หนังสือ...ต้องมีบรรณาธิการ - (จริงไหมจ๊ะ ?)

หนังสือต้องมีบรรณาธิการ
ไม่มีบรรณาธิการแล้วมันจะเป็นหนังสือได้ยังไง

ส่วนบรรณาธิการจะมีฝีมือแค่ไหน  
นั่นว่ากันอีกชั้นหนึ่ง

  - "นายเรืองเดช จันทรคีรี" บ.ก.ดีเด่นรางวัลคุณนิลวรรณ ปิ่นทอง
    ว่าไว้ในเฟซบุ๊ก (๑ ก.ย. ๒๐๑๕ / ๒๕๕๘)
    ที่หัวสเตตัส ข้อคิดเห็นของ Kiriyakon Vut ที่แชร์มา

.......................................................................

ซีไรท์ ไม่ได้แข่งกันแค่ที่ผลงานขอนักเขียน
แต่แข่งกันที่ฝีมือบรรณาธิการด้วย
- ผม (Kiriyakon Vut ) ว่าเองนะ
............................................

ในจำนวนหนังสือที่เข้ารอบสุดท้าย 9 เล่มรางวัลซีไรท์ประจำปี 2558 ปีนี้
เป็นผลงานของ

แพรวสำนักพิมพ์ 3 เล่มคือ กาหลมหรทึก ของ ปราปต์,
ประเทศเหนือจริง ของ ปองวุฒิ และรักในรอยบาป ของ เงาจันทร์

สำนักพิมพ์มติชน 2 เล่ม คือ เนรเทศ ของ ภู กระดาษ
และไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต ของ วีรพร นิติประภา

นอกนั้นสำนักพิมพ์ละ 1 เล่ม คือ
จุติ ของ อุทิศ เหมะมูล โดยสำนักพิมพ์จุติ
พิพิธภัณฑ์เสียง ของ จิรัฏฐ์ ประเสริฐทรัพย์ โดย Salmon books
หรือเป็นเราที่สูญหาย ของ จเด็จ กำจรเดช โดยผจญภัย สำนักพิมพ์
และ
หลงลบลืมสูญ ของ วิภาส ศรีทอง โดย สมมุติ สำนักพิมพ์

ในจำนวนนี้ เป็นนักเขียนที่เคยคว้าซีไรท์มาแล้ว 3 ท่านคือ
อุทิศ เหมะมูล(ลับแล แก่งคอย, นวนิยาย แพรวสำนักพิมพ์),
จเด็จ กำจรเดช (แดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่งจิบกาแฟ, รวมเรื่องสั้น, ผจญภัย)
และวิภาส สีทอง(คนแคระ, นวนิยาย, สมมุติ)

นอกจากนั้นหาก ยกเว้น เงาจันทร์ แล้ว น่าจะนับหรือถือว่าเป็นมือใหม่
แม้บางทานจะเป็นมือรางวัลมากมาย
และแทบทุกท่านล้วนมีรางวัลทางวรรณกรรมติดมือมา
และบางท่านอาจมีผลงานตีพิมพ์มากกว่านักเขียนมีชื่อซะอีก

ผมเชื่อว่าผลงานของนักเขียนทั้ง 9 ท่าน 9 เล่ม
มีคุณภาพตามน้ำหนักและรสนิยมตามแนวทางของตนเอง
ส่วนว่าจะดีหรือไม่ย่อมอยู่ที่น้ำหนักในรสนิยมของผู้อ่านนั้นๆ ก็ว่ากันไป

แต่สิ่ที่ผมสนใจในที่นี้ คือ การทำงานของบรรณาธิการ

การเลือกเอาผลจากรอบสุดท้ายซีไรท์มาพิจารณา
ย่อมไม่ใช่มาตรฐานในการตัดสินคุณค่าโดยรวมของวรรณกรรมไทย
หากแต่การหยิบเอาประเด็นนี้มาครอบเพื่อแลมองนั้น
น่าจะพอทำให้เราได้เห็นอะไรบางอย่าง
ในปรากฎการณ์ของวงวรรณกรรมไทยปัจจุบัน

อันนี้ก็ว่ากันไปตามสายตานะครับ
คือ ผมอยากบอกว่า ถ้าเราย้อนกลับไปดูรายชื่อหนังสือและสำนักพิมพ์
ที่มีผลงานเข้ารอบสุดท้ายรางวัลซีไรท์ในหลายปีที่ผ่านมา
เกณฑ์ของสำนักพิมพ์ที่ออกมามีค่าเฉลี่ยไม่ต่างไปจากปีนี้มากนัก
นั่นคือ มีแพรวสำนักพิมพ์ อยู่ 2-3 เล่ม
มติชน 2-3 เล่ม  นอกจากนั้นก็จะมีสำนักพิมพ์ย่อยปีละเล่ม 2 เล่ม
ก็ว่ากันไปตามปริมาณงาน

ปีนี้อาจจะแปลกหน่อย  ก็ตรงที่ขาดสำนักพิมพ์หลัก
ที่มักมีงานเข้ารอบ (และคว้ารางวัลบ่อยครั้ง) อีกแห่งหนึ่งนั่นคือ สำนักพิมพ์สามัญชน
ที่มี บก.คือ ดอนเวียง-วชิระ บัวสนธ์ ของผม (ไม่แน่ใจว่าปีนี้มีผลงานส่งเข้าประกวดหรือเปล่า - ขี้เกียจรื้อ)

เว้นไว้แต่สำนักพิมพ์ใหญ่ 2 แห่งคือ มติชน และแพรวแล้ว
ที่เหลือในที่นี้ผมขอเรียกว่าสำนักพิมพ์ย่อยหรือสำนักพิมพ์ก็แล้วกัน

อย่างที่บอก ในจำนวนรายชื่อสำนักพิมพ์เล็กในบ้านเรา
ที่มีผลงานคว้าซีไรท์มามากหรือเข้ารอบมาก
น่าจะมีชื่อของ "สามัญชน" มาเป็นอันดับหนึ่ง และ/หรือ มีสำนักพิมพ์นาคร อีกแห่ง
ที่มีงานคว้ารางวัลและมีงานเข้ารอบมาไม่น้อยเช่นกัน (ซึ่งปีนี้ก็หายไป)

ที่เหลือนอกจากนั้นและน่าจับตามองก็คือ
ผจญภัยสำนักพิมพ์ กับ สำนักพิมพ์สมมุติ ที่กำลังมาแรงในทุกสนามวรรณกรรม

(ส่วน สนพ.จุติ "ผมคิดว่า - อุทิศ น่าจะเป็นบรรณาธิการเอง - อันนี้คิดเองนะครับ ไม่มีข้อมูล"
และ Salmon books นั้น เราละไว้ก่อน เพราะถือว่าใหม่มากและมีเงื่อนไขเฉพาะ
โดยเฉพาะ Salmon books นี่ก็น่าจับตาในระยะหลังมานี้)

ครับ - เหตุที่ผมออกจะชอบการตัดสินของคณะกรรมการคัดเลือกในปีนี้
ก็เพราะสิ่งที่เห็นนี้  มันแสดงให้เห็นถึงงานคุณภาพ
ที่ล้วนแล้วแต่มีบรรณาธิการที่ทำงานเข้มข้น

อย่างที่กล่าวมา 2 สำนักพิมพ์ใหญ่นั้น  
รู้ๆ กันอยู่ว่าเขามีระบบบรรณาธิการที่ชัดเจนมานับแต่ต้น
ขณะที่สำนักพิมพ์เล็ก ไม่ว่า สามัญชน นาคร (?) ผจญภัย สมมุติ
(อาจรวมแซลมอน และจุติ เข้าไปด้วยก็ได้)
ต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นสำนักพิมพ์ที่ให้ความสำคัญกับบรรณาธิการ

คือผมอยากพูดอย่างนี้ครับ - ที่ผ่านมา
ผมได้ยินบรรดานักเขียนใหม่ๆ หลายท่าน มักบอกว่ามีเงินก็เอางานมาพิมพ์เอง
ไม่เห็นต้องง้อ บรรณาธิการหรือสำนักพิมพ์เลย ในเมื่องานเราดีอยู่แล้ว

ทุกครั้งที่ได้ยิน ผมในฐานะนักอ่านและคนทำหนังสือ
อยากจะบอกว่า นั่นคือหนทางแห่งความตายครับ...
หากเราคิดแค่ว่า จะเอางานเขียนของเราออกเสนอต่อสาธารณชนอย่างเดียว
และคิดแค่ว่าทำไปเพื่อขายๆ ให้แค่พอได้ทุนคืนละก็ อันตรายครับ

เหตุก็เพราะ นอกจากงานของคุณจะถูกอ่านถูกมองด้วยสายตาเดียว
คือสายตาของผู้เขียน (ซึ่งมักจะเห็นจุดดีของงานเป็นส่วนใหญ่) แล้ว
งานที่ออกไปนั้นก็กลายเป็นแค่งานอัตตาของเราเอง

การมีบรรณาธิการที่เก่งที่ดีนั้น
นอกจากจะมีคนช่วยในการอ่านในการวิพากษ์วิจารณ์แล้ว
ยังมีคนคอยชี้และแนะแง่มุมดีๆ ให้แก่หนังสือของเราอีก
ไม่เพียงเท่านั้น ยิ่งหากว่าบรรณาธิการคนนั้นๆ มีน้ำหนักหรือที่นั่งที่ยืน
ที่ได้รับการยอมรับในเรื่องฝีมือการอ่านการทำหนังสือด้วยแล้ว
งานของเราก็จะยิ่งโดดเด่นขึ้น

ไม่มีอะไรมากครับ อยากบอกว่า บรรณาธิการยังสำคัญอยู่เสมอครับ

ปัจจุบันนี้ ผมได้ยินว่า มีการเปิดหลักสูตรบรรณาธิการในระดับมหาวิทยาลัยกันมากขึ้น
ก็ได้แต่หวังละครับว่า วันหน้าบ้านเราจะมีบรรณาธิการเก่งๆ เพิ่มมากยิ่งขึ้น

นอกจากนักเขียนแล้ว  สำนักพิมพ์ก็เช่นกันครับ
หลายแห่งยังขาดการให้ค่ากับบรรณาธิการอยู่
ซึ่งนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องมาร่วมพิจารณากัน

ในสายตาผมอีกละครับ - ผมอยากบอกว่า
เชื่อหรือเปล่า? ในการประกวดรางวัลวรรณกรรม (หนังสือเล่มนะครับ)
นอกจากเป็นการแข่งขันกันในฝีมือการเขียนแล้ว
ยังเป็นการแข่งขันโชว์ฝีมือของบรรณาธิการด้วย
ถ้าไม่เชื่อลองย้อนกลับไปดูหนังสือที่ได้รางวัลนี้มาตลอดซิ
ล้วนแล้วแต่มีชื่อของบรรณาธิการเก่งๆ ควบอยู่เสมอ

ไม่อยากยืดยาวว่าเพราะอะไรนะครับ - คิดกันเอาเอง
. . .
- ปล. ภาพประกอบขอยิมมาจากเฟซบุ๊คของคุณพินิจ นิลรัตน์ครับ ไม่ได้ถ่ายมาเอง
(เป็นภาพ ๙ เล่ม Shortlist รางวัลซีไรต์ปีนี้ ที่ panda เอามาแปะไม่เป็น)

ปล. 2  ขอโทษ ลืม สนพ.รูปจันทร์ ของ บก.ยอดฝีมือ เสี้ยวจันทร์ ของผมไปอีกแห่ง
รายนี้ก็แสดงให้เห็นถึงฝีมือของ บก.ครับ (ไม่เอ่ยถึงเด๋วมีงอน)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่