สวัสดีครับชาวพันทิป นี่เป็นกระทู้แรกของผมในชีวิต ตั้งใจมากๆ สำหรับกระทู้นี้ อาจจะเล่าเรื่องไม่เก่งมากนะครับ ให้รูปอธิบายแทนผมแล้วกันนะครับฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ......
วันนี้ผมจะมาแชร์ประสบการณ์สถานที่ท่องเที่ยวกับการใช้ชีวิตอยู่ในสิงคโปร์ แบบเต็มอิ่ม 3 เดือนเต็มๆ
รีวิวนี้จะไม่เน้น เรื่องประหยัดเท่าไหร่นะครับ ค่าใช้จ่ายส่วนไหนที่พอจะจำได้ ก็จะบอกให้คร่าวๆนะครับ
ผมเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 3 ที่ตัดสินใจออกไปฝึกงานต่างประเทศ (สิงคโปร์) ด้วยความกลัวและตื่นเต้น
แต่สิงคโปร์กลับทำให้ ประทับใจได้อย่างเหลือเชื่อ....
ว่าด้วยสิงคโปร์นั้นเป็นประเทศที่มีขนาดเล็กกว่าเกาะที่ผมจากมา แค่นิดเดียว(ภูเก็ต) จริงๆผมก็เคยมาสิงคโปร์เมื่อ 2 ปีที่แล้วช่วงปีใหม่ แต่ก็ยังรู้สึกว่า ยังไม่รู้จักกับประเทศนี้ดีพอ เลยตัดสินใจกลับมาอีกครั้ง....
เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อผมสัมภาษณ์ฝึกงานทาง Skype ผ่านและได้ฝึกงานที่ โรงแรม Mandarin Oriental Singapore
เมื่อจบการสอบปลายภาคของเทอม 2 ก็เก็บกระเป๋าทันทีเพื่อเตรียมตัวบินไปสิงคโปร์ แทบจะไม่มีเวลาพัก
เช้าวันที่ 20 พฤษภาคม 2558 ผม ได้ออกเดินทางจาก สนามบินนานาชาติภูเก็ต เวลา 09:45 น.
และถึงสนามบิน ชางกี เวลา 12:40น. ตามเวลาท้องถิ่นสิงคโปร์ ซึ่งเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง
หลังจากเข้าที่พัก (ทางมหาวิทยาลัยจัดไว้ให้) จัดการทุกอย่างเรียบร้อย มีเวลาอีก 4 วันในสิงคโปร์
สำหรับการเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิต และเที่ยวให้เต็มที่ ปกติผมเป็นคนที่ชอบเรื่องการลองผิดลองถูกอยู่แล้วเป็นปกติ เช้าวันถัดมาจึงออกไปเที่ยวตามประสา ดูๆสถานที่ท่องเที่ยวเอาจากในกูเกิ้ล แหะๆ
**********
►ก่อนจะเข้าโหมดเที่ยว จะขอแนะนำสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในการมาเที่ยวสิงคโปร์ก่อนนะครับ จากประสบการณ์ตรง◄
1. ซิมมือถือ แนะนำเป็นของ Singtel สำหรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ มีอายุ 10 วัน โทรภายในประเทศฟรี 120 นาที / โทรออกนอกประเทศฟรี 190 นาที / ฟรี อินเตอร์เน็ต 4G 100GB คุ้มสุดๆ ถ้าไปกันหลายคน ซื้อซิมเดียวแล้วแชร์เน็ตกัน ก็ยังไม่หมด ราคาจะตกที่ประมาน $30
2. บัตร EZ Link บัตรใบนี้สามารถใช้ได้กับ รถไฟฟ้าใต้ดิน(MRT) / รถบัส และตู้เครื่องดื่มหยอดเหรียญบางตู้ หาซื้อได้ตาม 7-11 และสถานีรถไฟฟ้า ราคาตามเซเว่นจะสูงกว่าเพราะ ลวดลายบนบัตรจะเป็นลายการ์ตูนน่ารักๆ แต่ถ้าหากอยากจะประหยัดก็ซื้อที่สถานีรถไฟฟ้าได้เลย จะเป็นบัตรธรรมดาๆ ราคา $12 มีเงินในบัตรให้ $7 และการ Top-up บัตรสามารถเติมได้ทั้งที่ 7-11 (ค่าธรรมเนียม 50 เซ็นต์) และที่สถานีรถไฟฟ้า ทั้ง2ที่ กำหนดขั้นต่ำ $10 ต่อครั้ง หรือประมาณ 250 บาท.
3. ควรพกน้ำติดตัวไว้สักขวด อาจจะยอมลงทุนซื้อแล้วเก็บขวดไว้เติม / บางที่จะมีแท่นน้ำดื่มสาธารณะ เราก็เอาไปเติมได้ครับ
4. Application ที่ควรมีติดตัว แนะนำเป็น
4.1 Gothere.sg แอปตัวนี้จะช่วยได้เยอะเวลาเดินทาง แค่เราระบุ ต้นทาง และ ปลายทาง แอปจะบอกเราทั้งหมดว่าให้ไปยังไง ขึ้นรถสายไหน ลงที่ป้ายไหน
4.2 Nextbus แอปสำหรับดูเวลารถบัส ว่าเลขที่เรารออยู่ จะมาในอีกกี่นาที
5. แบตสำรอง / ครีมกันแดด อันนี้แล้วแต่คนนะครับ
❖ การใช้ รถไฟฟ้า หรือ MRT❖
*ควรจะมีแผนที่ติดตัวไว้ตลอดเวลานะครับ สามารถเซฟจะกระทู้นี้ไปได้เลย หรือ ไปขอจากเจ้าหน้าที่ที่สถานีรถไฟฟ้าครับ*
- ง่ายๆเลยครับ ไม่ต่างจากรถไฟฟ้าบ้านเรา แค่ดูสถานีที่เราอยู่ และ ดูสถานีที่เราจะไป ให้มองว่างปลายทางของเราสายสีอะไร และเลขอะไร ที่เหลือก็เดินไปตามป้ายเลยครับผม
การขึ้นบัส
- โดยปกติแล้ว บัสเลขเดียวกันจะวิ่งห่างกันประมาณ 10-15 นาที ต่อ 1 ป้าย ถ้าเราดูจาก app ว่าเลขนี้ ไปปลายทางของเรา เพื่อเป็นการกันพลาด เมื่อไปถึงป้ายให้เราเช็ค เลขที่ป้ายอีกที ว่ามีเลขที่เรารออยู่รึปล่าว ถ้าไม่มีก็แสดงว่าผิดป้ายครับ
- สำหรับรถบางสายจะหยุดให้บริการในวันอาทิตย์และวันหยุดราชการของสิงคโปร์ครับ ยกตัวอย่างเช่น เลข 70 จะวิ่งวันจันทร์ –เสาร์ วันอาทิตย์และวันหยุดราชการจะเป็นเลข 70M แทนครับ แต่ก็ยังวิ่งในเส้นทางเดิมครับ เราสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ป้ายรถเมล์คับ
เอาหล่ะครับหลังจากที่อธิบายมาพอสมควร ผมก็จะเริ่มเล่าความประทับใจต่างๆในสิงคโปร์ให้ฟังครับ
เริ่มจากวันแรก เริ่มจากที่ดังๆก่อนเลยครับ Chinatown
ก็ตามชื่อเลยหล่ะครับ ย่านคนจีนนั้นเอง ที่ที่ผมเลือกไปนั้นก็คือ วัดพระเขี้ยวแก้ว (Tooth Relic Buddha Temple) ที่แห่งนี้ก็จะมีผู้คนแวะเวียนกันมาสักการะ ตลอดวันครับ ทั้งคนจีน ไทย หรือต่างชาติ
รูปนี้ถ่ายตอนเพิ่งลงจากบัสครับ
ภาพนี้เป็นร้านไอศครีมหน้าวัดครับ มีลุงแก่ๆขายอยู่ อร่อยมากครับ ราคาประมาณ$5
ที่เหลือก็จะเป็นภาพ บรรยากาศรอบๆวัดครับ มีทั้งร้านขายของกิน และ ของที่ระลึกครับ บางร้านแอบพูดไทยได้ด้วยครับ5555
หลังจากนั้นเราก็ไปต่อครับ นั่งMRT ไปลงที่ Marinabay จะไปดู Garden by the bay กันครับ
มาถึงก็ เดินสุ่มๆตามป้ายเอาครับ มาโผล่ตรงหลัง MBS สวยมากๆคับ สูงสุดลูกหูลูกตา
และด้านที่ตรงข้ามกับตึก ก็จะเป็น Garden by the bay ครับ สามารถเข้าไปได้นะครับ แต่ส่วนตัวคิดว่า มองไกลๆจะสวยกว่า
ตื่นเช้าวันที่ 2 ก็รีบออกแต่เช้าตรงไป Botanic garden เลยครับ น่าจะเป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ พื้นที่ต้องบอกว่ากว้างเอามากๆเลยครับ สวนแห่งนี้จะรวบรวมป่าหลายๆชนิดเอาไว้ในที่เดียวกัน เช่น ป่าเฟิร์น สวนกล้วยไม้ ป่าฝน ป่าดงดิบ และอีกมากมายครับ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหลีกเลี่ยงความวุ่นวายครับ
มีป้ายบอกครับ ห้ามเล่นสเก็ทและปั่นจักรยาน ง่ายๆคือ เดินอย่างเดียวครับ555
ผมก็ไม่ลืมที่จะเก็บภาพสวยๆมาฝากกันครับ
ตกบ่ายก็ไปต่อกันที่ที่ทุกคนรู้จักกันครับ Merlion Park โดยการนั่ง MRT ไปลงที่ Esplanade หรือ Promnade ครับ
ส่วนนี้จะไม่เจาะรายละเอียดเยอะนะครับ เพราะทุกคนน่าจะรู้จักสถาที่นี้เป็นอย่างดี ระหว่างที่เดินรอบๆ บริเวณนั้น ก็จะได้ยินเสียง เฮลิคอปเตอร์ และ เครื่องบินรบตลอดเวลา ครับ สอบถามมาว่า เป็นการซ้อมสำหรับแสดงในวันชาติ คือวันที่ 9 สิงหาคม ครับ ผมนี่อึ้งเลย ซ้อมกันล่วงหน้าขนาดนี้เลยหรอ 55555
บริเวณนี้จะเป็นการเตรียมการสำหรับวันชาติที่จะมาถึงในอีก 2 เดือนกว่าๆครับ
►หลังจากช่วงนี้ไปก็จะเป็น ฤดูกาลของการเริ่มฝึกงานครับ 3 เดือนระหว่างฝึกงาน ก็จะได้ไปเที่ยวแค่พวกห้างสรรพสินค้า หรือ ตามถนน Orchard ครับ แต่การได้ฝึกงานที่โรงแรมนี้ก็ถือว่ากำไรมากครับ ได้เห็นวิวสวยๆ แบบฟรีๆ จากห้องแขกโดยตรงเลยครับ ผมก็ได้เก็บภาพมาฝากกันครับ ซึ่งถ่ายจาก iPhone 6 Plus ที่มีติดตัวอยู่ครับ เพราะตอนทำงานพกกล้องไม่ได้ 5555.◄
ภาพนี้จะสังเกตุเห็นคล้ายๆ ทุ่นลอยน้ำอยู๋ตรงกลางอ่าวนะครับ จุดนั้นคือจุดสำหรับยิงพลุในวันชาติของสิงคโปร์ครับ ซึ่งปกติจะซ้อมยิงทุกๆวันเสาร์ครับ (วันจริงสวยมากครับ รอชมนะครับ)
นี่เป็นอีกภาพครับ มองไปทางฝั่งซ้ายจะเป็นโซน MBS และ Garden by the bay ครับ
►และนี่เป็นภาพบรรยากาศการซ้อมขบวนสำหรับวันชาติที่จะมาถึงครับ ทุกๆวันเสาร์จะมี รถถัง รถหุ้มเกราะ เครื่องบินรบ เฮลิคิปอเตอร์ ออกมาบินกันครับ ยิ่งใหญ่มากๆครับ ◄
[CR] ☁ ความทรงจำดีๆ จากสิงคโปร์[2015] ประเทศเล็กๆ ที่มีดีมากกว่าที่คุณคิด ☁
วันนี้ผมจะมาแชร์ประสบการณ์สถานที่ท่องเที่ยวกับการใช้ชีวิตอยู่ในสิงคโปร์ แบบเต็มอิ่ม 3 เดือนเต็มๆ
รีวิวนี้จะไม่เน้น เรื่องประหยัดเท่าไหร่นะครับ ค่าใช้จ่ายส่วนไหนที่พอจะจำได้ ก็จะบอกให้คร่าวๆนะครับ
ผมเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 3 ที่ตัดสินใจออกไปฝึกงานต่างประเทศ (สิงคโปร์) ด้วยความกลัวและตื่นเต้น
แต่สิงคโปร์กลับทำให้ ประทับใจได้อย่างเหลือเชื่อ....
เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อผมสัมภาษณ์ฝึกงานทาง Skype ผ่านและได้ฝึกงานที่ โรงแรม Mandarin Oriental Singapore
เมื่อจบการสอบปลายภาคของเทอม 2 ก็เก็บกระเป๋าทันทีเพื่อเตรียมตัวบินไปสิงคโปร์ แทบจะไม่มีเวลาพัก
เช้าวันที่ 20 พฤษภาคม 2558 ผม ได้ออกเดินทางจาก สนามบินนานาชาติภูเก็ต เวลา 09:45 น.
และถึงสนามบิน ชางกี เวลา 12:40น. ตามเวลาท้องถิ่นสิงคโปร์ ซึ่งเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง
หลังจากเข้าที่พัก (ทางมหาวิทยาลัยจัดไว้ให้) จัดการทุกอย่างเรียบร้อย มีเวลาอีก 4 วันในสิงคโปร์
สำหรับการเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิต และเที่ยวให้เต็มที่ ปกติผมเป็นคนที่ชอบเรื่องการลองผิดลองถูกอยู่แล้วเป็นปกติ เช้าวันถัดมาจึงออกไปเที่ยวตามประสา ดูๆสถานที่ท่องเที่ยวเอาจากในกูเกิ้ล แหะๆ
2. บัตร EZ Link บัตรใบนี้สามารถใช้ได้กับ รถไฟฟ้าใต้ดิน(MRT) / รถบัส และตู้เครื่องดื่มหยอดเหรียญบางตู้ หาซื้อได้ตาม 7-11 และสถานีรถไฟฟ้า ราคาตามเซเว่นจะสูงกว่าเพราะ ลวดลายบนบัตรจะเป็นลายการ์ตูนน่ารักๆ แต่ถ้าหากอยากจะประหยัดก็ซื้อที่สถานีรถไฟฟ้าได้เลย จะเป็นบัตรธรรมดาๆ ราคา $12 มีเงินในบัตรให้ $7 และการ Top-up บัตรสามารถเติมได้ทั้งที่ 7-11 (ค่าธรรมเนียม 50 เซ็นต์) และที่สถานีรถไฟฟ้า ทั้ง2ที่ กำหนดขั้นต่ำ $10 ต่อครั้ง หรือประมาณ 250 บาท.
3. ควรพกน้ำติดตัวไว้สักขวด อาจจะยอมลงทุนซื้อแล้วเก็บขวดไว้เติม / บางที่จะมีแท่นน้ำดื่มสาธารณะ เราก็เอาไปเติมได้ครับ
4.1 Gothere.sg แอปตัวนี้จะช่วยได้เยอะเวลาเดินทาง แค่เราระบุ ต้นทาง และ ปลายทาง แอปจะบอกเราทั้งหมดว่าให้ไปยังไง ขึ้นรถสายไหน ลงที่ป้ายไหน
- ง่ายๆเลยครับ ไม่ต่างจากรถไฟฟ้าบ้านเรา แค่ดูสถานีที่เราอยู่ และ ดูสถานีที่เราจะไป ให้มองว่างปลายทางของเราสายสีอะไร และเลขอะไร ที่เหลือก็เดินไปตามป้ายเลยครับผม
- สำหรับรถบางสายจะหยุดให้บริการในวันอาทิตย์และวันหยุดราชการของสิงคโปร์ครับ ยกตัวอย่างเช่น เลข 70 จะวิ่งวันจันทร์ –เสาร์ วันอาทิตย์และวันหยุดราชการจะเป็นเลข 70M แทนครับ แต่ก็ยังวิ่งในเส้นทางเดิมครับ เราสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ป้ายรถเมล์คับ
มาถึงก็ เดินสุ่มๆตามป้ายเอาครับ มาโผล่ตรงหลัง MBS สวยมากๆคับ สูงสุดลูกหูลูกตา
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น