจแมลงหวี่ไม่ มันปล่อยให้แมลงหวี่บินว่อนรอบดวงตามันอย่างพอใจ เนื่องด้วยร่างกายของมันไม่ตอบสนองต่ออะไรทั้งนั้น แม้แต่มือของมันยังไม่มีแรงยกขึ้นมาปัดพัดแมลงหวี่ตัวน้อยๆเหล่านั้น
นานเหลือเกินที่มันไม่ได้เจอน้องใบเฟิร์น ตั้งแต่น้องใบเฟิร์นไปเรียนต่อที่กรุงเทพ กลับมาคราวนี้น้องใบเฟิร์นสวยงามหยาดฟ้ามาสู่ดิน โสภิณดั่งเดือนดวง มันจึงอยากขอมองให้หนำใจ รักของมันเพียงได้มองก็สุขใจ
แต่น่าเห็นใจมันยิ่งนักเมื่อสาวที่แอบรัก มิได้รู้สึกไยดีกับมันเลย หล่อนมองมันราวกับเป็นกิ้งกือ ไส้เดือนก็ไม่ปาน หล่อนสะบัดหน้าบูดบึ้งใส่มันก่อนจะรีบเดินหายวับเข้าไปในบ้านทันที หัวใจของไอ้เซียนสะทกสะท้านเจ็บปวดแทบจะกระอักเลือดออกมาเสียให้ได้ เพียงรอยยิ้มอันเล็กน้อย ของน้องนางคนสวยก็ไม่มีให้แก่มัน
“อาจเป็นเพราะน้องเขาไม่รู้ ว่าเอ็งชอบน้องเขาอยู่” เสียงหนึ่งกระซิบข้างหูของมัน
“ใช่ๆ ว่ะ ข้าว่าอาจเป็นไปได้” ไอ้เซียนตอบโต้เสียงนั่นกลับทั้งๆที่มันไม่รู้ว่าเสียงนั่นมาจากที่ใด
“เอ็งต้องหาทางบอกความในใจให้น้องใบเฟิร์นได้รับรู้ ก่อนที่น้องจะกลับกรุงเทพ” เสียงนั่นกระซิบข้างหูของมันอีกครั้ง
“ใช่ๆ ข้าจะไปบอกน้องใบเฟิร์นว่าข้ารักน้องใบเฟิร์นมากแค่ไหน” ไอ้เซียนตอบกลับ น้ำเสียงฮึกเหิมกล้าหาญ
ไอ้เซียนกลับบ้านด้วยหัวใจพองโตคืนนี้ล่ะที่มันจะบอกความในใจกับน้องใบเฟิร์น มันขังตัวเองไว้ในห้องเดินวนไปวนมารอบห้องนอน พยายามคิดหาวิธีสารภาพรัก มันเดินเกาหัวตัวเองจนผมร่วงหล่นมากองที่พื้นเป็นกระจุก
เกิดมาในชีวิตนี้ของมัน ยังไม่เคยสารภาพรักใคร งานนี้ถือว่าเป็นงานช้างของมันจริงๆ และแล้วสิ่งหนึ่งก็แว่บขึ้นมาในหัวของมัน ไอ้เซียนกระโดดขึ้นไปนอนคว่ำบนที่นอน ในมือมีปากกาหมึกใกล้หมด กับสมุดพระราชทานปกสีน้ำตาล ที่มันเคยได้ตอนเป็นนักเรียน สมุดยังคงใหม่เอี่ยมอ่องเพราะมันไม่เคยได้ใช้งานเลย
แล้วมันก็ลงมือเขียนจดหมายรักด้วยสำนวนภาษไทยแบบผิดๆถูกๆ ของเด็กนักเรียนที่สอบตกภาษาไทยอยู่เป็นนิจ
ถึง น่องใบเฟิร์นที่น่ารัก
เพ่เซียนหัวหน้าแก๊งเซมามี รู้สึกดีจัยมากเรยนะ ที่ได้เจอกับน่องใบเฟิร์นเมื้อตอนกลางวัน
น่องใบเฟิร์นสวยขึ่นเยอะจนเพ่เซียนจำไม่ได่เรย อิอิ เพ่นึกว่าตัวเองได่เห้นนางฟ้าเสียอีก
ตลอดเวลาที่น่องใบเฟิร์นไปเรียนที่กุงเทพ เพ่เซียนคิดถึงน่องใบเฟิร์นทุกลมหายจัย
เพ่มีคาวมในใจอยากบอกน่องใบเฟิร์น ว่าเพ่แอบรักน้องใบเฟิร์นมานานแร้ว
หวังว่าน่องใบเฟิร์นจะเห้นคาวมรักและคาวมจริงใจของเพ่เซียนที่มีต่อน่องใบเฟิร์น
ด้วยรักและคิดถึง
เพ่เซียน
เขียนเสร็จไอ้เซียนรีบพับจดหมายสอดใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงของมัน มันรอให้ถึงยามวิกาลช่วงเวลาที่ทุกคนหลับใหล มันจะนำจดหมายอันหวานซึ้งนี้ไปให้น้องใบเฟิร์น มันนอนดิ้นอยู่บนเตียง ปากหัวเราะคิกคักด้วยความเคอะเขิน ในจดหมายที่ตนเขียน
สี่ทุ่มครึ่งได้เวลานำจดหมายไปส่ง ไอ้เซียนเลือกปั่นจักรยานเนื่องด้วยมอไซด์ของมันเสียงดัง กลัวจะทำให้คนในหมู่บ้านสะดุ้งตื่น จนอาจล่วงรู้ภารกิจสารภาพรักของมัน
ไอ้เซียนปั่นจักรยานด้วยความเร็วประดุจรถไฟฟ้าความเร็วสูงชิงกันเซ็น มันพุ่งทะยานผ่านความมืดมิดของหมู่บ้าน มีเพียงแสงจันทร์สาดส่องประกายลงมาทำให้พื้นข้างล่างไม่มืดมิดจนเกินไป
ถึงหน้าบ้านน้องใบเฟิร์นไอ้เซียนทิ้งจักรยานไปกองที่พื้น ก่อนจะค่อยๆย่องเดินอ้อมไปหลังบ้าน มันมองขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน ห้องหนึ่งเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ มีผ้าม่านสีชมพูถูกปิดบังหน้าต่างนั่น สายลมพัดมากระทบผ้าม่านจนเผยให้เห็น พื้นผนังของห้องที่ทาด้วยสีชมพู
แสงไฟในห้องสว่างไสวบ่งบอกให้รู้ว่า เจ้าของห้องยังไม่นอน ไอ้เซียนรีบล้วงลงไปในกระเป๋าแล้วหยิบจดหมายออกมา มันก้มหาก้อนหินที่พื้นดิน เลือกเอาก้อนที่พอเหมาะ มันใช้หนังยางมัดจดหมายไว้กับก้อนหิน สูดลมหายใจเฮือกใหญ่เข้าสู่ปอด ก่อนจะโยนก้อนหินนั่นเข้าไปในห้อง เสียงของก้อนหินตกกระทบบนพื้นห้อง
ไอ้เซียนยืนยิ้มแฉ่ง หัวใจเต้นรัวอย่างสุดจะห้าม มือไม้สั่นสะท้าน จะวิ่งไปเสียตอนนี้ขาของมันกลับไม่ทำงาน มันจึงได้แต่ยืนยิ้มเงยหน้ามองผ้าม่านสีชมพูด้วยใจอิ่มเอมแสนเป็นสุข หัวใจของมันล่องลอยไปอยู่กับเจ้าของห้องนั้นแล้ว
“โอ๊ย” ไอ้เซียนร้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อก้อนหินก้อนนั่น ถูกโยนลงมาโดนหน้าผากมันพอดี มันก้มลงเก็บก้อนหินที่มีกระดาษสีขาวห่อหุ้มเอาไว้ มือของมันสั่นเทา ลมหายใจขาดห้วง เมื่อมันค่อยๆคลี่กระดาษนั่นออก
ถึง ไอ้พี่เซียนหน้าผี
ฉันมีแฟนแล้ว อย่ามายุ่ง ฉันไม่ชอบพี่
ใบเฟิร์น
ปล.หัดไปเรียนภาษาไทยใหม่เลยนะ เขียนบ้าอะไร ทำภาษาไทยวิบัติหมด
พออ่านจบหัวใจของไอ้เซียนแตกสลาย น้ำใสๆไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของมัน ความเจ็บปวดรวดร้าวเกาะกุมร่างกายไอ้เซียน ฝังรากหยั่งลึกลงไปในใจ ในหู ในดวงตา ในลำไส้ใหญ่ลำไส้เล็ก หรือแม้แต่สั่นสะเทือนไปจนถึงริดสีดวงที่อยู่ในทวารของมันก็พลอยเจ็บปวดไปด้วย ชีวิตมันหมดสิ้นแล้ว
มันขย้ำจดหมายบีบบดขยี้จนสาแก่ใจ ก่อนจะยัดลงปากตัวเอง มันค่อยๆเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยกลืนกินจดหมายลงท้องด้วยความขื่นขมระทมใจ
ไอ้เซียนวิ่งทะยานกลับบ้านด้วยความเร็วราวนักกรีฑาโอลิมปิก มือสองข้างของมันปาดเช็ดน้ำตา หน้ามูก น้ำลายที่ไหลเปอะเปื้อนแก้ม จิตใจของมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มันลืมแม้กระทั่งจักรยานของตัวเอง
มันวิ่งเข้าบ้าน กระโดดข้ามบิดามารดาที่นอนดูทีวี มันกระโดดได้ไกลและสูงราวกับนักกีฬากระโดดสูงเหรียญทองโอลิมปิกผนวกกับนักกีฬากระโดดไกลอีกทอดหนึ่ง แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ผู้เป็นบิดามารดาไม่ทันสังเกต
ผู้เป็นบิดาสะดุ้งโหยงด้วยความเกรี้ยวโกรธ
“ไอ้ลูกสารเลว ไอ้ลูกเนรคุณ แกเล่นกระโดดข้ามพ่อกับแม่เชียวหรือ คืนนี้ข้าจะเอาเลือดหัวแกออกให้ดู สอนดีไม่ได้ดี แกเตรียมตัวตายเลย” ผู้เป็นบิดาตะโกนลั่นบ้าน ดีดตัวลุกขึ้นไปหยิบมีดอีโต้ในครัว
“พ่อเดี๋ยวก่อน” ผู้เป็นภรรยาเดินมาห้ามปรามสามี สีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง
“เมื่อกี้แม่เห็นลูกร้องไห้ด้วย ลูกอาจมีเรื่องทุกข์ใจอยู่นะพ่อ แม่เลี้ยงลูกมายี่สิบปี ลูกเราไม่ใช่คนที่ร้องไห้อะไรง่ายๆนะ แม่ว่าลองถามลูกก่อนดีไหม” ผู้เป็นภรรยาเอ่ยกับสามี จึงทำให้สามีใจเย็นลง
“เข้าไปดูมันหน่อยเป็นอะไร” สามีบอก
ไอ้เซียนนอนคลุมโปงหดตัวลีบลง น้ำตาไหลพรากอย่างสุดห้าม มารดาเดินมานั่งที่ข้างเตียงนอนมันส่วนบิดายืนรออยู่หน้าห้อง
“เซียน--ลูกเป็นอะไร” มารดาแตะมือลงไปที่ตัวลูก ซึ่งยังนอนคลุมโปงอยู่
“มีอะไรบอกแม่ได้นะ”
“ผมอกหักครับแม่” ไอ้เซียนตอบเสียงสะอื้น และนั่นก็ทำให้ผู้เป็นมารดาเกือบจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมา ไม่นึกไม่ฝันว่าลูกชายจะมีความรัก และทำให้ลูกชายเสียใจร้องไห้ได้ถึงเพียงนี้
“ไม่เป็นไรนะลูกแม่ ใครไม่รักลูก พ่อกับแม่ก็ยังรักลูกเสมอ ลูกคือที่สุดในดวงใจแม่” มารดาพูดกับลูกชาย พลางกับใช้มือตบเบาๆที่ตัวลูกชายซึ่งซ่อนกายอยู่ใต้ผ้าห่ม
ไอ้เซียนดึงผ้าห่มออกจากตัวนั่งเผชิญหน้ากับมารดา และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ผมขอโทษครับแม่ที่ทำตัวไม่ดีมาตลอด ทำให้พ่อกับแม่เสียใจ ต่อจากนี้ไปผมจะกลายเป็นคนใหม่ ผมจะเป็นคนดีให้ได้ ผมจะเป็นลูกที่ดีให้พ่อกับแม่ได้ภูมิใจ” ไอ้เซียนเอ่ยทั้งน้ำตาก่อนจะโผเข้าไปกอดมารดา บิดาที่ยืนแอบดูอยู่หน้าห้องเห็นทุกเหตุการณ์แล้วน้ำตาก็ไหลริน