---Spoiler Alert!---
ยุ่นทำงานอิสระ แต่จริงๆแล้วเขาอยู่ในพื้นที่จำกัดที่ตัวเองสร้างไว้ ซึ่งจากคำบอกเล่า เขาเคยอกหักครั้งสุดท้ายตอนปีสอง และเราเข้าใจว่านับแต่นั้นมา เขามองความรักเปลี่ยนไป ความรักกลายเป็นสิ่งที่เสียเวลาชีวิต คนเราควรทำงาน ไต่เต้า และกลายเป็นที่หนึ่งเพื่อให้คนยอมรับ และเมื่อเริ่มหนัง ยุ่นก็ดำรงสถานะเป็นพี่ใหญ่ในวงการที่ใครๆ ต่างก็นับถือว่าเป็นนักตัดต่อมือฉกาจ สภาพสังคมแคบๆที่เขาอยู่ค่อยๆบ่มเพาะให้เขากลายเป็นพวกนิยมความสมบูรณ์แบบ ประการสำคัญเลยก็คงเป็นเพราะงานของเขาที่ต้องคอยลบริ้วรอยของนายแบบนางแบบทั้งหลาย รายละเอียดที่ผิดที่ผิดตำแหน่งเพียงเล็กน้อยก็ไม่ผ่านสายตาเขา (และไม่ควรเล็ดลอดผ่านไปด้วย)
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายที่เขาใช้มาอย่างหนักหน่วงเป็นเวลาหลายปีก็เริ่มเรียกร้องความเป็นธรรม พร้อมๆกัน ก็มีเด็กใหม่ในวงการตัดต่อเข้ามาวัดรอยเท้ากับเขา บัลลังก์ที่ยุ่นประทับอยู่อย่างมีความสุขก็คราวสั่นคลอน ค่านิยมที่เขาต้องเป็นที่หนึ่งจึงถูกทดสอบ เขาเองไม่สามารถรักษามาตรฐานงานไว้ได้เช่นเคย นั่นเองจึงทำให้เขาได้รู้จักกับหมออิม

หมออิมอยู่ในกรอบสังคมที่สังคมสร้างให้ ผู้ป่วยที่เรียงรายกันเข้ามา ต่างคาดหวังว่าหมอจะต้องรู้ทุกอย่าง ต้องรู้ว่าเขาหรือเธอกำลังเป็นโรคอะไร มีวิธีการรักษาอย่างไร และที่สำคัญพวกเขาต้องหายจากโรคในไม่ช้าก็เร็ววัน หมอในสายตาชาวบ้านจึงเสมือนหนึ่งเทพที่จำแลงกายลงมาโปรดพวกเขา แต่มันก็น่าแปลกนะ ว่าเมื่อไหร่ถ้าหมอเกิดวินิจฉัยโรคผิดขึ้นมา ผู้ป่วยก็พร้อมจะสบถคำด่าหมอ หรือแม้แต่ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย จนต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกัน กำแพงที่กั้นระหว่างหมอกับคนไข้ มันก็ทลายลงได้โดยง่ายจริงๆ
เมื่อไหร่ที่หมอไม่เทพเหมือนที่ผู้ป่วย (หรืออาจารย์หมอบางท่าน) คาดหวังไว้ พวกเขาก็พร้อมจะจิกกัดหรือสาปแช่งได้ทันที นั่นจึงทำให้หมออิมต้องพยายามรักษามาตรฐานงานของตัวเอง เธอต้องตั้งใจเรียนอย่างเคร่งเครียด และชีวิตการทำงานของเธอก็ดูไม่สุขสบาย เพราะเกรงว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอพลาด นั่นหมายถึงว่าเธอก็จะถูกมองด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ประเด็นหลักหรอก) เพราะจริงๆก็คงไม่มีหมอคนไหนอยากรักษาคนไข้ผิด แต่เมื่อคุณเป็นหมอ และคุณก้าวเข้ามาในห้องตรวจ อาณาบริเวณนั้นก็ได้ชื่อว่า “ห้ามวินิจฉัยผิด” อยู่แล้ว

คนสองคนที่เหมือนเป็นขั้วตรงข้ามของกันและกัน งานของยุ่นเข้าวนเวียนกับสิ่งไม่มีชิวิต ไฟล์ภาพ คอมพิวเตอร์ โปรแกรมตัดต่อภาพ ซึ่งโดยนัยมันก็สะท้อนถึงสังคมนิยมบริโภควัตถุในปัจจุบัน ที่เรามองกันที่เปลือกนอก เรานิยมสิ่งสวยงาม เพียงเพื่อเอามาอวดรวยกัน ส่วนหมออิม งานของเธอคือการดุแลรักษาโรคผิวหนัง ซึ่งมันก็ล้อไปกับงานของยุ่นนะ ถ้าเราเป็นสิวแล้วเราอยากได้ภาพสวยๆในวันแต่งงาน เราก็คงไปหาหมออิมเพื่อรักษาสิว หรือถ้าเร่งด่วนก็คงให้ยุ่นตัดต่อให้ (แต่คิวน่าจะยาวอยู่) แต่งานของเธอไมได้มีแค่นั้น หมอยังต้องรักษาโรคที่เกิดจากการโหมงานหนักของผู้คนในยุคสมัยนี้ สองอาชีพนี้จึงเป็นขั้วที่ตรงข้ามที่สักวันก็ต้องมาเจอกัน
การที่เราได้นั่งดูชะตากรรมของยุ่นนี่มันทำให้เราเกิดคำถามขึ้นมาคือ เราทำงาน/เรียนหนักๆกันไปทำไมกันนะ ยุ่นก็บอกว่าเขามีความสุขดีที่เขาได้ตัดต่อภาพ เราก็เข้าใจว่านั่นคือเส้นทางชีวิตของเขา แต่นั่นคือเส้นทางสู่ความสุขของเขาจริงๆหรือ แม้ตอนช่วงที่ยุ่นรับงานของพี่เป้ง เขาทำงานจนร่างพัง วินาทีที่เขาเข้าใกล้ความตาย เขาก็ไมได้พบความสุขที่แท้จริง ภาพแม้ตอนสาวก็ยังไมได้รีทัช เรื่องเล่าตอนไปทะเลก็ยังไมได้เล่าให้หมออิมฟัง เขายังมีห่วงมากมายบนโลกนี้อยู่เช่นเคย นั่นแสดงถึงว่าการโหมงานอย่างหนักไม่ได้พาเขาเข้าใกล้ความสุข ในทางตรงกันข้ามมันพาเขาดิ่งลงสู่ความผิดบาปเสียด้วยซ้ำ วินาทีใกล้ความตาย คำพูดของเขาไม่ต่างอะไรจากการสารภาพบาป เขาอาลัยอาวรณ์และไมได้พร้อมเผชิญหน้ากับความตายอย่างที่เขาพูดแม้แต่น้อย

เราทำงานหรือเรียนเพราะเราอยากไปอยู่จุดที่ดีกว่า อยากได้เงิน อยากให้มีคนยอมรับ นี่คือเป้าหมาย แต่เราเข้าใจว่าเมื่อเราลงตัวเข้าไปเป็นหนูปั่นวงล้อของระบอบทุนนิยมแล้ว มันก็อยากที่จะฉุดตัวเองให้กับมา เราอาจจะถึงเป้าหมายที่เราตั้งไว้ตั้งแต่แรกแล้วก็ได้นะ แต่เป็นเพราะเรารู้สึกไม่พอหรือเปล่า ผดที่ขึ้นตามหลังของยุ่นมันทำให้เขาได้กลับมามองตัวเอง ทำให้เขาได้เจอหมออิม แม้ว่าจุดเริ่มต้นคือความรัก แต่อย่างน้อยที่สุดเขาได้มิตรภาพที่หาได้ยากในเมืองใหญ่
ผดที่หลังก็ดันไปล้อกับงาน installation ของศิลปินคนหนึ่งที่ยุ่นรับงานผ่านพี่เป้งอีกที ตรงนี้ทำให้เรานึกถึงเด็กน้อยยี่ยี่ใน Yi Yi (2000) ของ Edward Yang ยี่ยี่เกิดความคิดแปลกประหลาดขึ้นมาว่าเขาจะไล่ถ่ายภาพด้านหลังของผู้คนที่เขาพบเจอ นั่นเองก็สะท้อนถึงการมองในสิ่งที่เราไม่เคยมองมัน อย่างด้านหลังของเรา อันสะท้อนไปถึงแนวคิดโพสต์โมนเดิร์นในไต้หวันร่วมสมัยที่ตัวละครในเรื่องก็มีอาชีพในสังคมโมเดิร์นอย่างพ่อของยี่ยี่ที่เป็นผู้บริหารทำงานบนตึกระฟ้า เช่นเดียวกับยุ่นและหมออิม อาชีพของพวกเขา คำพูด แนวคิด เสื้อผ้า ก็สื่อสะท้อนถึงวัฒนธรรมไทยที่กำเนิดใหม่ ซึ่งก็เกิดจากการรับเอาวัฒนธรรมต่างชาติที่หลั่งไหลเข้ามาในปัจจุบัน (โดยเฉพาะชาติตะวันตก)
หลายคนบอกว่าการใช่คนตรีประกอบเป็นเสียงกลองที่เพิ่มความลุ้นระทึกและเร่งเร้าอารมณ์ได้เป็นอย่างดีในหนัง ประกอบกับการถ่ายทำแบบแฮนเฮลด์ ก็ทำให้เราอดนึกถึง Birdman (2014) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจริงๆก็ไม่ใข่เพียงเทคนิคการถ่ายทำ แต่ยังรวมไปถึงวิธีการนำเสนอที่ทั้งสองเรื่องต่างชุดดึงเราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของริกแกนและยุ่นได้อย่างน่าอัศจรรย์
ปกติเราดุหนังที่มีโฆษณาแอบแฝงเราจะรำคาญมาก เพราะทุกครั้งยี่ห้อสิ้นค้าจะถูกโยนใส่แบบไร้สติ แต่ครั้งนี้เราต้องยอมจริงๆ เพราะผู้กำกับเอาโจทย์ที่มีคือต้องโฆษณาเซเว่น มาวิพากษ์วิจารณ์ถึงผู้คนในยุคปัจจุบัน ทำงานหามรุ่งหามค่ำและมีเพื่อนคือเซเว่น ในหนังก็ถูกถ่ายทอดออกมาว่ายุ่นมีเพื่อนเป็นพนักงานเซเว่น

หลายคนบอกว่าการแสดงของใหม่ไม่สมจริงหรือแม้กระทั่งไม่เหมาะสมในฐานะแพทย์ ทั้งการจับผดของยุ่นแล้วมาจับหน้าตัวเอง ถุงมือหรือ Mask ก็ไม่ใส่ คำพูดคำจาก็ไม่เหมาะไม่ควร แต่สำหรับเรา ฟรีแลนซ์ฯ ถูกทำเสนอให้เกินจริงอยู่ระดับหนึ่ง หลายครั้งสิ่งที่ปรากฏบนจอภาพยนตร์ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในโลกของความเป็นจริง เรามองว่าฟรีแลนซ์ฯ คือ Hyperrealistic art หนังจีทีเอชหลายๆ เรื่องก่อนหน้านี้ ปิดบังความจริง (ที่ไม่บันเทิง) หลายอย่าง และผลที่ได้คือหนังที่ดูสนุกแต่เรากลับแทบหยิบจับอะไรกลับบ้านหลังจากหนังจบลงไม่ได้เลย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะสิ่งที่เราดูผ่านไป มันไม่ได้กระตุ้นต่อมศีลธรรมของเรา ฟรีแลนซ์ฯ ท้าทายเราด้วยการเอาสิ่งที่ผิดจารีต ค่านิยม ภาพในมโนสำนึกของเรา และหลายครั้งหลายคราวมันก็เหนือจริง แต่ก็ใช่ว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นจริง เราเองหรือเปล่าที่ไม่อาจทำใจยอมรับภาพเหล่านั้นได้
วิกฤตชีวิตของทั้งยุ่นและหมออิมในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสที่นอกจากจะทำให้คนดูเข้าใจหมอมากขึ้น และยุ่นเองก็แทนถึงผู้คนร่วมสมัย การได้ดูฟรีแลนซ์ก็เท่ากับเราได้ศึกษาและกลับไปมองตัวเอง แต่จะว่าไป เรามีสิทธิ์เลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจริงๆหรือ ในชีวิตจริง เราว่ามันน่าพรั่นพรึงกว่าในหนังตรงที่ ถ้าเราเป็นฟรีแลนซ์แบบยุ่น แล้วเราทำงานแย่ลง ไม่มีคนจ้าง เราก็คงต้องเปลี่ยนอาชีพ หรือหารายได้เสริม และต้องตรากตรำกับการหาเช้ากินค่ำเพื่อให้อยู่รอดในสังคมเมือง ท้ายที่สุดเราก็คงต้องกลับไปหาหมออีกครั้ง อาจจะกลับไปเพราะเป็นเบาหวาน ความดัน ไขมันสูง
หรืออีกทางเราจะกลับไปอยู่กับแม่ที่ต่างจังหวัด แล้วที่นั่นเราจะสงบสุขได้จริงหรือไม่ เราจะไม่โดนอดีตตามหลอกหลอนหรือ
ปล.เราชอบฉากที่หมออิมออกมาคุยกับยุ่นนอกห้องตรวจมาก ให้ความรู้สึกว่าจริงๆแล้ว หมอก็คือมนุษย์เดินดินธรรมดาเช่นเดียวกับยุ่น เสียใจได้ สบถเป็น ละต้องการคนเข้าใจเช่นกัน)
ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยนะครับ
https://www.facebook.com/survival.king
Tempy Movies Review รีวิวหนัง: ฟรีแลนซ์..ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ {นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์} [ไทย], 2015
ยุ่นทำงานอิสระ แต่จริงๆแล้วเขาอยู่ในพื้นที่จำกัดที่ตัวเองสร้างไว้ ซึ่งจากคำบอกเล่า เขาเคยอกหักครั้งสุดท้ายตอนปีสอง และเราเข้าใจว่านับแต่นั้นมา เขามองความรักเปลี่ยนไป ความรักกลายเป็นสิ่งที่เสียเวลาชีวิต คนเราควรทำงาน ไต่เต้า และกลายเป็นที่หนึ่งเพื่อให้คนยอมรับ และเมื่อเริ่มหนัง ยุ่นก็ดำรงสถานะเป็นพี่ใหญ่ในวงการที่ใครๆ ต่างก็นับถือว่าเป็นนักตัดต่อมือฉกาจ สภาพสังคมแคบๆที่เขาอยู่ค่อยๆบ่มเพาะให้เขากลายเป็นพวกนิยมความสมบูรณ์แบบ ประการสำคัญเลยก็คงเป็นเพราะงานของเขาที่ต้องคอยลบริ้วรอยของนายแบบนางแบบทั้งหลาย รายละเอียดที่ผิดที่ผิดตำแหน่งเพียงเล็กน้อยก็ไม่ผ่านสายตาเขา (และไม่ควรเล็ดลอดผ่านไปด้วย)
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายที่เขาใช้มาอย่างหนักหน่วงเป็นเวลาหลายปีก็เริ่มเรียกร้องความเป็นธรรม พร้อมๆกัน ก็มีเด็กใหม่ในวงการตัดต่อเข้ามาวัดรอยเท้ากับเขา บัลลังก์ที่ยุ่นประทับอยู่อย่างมีความสุขก็คราวสั่นคลอน ค่านิยมที่เขาต้องเป็นที่หนึ่งจึงถูกทดสอบ เขาเองไม่สามารถรักษามาตรฐานงานไว้ได้เช่นเคย นั่นเองจึงทำให้เขาได้รู้จักกับหมออิม
หมออิมอยู่ในกรอบสังคมที่สังคมสร้างให้ ผู้ป่วยที่เรียงรายกันเข้ามา ต่างคาดหวังว่าหมอจะต้องรู้ทุกอย่าง ต้องรู้ว่าเขาหรือเธอกำลังเป็นโรคอะไร มีวิธีการรักษาอย่างไร และที่สำคัญพวกเขาต้องหายจากโรคในไม่ช้าก็เร็ววัน หมอในสายตาชาวบ้านจึงเสมือนหนึ่งเทพที่จำแลงกายลงมาโปรดพวกเขา แต่มันก็น่าแปลกนะ ว่าเมื่อไหร่ถ้าหมอเกิดวินิจฉัยโรคผิดขึ้นมา ผู้ป่วยก็พร้อมจะสบถคำด่าหมอ หรือแม้แต่ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย จนต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกัน กำแพงที่กั้นระหว่างหมอกับคนไข้ มันก็ทลายลงได้โดยง่ายจริงๆ
เมื่อไหร่ที่หมอไม่เทพเหมือนที่ผู้ป่วย (หรืออาจารย์หมอบางท่าน) คาดหวังไว้ พวกเขาก็พร้อมจะจิกกัดหรือสาปแช่งได้ทันที นั่นจึงทำให้หมออิมต้องพยายามรักษามาตรฐานงานของตัวเอง เธอต้องตั้งใจเรียนอย่างเคร่งเครียด และชีวิตการทำงานของเธอก็ดูไม่สุขสบาย เพราะเกรงว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอพลาด นั่นหมายถึงว่าเธอก็จะถูกมองด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ประเด็นหลักหรอก) เพราะจริงๆก็คงไม่มีหมอคนไหนอยากรักษาคนไข้ผิด แต่เมื่อคุณเป็นหมอ และคุณก้าวเข้ามาในห้องตรวจ อาณาบริเวณนั้นก็ได้ชื่อว่า “ห้ามวินิจฉัยผิด” อยู่แล้ว
คนสองคนที่เหมือนเป็นขั้วตรงข้ามของกันและกัน งานของยุ่นเข้าวนเวียนกับสิ่งไม่มีชิวิต ไฟล์ภาพ คอมพิวเตอร์ โปรแกรมตัดต่อภาพ ซึ่งโดยนัยมันก็สะท้อนถึงสังคมนิยมบริโภควัตถุในปัจจุบัน ที่เรามองกันที่เปลือกนอก เรานิยมสิ่งสวยงาม เพียงเพื่อเอามาอวดรวยกัน ส่วนหมออิม งานของเธอคือการดุแลรักษาโรคผิวหนัง ซึ่งมันก็ล้อไปกับงานของยุ่นนะ ถ้าเราเป็นสิวแล้วเราอยากได้ภาพสวยๆในวันแต่งงาน เราก็คงไปหาหมออิมเพื่อรักษาสิว หรือถ้าเร่งด่วนก็คงให้ยุ่นตัดต่อให้ (แต่คิวน่าจะยาวอยู่) แต่งานของเธอไมได้มีแค่นั้น หมอยังต้องรักษาโรคที่เกิดจากการโหมงานหนักของผู้คนในยุคสมัยนี้ สองอาชีพนี้จึงเป็นขั้วที่ตรงข้ามที่สักวันก็ต้องมาเจอกัน
การที่เราได้นั่งดูชะตากรรมของยุ่นนี่มันทำให้เราเกิดคำถามขึ้นมาคือ เราทำงาน/เรียนหนักๆกันไปทำไมกันนะ ยุ่นก็บอกว่าเขามีความสุขดีที่เขาได้ตัดต่อภาพ เราก็เข้าใจว่านั่นคือเส้นทางชีวิตของเขา แต่นั่นคือเส้นทางสู่ความสุขของเขาจริงๆหรือ แม้ตอนช่วงที่ยุ่นรับงานของพี่เป้ง เขาทำงานจนร่างพัง วินาทีที่เขาเข้าใกล้ความตาย เขาก็ไมได้พบความสุขที่แท้จริง ภาพแม้ตอนสาวก็ยังไมได้รีทัช เรื่องเล่าตอนไปทะเลก็ยังไมได้เล่าให้หมออิมฟัง เขายังมีห่วงมากมายบนโลกนี้อยู่เช่นเคย นั่นแสดงถึงว่าการโหมงานอย่างหนักไม่ได้พาเขาเข้าใกล้ความสุข ในทางตรงกันข้ามมันพาเขาดิ่งลงสู่ความผิดบาปเสียด้วยซ้ำ วินาทีใกล้ความตาย คำพูดของเขาไม่ต่างอะไรจากการสารภาพบาป เขาอาลัยอาวรณ์และไมได้พร้อมเผชิญหน้ากับความตายอย่างที่เขาพูดแม้แต่น้อย
เราทำงานหรือเรียนเพราะเราอยากไปอยู่จุดที่ดีกว่า อยากได้เงิน อยากให้มีคนยอมรับ นี่คือเป้าหมาย แต่เราเข้าใจว่าเมื่อเราลงตัวเข้าไปเป็นหนูปั่นวงล้อของระบอบทุนนิยมแล้ว มันก็อยากที่จะฉุดตัวเองให้กับมา เราอาจจะถึงเป้าหมายที่เราตั้งไว้ตั้งแต่แรกแล้วก็ได้นะ แต่เป็นเพราะเรารู้สึกไม่พอหรือเปล่า ผดที่ขึ้นตามหลังของยุ่นมันทำให้เขาได้กลับมามองตัวเอง ทำให้เขาได้เจอหมออิม แม้ว่าจุดเริ่มต้นคือความรัก แต่อย่างน้อยที่สุดเขาได้มิตรภาพที่หาได้ยากในเมืองใหญ่
ผดที่หลังก็ดันไปล้อกับงาน installation ของศิลปินคนหนึ่งที่ยุ่นรับงานผ่านพี่เป้งอีกที ตรงนี้ทำให้เรานึกถึงเด็กน้อยยี่ยี่ใน Yi Yi (2000) ของ Edward Yang ยี่ยี่เกิดความคิดแปลกประหลาดขึ้นมาว่าเขาจะไล่ถ่ายภาพด้านหลังของผู้คนที่เขาพบเจอ นั่นเองก็สะท้อนถึงการมองในสิ่งที่เราไม่เคยมองมัน อย่างด้านหลังของเรา อันสะท้อนไปถึงแนวคิดโพสต์โมนเดิร์นในไต้หวันร่วมสมัยที่ตัวละครในเรื่องก็มีอาชีพในสังคมโมเดิร์นอย่างพ่อของยี่ยี่ที่เป็นผู้บริหารทำงานบนตึกระฟ้า เช่นเดียวกับยุ่นและหมออิม อาชีพของพวกเขา คำพูด แนวคิด เสื้อผ้า ก็สื่อสะท้อนถึงวัฒนธรรมไทยที่กำเนิดใหม่ ซึ่งก็เกิดจากการรับเอาวัฒนธรรมต่างชาติที่หลั่งไหลเข้ามาในปัจจุบัน (โดยเฉพาะชาติตะวันตก)
หลายคนบอกว่าการใช่คนตรีประกอบเป็นเสียงกลองที่เพิ่มความลุ้นระทึกและเร่งเร้าอารมณ์ได้เป็นอย่างดีในหนัง ประกอบกับการถ่ายทำแบบแฮนเฮลด์ ก็ทำให้เราอดนึกถึง Birdman (2014) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจริงๆก็ไม่ใข่เพียงเทคนิคการถ่ายทำ แต่ยังรวมไปถึงวิธีการนำเสนอที่ทั้งสองเรื่องต่างชุดดึงเราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของริกแกนและยุ่นได้อย่างน่าอัศจรรย์
ปกติเราดุหนังที่มีโฆษณาแอบแฝงเราจะรำคาญมาก เพราะทุกครั้งยี่ห้อสิ้นค้าจะถูกโยนใส่แบบไร้สติ แต่ครั้งนี้เราต้องยอมจริงๆ เพราะผู้กำกับเอาโจทย์ที่มีคือต้องโฆษณาเซเว่น มาวิพากษ์วิจารณ์ถึงผู้คนในยุคปัจจุบัน ทำงานหามรุ่งหามค่ำและมีเพื่อนคือเซเว่น ในหนังก็ถูกถ่ายทอดออกมาว่ายุ่นมีเพื่อนเป็นพนักงานเซเว่น
หลายคนบอกว่าการแสดงของใหม่ไม่สมจริงหรือแม้กระทั่งไม่เหมาะสมในฐานะแพทย์ ทั้งการจับผดของยุ่นแล้วมาจับหน้าตัวเอง ถุงมือหรือ Mask ก็ไม่ใส่ คำพูดคำจาก็ไม่เหมาะไม่ควร แต่สำหรับเรา ฟรีแลนซ์ฯ ถูกทำเสนอให้เกินจริงอยู่ระดับหนึ่ง หลายครั้งสิ่งที่ปรากฏบนจอภาพยนตร์ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในโลกของความเป็นจริง เรามองว่าฟรีแลนซ์ฯ คือ Hyperrealistic art หนังจีทีเอชหลายๆ เรื่องก่อนหน้านี้ ปิดบังความจริง (ที่ไม่บันเทิง) หลายอย่าง และผลที่ได้คือหนังที่ดูสนุกแต่เรากลับแทบหยิบจับอะไรกลับบ้านหลังจากหนังจบลงไม่ได้เลย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะสิ่งที่เราดูผ่านไป มันไม่ได้กระตุ้นต่อมศีลธรรมของเรา ฟรีแลนซ์ฯ ท้าทายเราด้วยการเอาสิ่งที่ผิดจารีต ค่านิยม ภาพในมโนสำนึกของเรา และหลายครั้งหลายคราวมันก็เหนือจริง แต่ก็ใช่ว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นจริง เราเองหรือเปล่าที่ไม่อาจทำใจยอมรับภาพเหล่านั้นได้
วิกฤตชีวิตของทั้งยุ่นและหมออิมในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสที่นอกจากจะทำให้คนดูเข้าใจหมอมากขึ้น และยุ่นเองก็แทนถึงผู้คนร่วมสมัย การได้ดูฟรีแลนซ์ก็เท่ากับเราได้ศึกษาและกลับไปมองตัวเอง แต่จะว่าไป เรามีสิทธิ์เลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจริงๆหรือ ในชีวิตจริง เราว่ามันน่าพรั่นพรึงกว่าในหนังตรงที่ ถ้าเราเป็นฟรีแลนซ์แบบยุ่น แล้วเราทำงานแย่ลง ไม่มีคนจ้าง เราก็คงต้องเปลี่ยนอาชีพ หรือหารายได้เสริม และต้องตรากตรำกับการหาเช้ากินค่ำเพื่อให้อยู่รอดในสังคมเมือง ท้ายที่สุดเราก็คงต้องกลับไปหาหมออีกครั้ง อาจจะกลับไปเพราะเป็นเบาหวาน ความดัน ไขมันสูง
หรืออีกทางเราจะกลับไปอยู่กับแม่ที่ต่างจังหวัด แล้วที่นั่นเราจะสงบสุขได้จริงหรือไม่ เราจะไม่โดนอดีตตามหลอกหลอนหรือ
ปล.เราชอบฉากที่หมออิมออกมาคุยกับยุ่นนอกห้องตรวจมาก ให้ความรู้สึกว่าจริงๆแล้ว หมอก็คือมนุษย์เดินดินธรรมดาเช่นเดียวกับยุ่น เสียใจได้ สบถเป็น ละต้องการคนเข้าใจเช่นกัน)
ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยนะครับ https://www.facebook.com/survival.king