ฝากอ่านและวิจารณ์ด้วยค่ะ ยังไม่ได้ตั้งชื่อเรื่องเลย เผื่อเป็นกำลังใจ/ข้อควรปรับปรุงในการเขียนต่อ
ขอบคุณมากค่ะ
....15.00 น. กรุงเทพมหานคร
ท่ามกลางการจราจรแน่นขนัดบนสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าขาออกจากพระนคร
อากาศร้อนระอุปลายเดือนเมษายน ขนาดบ่ายแก่ๆ แล้ว พระอาทิตย์ยังคงแผดเผามองเห็นไอแดดเหนือพื้นถนนเต้นพริ้วไหว
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
หญิงสาวแต่งตัวทะมัดทะแมง เชิ้ตสีขาวสอดชายเสื้อเข้าในกระโปรงสีดำทรงสอบแนบต้นขายาวเสมอเข่า สวมแจ็กเก็ตผ้าเนื้อบางสีดำพอดีตัว มีป้ายชื่อคล้องคอเหมือนเป็นพนักงานบริษัทหรือหน่วยงานของรัฐอะไรสักอย่าง ผมสีน้ำตาลซอยสั้นรับกับใบหน้าคมขำที่แต่งแต้มเครื่องสำอางค์เพียงเล็กน้อย ไหล่ซ้ายสะพายเป้สีเทา-ดำแนบข้างลำตัว มือซ้ายจับสายเป้เหนือบ่าเผยให้เห็นเฝือกอ่อนสีขาวหุ้มข้อมือโผล่พ้นชายแขนเสื้อออกมา เธอกึ่งวิ่งกึ่งเดินหันรีหันขวางอยู่ในทางเดินเท้าบนสะพาน ท่าทางอยากจะวิ่งให้เต็มฝีเท้าแต่ถูกจำกัดด้วยร้องเท้าส้นสูงและกระโปรงทรงสอบแคบ พร้อมกวาดสายตามองรถบนสะพาน
ฉับพลัน....เธอตัดสินใจก้าวเท้าลงไปบนถนน วิ่งผ่านรถที่จอดนิ่งสนิทเรียงกันเป็นพรืด เปิดประตูรถแท็กซี่สัญญานไฟ “ว่าง” คันหนึ่งพลั๊วะออก...หญิงสาวสอดตัวเข้าไปนั่งบนเบาะหน้าคู่คนขับ ปิดประตูอย่างเร่งรีบ หย่อนเป้ลงไปที่วางเท้า ก้มหน้าก้มตาคาดเข็มขัดนิรภัย พร้อมออกคำสั่งเสียงเข้ม
“น้องแท็กซี่...ตามรถสีดำคันนั้นไป”
เธอเงยหน้าขึ้น ชี้นิ้วไปที่รถยนต์ BMW แต่งซิ่งสีดำติดฟิส์มทึบที่วิ่งอยู่เลนขวาห่างไปข้างหน้า 2 คัน
“นั่น...นั่น คันนั้น บีเอ็มสีดำคันนั้นเห็นมั้ย” เสียงหอบเล็กน้อย หน้าแดงระเรื่อ เหงื่อไหลเป็นทางข้างแก้มนวล
“คะ คะ คุณพี่ผู้โดยสารจะให้ตามรถคันนั้นเหรอครับ ต้องตามไปถึงไหนครับ คะ คะ คือถ้าไกลมาก หรืออกนอกเส้นทาง ผมอาจไม่สะดวก คะ คะ คือว่า...” ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่า “น้องแท็กซี่” พูดติดอ่างนิด ๆ สำเนียงเหน่อ แบบคนจังหวัดสุพรรณบุรีเริ่มอุทธรณ์ขณะที่หน้าก็ยังงง ๆ อยู่
“อะไร? ไม่สะดวกอะไร?” หญิงสาวหันขวับมา น้ำเสียงหงุดหงิด นิ้วที่ชี้รถคันหน้าค้างอยู่เปลี่ยนมาชี้หน้าน้องแท็กซี่แทน
“ก็ป้ายหน้ารถบอกว่าว่างไง” เธอเอื้อมมือตบลงไปบนป้ายไฟหน้ารถแท็กซี่ ปั่ก ปั่ก
“ไม่สะดวกยังไง??? ส่งรถ แก๊สหมด ไปไม่ถูก ลูกไม่สบาย เมียใกล้คลอด” เธอยกสารพัดเหตุผลที่คนขับแท็กซี่ชอบอ้างเวลาปฏิเสธผู้โดยสาร
“คะ คะ คือว่า....” เขาตั้งใจจะตอบสักเหตุผล
“นี่น้อง ไม่ต้องคง ต้องคือเลย พี่รีบ แล้วก็ไม่ต้องถามด้วยว่าจะไปไหน บริษัทประกันเค้ายังไม่ถงไม่ถามซ้ากกก..คำ แค่ตามรถคันนั้นไป เข้าใจ๊?”
น้ำเสียงเธอเริ่มเย็นลง ยกหลังมือปาดเหงื่อบนหน้าและแก้ม จากนั้นก้มตัวลงไปตรงช่องแอร์ จับสาบเสื้อเชิ้ตสบัดพรึบ ๆ ไล่ความร้อน กลิ่นสบู่เด็กหอมอ่อน ๆ ลอยมา.....
“คะ...คะ...คือว่า....” เขายังพยายามจะอธิบาย แต่ต้องกลืนน้ำลายดังเอื๊อก!!! เมื่อสายตาดันส่องลงไปเห็นเนินอกขาวรำไร ๆ ตามจังหวะคอเสื้อที่พรึบเข้าพรึบออก เขารีบหันหน้ามองถนนก่อนที่เธอจะรู้ตัว
หญิงสาวเอนตัวขึ้นกลับมานั่งท่าเดิม ถอนหายใจหนัก ๆ หนึ่งที ชายหนุ่มถอนหายใจโล่งอกเหมือนกัน
“เอางี้น้อง พี่ไม่ได้อยากเบ่งหรือแสดงตัวอะไร ” เธอเว้นระยะพูดนิดนึงเหมือนตัดสินใจ
“พี่เป็นตำรวจ” ประโยคสุดท้ายเธอพูดเหมือนกระซิบกลัวว่าใครจะได้ยิน พร้อมหยิบป้ายชื่อคล้องคอยื่นไปตรงหน้าน้องแท็กซี่ คงเพราะสายคล้องมันสั้น เธอเลยต้องยื่นหน้าตามไปแทบจะชนกับไหล่ของเขา
ชายหนุ่มใจสั่นอีกรอบ ผงะไปด้านข้างเล็กน้อย พยายามมองป้ายที่ถูกยื่นมาตรงหน้า เห็นภาพถ่ายหญิงสาว ตราสัญลักษณ์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังไม่ทันได้อ่านอะไร ป้ายก็ถูกดึงกลับคืน เธอถอดป้ายคล้องคอออก ก้มลงไปเปิดกระเป๋าเป้ด้านหน้าและยัดมันลงไป
“พะ พะ พี่เป็นตำรวจ!!!!” เขาระล่ำระลักถามเสียงสูง หน้าซีดตกใจสุดขีดหลังจากเห็นป้ายชื่อ
“ไม่เห็น ตะ ตะ แต่งเครื่องแบบเลย พะ พะ พี่ร้อยตำรวจเอกปลอมตัวมา จะ จะ จับแท็กซี่ไม่รับผู้โดยสารเหรอครับ คะ คะ คือ ผมไม่เคย ปฏิเสธผู้โดยสารนะครับ ผมแค่คนหาเช้ากินค่ำ ยะ ยะ อย่าจับปรับผมเลย นะ นะ ครับ ผมไม่มีตังค์เสียค่าปรับ ผะ ผะ ผมเพิ่งออกมา วะ วะ วันนี้ยังไม่ได้ค่าเช่ารถ ละ ละ เลย” น้องแท็กซี่หน้าจ๋อย พยามยามอธิบาย ยกมือไหว้ปะหลก ๆ
“เฮ้ย!..น้อง ไม่ต้องไหว้” เธอกลับมาทำเสียงเข้ม เอื้อมไปตีมือที่พนมท่วมหัวดังเพี๊ยะ!! เขาลดมือลงอัตโนมัติ ทำตาปริบ ๆ
“โอเค พี่จะอธิบายสั้น ๆ นะ คือพี่จำเป็นต้องตามรถเป้าหมายคันนั้นไป” เธอชี้ไปที่รถ BMW สีดำที่ยังจอดนิ่งอยู่ที่เดิม
“นี่เป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน ขอให้น้องช่วยราชการตำรวจหน่อย ตามรถคันนั้นไป กดมิเตอร์ มิเตอร์ขึ้นเท่าไร พี่จ่ายเพิ่มให้อีกสองเท่า โอเค๊?....” เธอหันมาเอียงหน้าถาม
“......เค๊??” เธอถามซ้ำเมื่อเห็นเขายังเงียบอยู่
เขาได้แต่พยักหน้าหงึกๆ แทนคำตอบ กดมิเตอร์เหมือนถูกมนต์สะกด
“ดีมากน้อง”
มือใหม่หัดเขียนเรื่องสั้น ช่วยวิจารณ์ด้วย ขอบคุณมากค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ
....15.00 น. กรุงเทพมหานคร
อากาศร้อนระอุปลายเดือนเมษายน ขนาดบ่ายแก่ๆ แล้ว พระอาทิตย์ยังคงแผดเผามองเห็นไอแดดเหนือพื้นถนนเต้นพริ้วไหว
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
หญิงสาวแต่งตัวทะมัดทะแมง เชิ้ตสีขาวสอดชายเสื้อเข้าในกระโปรงสีดำทรงสอบแนบต้นขายาวเสมอเข่า สวมแจ็กเก็ตผ้าเนื้อบางสีดำพอดีตัว มีป้ายชื่อคล้องคอเหมือนเป็นพนักงานบริษัทหรือหน่วยงานของรัฐอะไรสักอย่าง ผมสีน้ำตาลซอยสั้นรับกับใบหน้าคมขำที่แต่งแต้มเครื่องสำอางค์เพียงเล็กน้อย ไหล่ซ้ายสะพายเป้สีเทา-ดำแนบข้างลำตัว มือซ้ายจับสายเป้เหนือบ่าเผยให้เห็นเฝือกอ่อนสีขาวหุ้มข้อมือโผล่พ้นชายแขนเสื้อออกมา เธอกึ่งวิ่งกึ่งเดินหันรีหันขวางอยู่ในทางเดินเท้าบนสะพาน ท่าทางอยากจะวิ่งให้เต็มฝีเท้าแต่ถูกจำกัดด้วยร้องเท้าส้นสูงและกระโปรงทรงสอบแคบ พร้อมกวาดสายตามองรถบนสะพาน
ฉับพลัน....เธอตัดสินใจก้าวเท้าลงไปบนถนน วิ่งผ่านรถที่จอดนิ่งสนิทเรียงกันเป็นพรืด เปิดประตูรถแท็กซี่สัญญานไฟ “ว่าง” คันหนึ่งพลั๊วะออก...หญิงสาวสอดตัวเข้าไปนั่งบนเบาะหน้าคู่คนขับ ปิดประตูอย่างเร่งรีบ หย่อนเป้ลงไปที่วางเท้า ก้มหน้าก้มตาคาดเข็มขัดนิรภัย พร้อมออกคำสั่งเสียงเข้ม
“น้องแท็กซี่...ตามรถสีดำคันนั้นไป”
เธอเงยหน้าขึ้น ชี้นิ้วไปที่รถยนต์ BMW แต่งซิ่งสีดำติดฟิส์มทึบที่วิ่งอยู่เลนขวาห่างไปข้างหน้า 2 คัน
“นั่น...นั่น คันนั้น บีเอ็มสีดำคันนั้นเห็นมั้ย” เสียงหอบเล็กน้อย หน้าแดงระเรื่อ เหงื่อไหลเป็นทางข้างแก้มนวล
“คะ คะ คุณพี่ผู้โดยสารจะให้ตามรถคันนั้นเหรอครับ ต้องตามไปถึงไหนครับ คะ คะ คือถ้าไกลมาก หรืออกนอกเส้นทาง ผมอาจไม่สะดวก คะ คะ คือว่า...” ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่า “น้องแท็กซี่” พูดติดอ่างนิด ๆ สำเนียงเหน่อ แบบคนจังหวัดสุพรรณบุรีเริ่มอุทธรณ์ขณะที่หน้าก็ยังงง ๆ อยู่
“อะไร? ไม่สะดวกอะไร?” หญิงสาวหันขวับมา น้ำเสียงหงุดหงิด นิ้วที่ชี้รถคันหน้าค้างอยู่เปลี่ยนมาชี้หน้าน้องแท็กซี่แทน
“ก็ป้ายหน้ารถบอกว่าว่างไง” เธอเอื้อมมือตบลงไปบนป้ายไฟหน้ารถแท็กซี่ ปั่ก ปั่ก
“ไม่สะดวกยังไง??? ส่งรถ แก๊สหมด ไปไม่ถูก ลูกไม่สบาย เมียใกล้คลอด” เธอยกสารพัดเหตุผลที่คนขับแท็กซี่ชอบอ้างเวลาปฏิเสธผู้โดยสาร
“คะ คะ คือว่า....” เขาตั้งใจจะตอบสักเหตุผล
“นี่น้อง ไม่ต้องคง ต้องคือเลย พี่รีบ แล้วก็ไม่ต้องถามด้วยว่าจะไปไหน บริษัทประกันเค้ายังไม่ถงไม่ถามซ้ากกก..คำ แค่ตามรถคันนั้นไป เข้าใจ๊?”
น้ำเสียงเธอเริ่มเย็นลง ยกหลังมือปาดเหงื่อบนหน้าและแก้ม จากนั้นก้มตัวลงไปตรงช่องแอร์ จับสาบเสื้อเชิ้ตสบัดพรึบ ๆ ไล่ความร้อน กลิ่นสบู่เด็กหอมอ่อน ๆ ลอยมา.....
“คะ...คะ...คือว่า....” เขายังพยายามจะอธิบาย แต่ต้องกลืนน้ำลายดังเอื๊อก!!! เมื่อสายตาดันส่องลงไปเห็นเนินอกขาวรำไร ๆ ตามจังหวะคอเสื้อที่พรึบเข้าพรึบออก เขารีบหันหน้ามองถนนก่อนที่เธอจะรู้ตัว
หญิงสาวเอนตัวขึ้นกลับมานั่งท่าเดิม ถอนหายใจหนัก ๆ หนึ่งที ชายหนุ่มถอนหายใจโล่งอกเหมือนกัน
“เอางี้น้อง พี่ไม่ได้อยากเบ่งหรือแสดงตัวอะไร ” เธอเว้นระยะพูดนิดนึงเหมือนตัดสินใจ
“พี่เป็นตำรวจ” ประโยคสุดท้ายเธอพูดเหมือนกระซิบกลัวว่าใครจะได้ยิน พร้อมหยิบป้ายชื่อคล้องคอยื่นไปตรงหน้าน้องแท็กซี่ คงเพราะสายคล้องมันสั้น เธอเลยต้องยื่นหน้าตามไปแทบจะชนกับไหล่ของเขา
ชายหนุ่มใจสั่นอีกรอบ ผงะไปด้านข้างเล็กน้อย พยายามมองป้ายที่ถูกยื่นมาตรงหน้า เห็นภาพถ่ายหญิงสาว ตราสัญลักษณ์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังไม่ทันได้อ่านอะไร ป้ายก็ถูกดึงกลับคืน เธอถอดป้ายคล้องคอออก ก้มลงไปเปิดกระเป๋าเป้ด้านหน้าและยัดมันลงไป
“พะ พะ พี่เป็นตำรวจ!!!!” เขาระล่ำระลักถามเสียงสูง หน้าซีดตกใจสุดขีดหลังจากเห็นป้ายชื่อ
“ไม่เห็น ตะ ตะ แต่งเครื่องแบบเลย พะ พะ พี่ร้อยตำรวจเอกปลอมตัวมา จะ จะ จับแท็กซี่ไม่รับผู้โดยสารเหรอครับ คะ คะ คือ ผมไม่เคย ปฏิเสธผู้โดยสารนะครับ ผมแค่คนหาเช้ากินค่ำ ยะ ยะ อย่าจับปรับผมเลย นะ นะ ครับ ผมไม่มีตังค์เสียค่าปรับ ผะ ผะ ผมเพิ่งออกมา วะ วะ วันนี้ยังไม่ได้ค่าเช่ารถ ละ ละ เลย” น้องแท็กซี่หน้าจ๋อย พยามยามอธิบาย ยกมือไหว้ปะหลก ๆ
“เฮ้ย!..น้อง ไม่ต้องไหว้” เธอกลับมาทำเสียงเข้ม เอื้อมไปตีมือที่พนมท่วมหัวดังเพี๊ยะ!! เขาลดมือลงอัตโนมัติ ทำตาปริบ ๆ
“โอเค พี่จะอธิบายสั้น ๆ นะ คือพี่จำเป็นต้องตามรถเป้าหมายคันนั้นไป” เธอชี้ไปที่รถ BMW สีดำที่ยังจอดนิ่งอยู่ที่เดิม
“นี่เป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน ขอให้น้องช่วยราชการตำรวจหน่อย ตามรถคันนั้นไป กดมิเตอร์ มิเตอร์ขึ้นเท่าไร พี่จ่ายเพิ่มให้อีกสองเท่า โอเค๊?....” เธอหันมาเอียงหน้าถาม
“......เค๊??” เธอถามซ้ำเมื่อเห็นเขายังเงียบอยู่
เขาได้แต่พยักหน้าหงึกๆ แทนคำตอบ กดมิเตอร์เหมือนถูกมนต์สะกด
“ดีมากน้อง”