วันนั้นที่พ่อฉันเป็นมะเร็ง: 15 ข้อฝากไว้เมื่อมีคนในครอบครัวป่วยหนัก

อยากมาแชร์ประสบการณ์ที่เพิ่งรู้ว่าพ่อเป็นมะเร็งค่ะ

เรื่องมันเกิดขึ้นเร็วมาก พ่อปวดท้องหนักก็เลยไปโรงพยาบาลแถวหนองแขม พอเอ็กซเรย์ดูหมอก็บอกว่าน่าจะเป็นมะเร็ง อาการหนักมาก ให้รีบไปโรงพยาบาลที่ทำเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ได้ พ่อเลยโทรมาหาแม่ แต่ตอนแรกไม่ยอมบอกว่าเป็นอะไร แต่มาถามแม่ว่ารู้จักใครไหมที่ตากสินอาจจะต้องผ่าตัด แม่มีเพื่อนที่พอช่วยได้ก็เลยบอกไปตากสิน บอกว่าเดี๋ยวหารถไปรับ พ่อบอกไม่ต้อง เดี๋ยวไงโทรมาบอกอีกที เราใจร้อนก็เลยลากแม่ไปโรงพยาบาล ก่อนหน้านี้เราทะเลาะกับพ่อหนักไม่คุยกันเป็นเดือน ถึงขั้นจะไปเปลี่ยนนามสกุลเลย

พอไปถึงพ่อก็นอนอยู่บนเตียงแล้วหน้าซีดมาก พ่อเป็นคนแข็งแรงนะ ไม่เคยเข้าโรงพยาบาล หลังจากเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์แล้วหมอบอกว่าก้อนมะเร็งใหญ่มาก ต้องรีบผ่าทันที แต่คืนนั้นผ่าไม่ได้เพราะความดันสูง 200 กว่า อาจมีโอกาสทำให้เส้นเลือดในสมองแตกได้ คืนนั้นพ่อถ่ายแล้วก้อนมันเล็กลงหมอบอกว่าอาจไม่ใช่มะเร็ง ตอนเช้าหมอเลยให้ตัดสินใจว่าจะผ่าไม่ผ่าหลังจากความดันลดแล้วเหลือ 170 เราอยากรอให้ลงกว่านี้แต่พ่อบอกว่าผ่าเลย เอ้าผ่าก็ผ่า

ทุกคนในครอบครัวก็รออย่างใจจดใจจ่อ เหมือนในหนังเลยที่มารอหน้าห้องผ่าตัด จน 3 ชั่วโมงกว่าพ่อก็ออกมาการผ่าตัดเป็นไปด้วยดี สรุปคือพ่อเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ หมอต้องตัดไส้บางส่วนทิ้งแล้วเอามาต่อกันใหม่เพื่อให้ใช้ชีวิตปกติให้ได้มากที่สุด บางแคสที่หนักๆ เขาต้องถ่ายทางหน้าท้องเลย หมอก็ดีถ่ายรูปไส้มาให้ดูด้วย ทุกคนกลัวหมดมีเราเฉยๆ ปรากฏว่าเจ้าก้อนมะเร็งมันไม่ได้ใหญ่มาก มีสองสามที่ กำลังเริ่มลามแต่มาเจอก่อน ลำไส้บางส่วนผิดปกติคือมันตีบ และส่วนที่ไปต่อไม่ได้มันก็บวมเป็นก้อน พอรู้ว่าเป็นมะเร็งทุกคนก็ใจเสีย มีเรากับอาที่พยายามบอกว่าอย่าเพิ่งคิดมาก อาเคยผ่าเนื้องอกมาแล้วก็ปกติดี พ่ออกจากโรงพยาบาลแล้วเมื่อวาน แข็งแรงดี กินอาหารได้ปกติ แต่หมอก็นัดไปตรวจอีกนะเพื่อดูว่ามันแพร่ไหม

ถ้าเข้าใจไม่ผิด มะเร็งระยะต่างๆ จะดูตามการแพร่

ถ้าระยะ 1 คือยังไม่ลาม ตัดออกแล้วก็มีโอกาสหายเลย
ระยะที่ 2 เริ่มลามแต่ยังลามแค่อวัยวะนั้น พ่อเราก็อยู่ในระยะนี้คือพบ 2-3 ก้อนในลำไส้ใหญ่
ระยะที่ 3 คือลามไปอวับวะอื่น
ระยะที่ 4 คือแพร่ไปต่อมน้ำเหลืองแล้ว
มีข้อแนะนำถึงคนที่มีพ่อแม่หรือคนในครอบครัวคนป่วยเป็นมะเร็งง่ายๆ คือ
1. อย่าตกใจอย่าหน้าเสีย เพราะคนป่วยก็จะยิ่งใจเสีย ทุกคนตกใจเสียใจได้ แต่ต้องเก็บอาการ ห้ามร้องไห้มือสั่นอะไรแบบนี้เป็นอันขาด ถ้าทนไม่ไหวบอกว่าหิวน้ำไป 7-11 แล้วจะไปร้องไห้ที่ไหนก็ไป ห้ามร้องต่อหน้าเด็ดขาด

2. เรื่องไหนที่คนป่วยไม่จำเป็นต้องรู้ก็ไม่ต้องบอก หรือค่อยๆ บอก ให้คนป่วยมีเวลาทำใจบ้าง

3. คนป่วยที่เป็นคนสูงอายุมักจะกังวลเกี่ยวกับการผ่าตัดหรือเข้าโรงพยาบาล เพราะคนรุ่นเก่าจะมีคอนเซ็ปต์ว่าเข้าโรงพยาบาลเมื่อไหร่คืออาการหนักมากจริงๆ ให้บอกเขาว่าโรงพยาบาลสมัยนี้เครื่องมือทันสมัย ไม่เจ็บ ผ่าตัดก็ไม่ได้น่ากลัวแล้ว ไม่งั้นคนเขาจะมาศัลยกรรมหน้าเหรอถ้ามันน่ากลัว ถ้าใครมาเยี่ยมแล้วอายุเกิน 50 ก็จับตรวจสุขภาพกันให้หมด

4. พยายามหาเวลาอยู่กับคนป่วยให้มากๆ อาจจะไม่ต้องไปเฝ้าถึงขอบเตียง บางทีไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรแต่แค่นั่งอยู่คนป่วยก็จะรู้สึกสบายใจมากขึ้น
5. พยายามใช้ชีวิตปกติให้ได้มากที่สุด เช่น เคยไปดูหนัง ไปฟิตเนส ไปกิน ก็ไปเถอะ พยายามหลอกตัวเองให้ได้ว่าทุกอย่างมันเป็นปกติอยู่ คนป่วยเองก็จะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ป่วยหนักมาก คนในครอบครัวก็ยังไปทำงาน ไปกินข้าวนอกบ้านได้ เวลามาเยี่ยมก็แต่งหน้าแต่งตา หวีผมอะไรมาให้เต็ม คนไข้ได้รู้สึกสดชื่น และรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ป่วยหนักจนคนในบ้านถอดใจปล่อยตัวมาเยินๆ

6. พูดถึงบ้าน พูดถึงคนในบ้านที่อาจมาเยี่ยมไม่ได้ หรืออยู่ต่างจังหวัด ทำให้คนป่วยรู้สึกว่าเดี๋ยวก็ได้กลับบ้าน และเมื่อกลับไปก็จะกลายเป็นฮีโร่ที่ทุกคนรอคอย เช่น “เนี่ย หมาคิดถึง ไม่กินข้าวเลย รีบๆ หายนะ” หรือ “คิดถึงอาหารฝีมือพ่อ / แม่มากกลับไปทำให้กินด้วยนะ” “อาอึ่งอยากมามากเลย แต่พอดีติดประชุมอยู่ที่อิสราเอล ฝากมาเยี่ยมด้วยนะ”

7. อย่าให้คนป่วยกังวลเรื่องงานหรือภาระที่บ้าน คนที่บ้านอาจจะต้องช่วยประสานเรื่องการลางาน ขาดงาน หรือถ้าบ้านมีภาระคนในบ้านก็บอกคนป่วยว่าจัดการแล้ว เช่น ค่าผ่อนรถ บอกว่าจ่ายให้แล้ว เดี๋ยวค่อยมาคืน

8. พยายามสังเกตอาการผู้ป่วยทุกอย่าง เช่น มือบวม หน้าซีด เป็นไข้ ท้องเสีย เช่น ถ่ายออกมาอุจจาระเป็นสีอะไร เหลว ข้น เป็นเม็ด เป็นน้ำ และจดรายละเอียดไว้ให้หมอ ข้อมูลบางอย่างจะทำให้หมอสามารถวินิจฉัยอาการได้ง่ายขึ้น และถ่ามีโอกาสคุยกับหมอก็ให้คุย สงสัยอะไรก็ให้ถาม ทางที่ดีควรหาข้อมูลเบื้อต้นมาด้วย อ่านให้เข้าใจแล้วจะคุยกับหมอได้ง่ายว่าอะไรมันอยู่ตรงไหน ขึ้น เช่น มะเร็งลำไส้ ศึกษาระบบขับถ่าย มะเร็งรังไข่ก็ศึกษาระบบสืบพันธุ์

9. ลองไปหาข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับมะเร็งนั้นๆ และหาเคสที่รักษาหายไปคุยกับคนไข้ ทำให้เขาใจชื้นว่าความหวังยังมี เมื่ออกจากโรงพยาบาลไปก็ใช้ชีวิตปกติได้ เช่น “อาจารย์ที่รู้จักเขาก็เคยผ่าแบบพ่อ ก้อนใหญ่กว่าอีก ตอนนี้แข็งแรงไม่รู้เลยว่าเคยเป็น ยังไปเล่นสกีที่ฮอกไกโดอยู่เลย”
10. เวลาคนสิ้นหวังมักจะมองหาปาฏิหาริย์ เช่น ยาสมุนไพรว่านโบราณ ห้าร้อยล้านชนิด กินแล้วหายใน 3 เดือนมี อย. หรือ ไม่มี อย. ก็ตาม ต้องดูดีๆบางอย่าง ถึงแม้จะมี อย. ก็เถอะ แต่สารบางอย่างมันอาจไปทำปฏิกิริยากับยาที่หมอใช้อยู่ ถ้าอยากลองจริงๆ ให้ปรึกษาหมอดูก่อน

11. ถ้าต้องนอนโรงพยาบาลนานๆ พยายามหาทางให้คนป่วยได้ทำกิจกรรมที่ตัวเองชอบ เช่น ชอบอ่านหนังสือ ก็ไปขนหนังสือมาให้ หรือชอบดูทีวีก็เอากล่องดิจิตัลมาต่อให้ซะเลย ได้ดูมันหลายๆ ช่อง l่วนคนเฝ้าถ้าทำได้ก็หลอกให้เพื่อนมาเยี่ยม ทั้งเพื่อนคนป่วยและเพื่อนเรา จะได้แก้เหงาแก้เซ็ง

12. พยายามให้คนป่วยรู้สึกว่าตนเองเป็นคนสำคัญ แต่อย่าเอาใจมากไป หรือทำทีเป็นสงสาร จะทำให้คนป่วยรู้สึก helpless กลายเป็นท้อแท้ป้อแป้ว่าตัวเองจะไม่มีชีวิตเหมือนเดิมแม้จะออกจากโรงพยาบาลได้ เราแค่เอาอกเอาใจเขามากขึ้นแต่ไม่ต้องโอ๋ทำให้ทุกอย่าง อย่างการเข้าห้องน้ำก็ต้องให้เขาลุกถ้าเขาลุกเองได้ ใช้การปลอบ การขู่ กวนตีนได้บ้างปรับตามเปอร์เซ็นต์ที่เหมาะกับคนป่วย แต่ห้ามดราม่าอารมณ์ว่าจะอยู่ด้วยกันใช้ทุกนาทีให้คุ้มค่า แบบนั้นมันเหมือนกำลังนับถอยหลังชีวิตเขา

13. ดูแลตัวเองและคนในครอบครัวที่เหลือให้ดี เพราะมะเร็งเวลามันเป็นขึ้นมาเราก็ไปแก้ไขอะไรไม่ได้หรอก ขนาดร่างกายของคนป่วยเขายังควบคุมไม่ได้ เราจะไปช่วยอะไรได้ ไปกังวลก็ทำให้จิตตกไปเปล่าๆ ไปเยี่ยมก็ไปเยี่ยม เวลานอนก็ไปนอน อย่าไปคิดโน่นคิดนี่ก่อนนอน บางทีคิดฟุ้งไปไกลเราก็ใจเสียเอง

14. ถ้ามีโอกาสก็เลือกโรงพยาบาลดีๆ เคยไปใช้บริการที่โรงพยาบาลกากๆ ตอนที่น้าป่วย (โรงพยาบาลเอกชนชื่อเดียวกับสถานีรถใต้ดิน ขึ้นต้นด้วย ล. หึหึหึ) ทำให้จิตเสียทั้งญาติทั้งคนไข้ ถ้าโรงพยาบาลไหนหมอพยาบาลดูแลแบบไม่เต็มใจให้หาทางย้าย โรงพยาบาลรัฐเดี๋ยวนี้ก็ดูแลดีกว่าเอกชนบางโรงเสียอีก

15. ก่อนกลับจากโรงพยาบาล ก็คุยกับหมอให้หายข้องใจ เช่น แผลดูแลยังไง ขึ้นบันไดได้ไหม ต้องระวังอะไรบ้าง อาการแบบไหนเป็นแล้วต้องรีบส่งโรงพยาบาล ต้องซื้อเครื่องวัดความดันไหม แล้วจดเก็บๆ ไว้ด้วยเผื่อลืม

ทุกคนมักจะคิดว่าเรากำลังใจดี ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร แต่ตอนกลางคืนก็มีไปจิตตกคนเดียว แต่ก็พยายามไม่คิดมากแหละ คงต้องของคุณ Series The Big C ด้วยแหละที่ทำให้เรารู้สึกว่าการเป็นมะเร็งมันไม่ใช่จุดจบของชีวิต

ปล. แทกสีลมด้วยค่ะ เผื่อจะได้เป็นแนวทางในการลางานเมื่อป่วย หรือลากิจมาดูแลพ่อแม่ค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่