พูดก็พูดเหอะ ความ ‘เหงา’ มันเข้าใครออกใครซะที่ไหนล่ะ..
จะฝนตก รถติด นั่งรถเมล์ แม้กระทั่งเดินไปซื้อข้าวหน้าปากซอยก็ยังเหงา
เรามองว่าหลายคนจะรู้สึกเหงาเมื่อต้องอยู่คนเดียว ทำอะไรคนเดียว บ้างก็เหงาเพราะไม่ได้รับความสนใจจากคนรอบข้าง
บางคนเหงาแม้จะอยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูงมากมาย หรือแม้กระทั่งเหงาทั้งๆที่อยู่กับคนรัก
แต่สำหรับเรา..ความเหงามันก็คือ เพื่อน
มันจะคอยกระตุ้น ‘ความอยาก’ ให้ทำนู่นทำนี่จนตามใจตัวเองไม่ถูกเลยล่ะ
เรียกได้ว่าเรานี่แหละ คือ ‘นักฉวยโอกาสจากความเหงาตัวยง’
จะว่าไป..สกิลความโสดในชีวิตประจำวันของเรา มันก็เหลือแค่เที่ยวต่างจังหวัดกับปั่นเรือเป็ดคนเดียวนิแหละที่ยังไม่เคยทำ
(อันหลังนี่น่าจะยังไม่กล้า แอดวานซ์ไปป่ะ 555+) ทริปสั้นๆนี้จึงเกิดขึ้น กระทู้นี้ไม่ได้รีวิวลงในรายละเอียดมากมายนะคะ
เพราะจำไม่ได้ (แง่ว!!) เป็นแค่พื้นที่บันทึกการเดินทางคนเดียวครั้งแรกของเรา อารมณ์อยากอวดชาวบ้านด้วยความภาคภูมิใจว่า
เออ!ชะนีเปลี่ยวๆคนเดียวมันก็เที่ยวได้นะเฟ่ย 555+ (เพ้อเจ้อตามประสา ไม่ว่ากันเนอะ)
เชียงใหม่เป็นช้อยส์แรกที่เราอยากไป เพราะจำได้ว่าตั้งแต่ไปทัศนศึกษาตอนม.ต้น เราก็ไม่ได้มีโอกาสไปเที่ยวเชียงใหม่เลย
อีกอย่างเราชอบไปทะเลมากกว่า แต่ทริปนี้ลองเชียงใหม่สักตั้งสิ จะเป็นไง? รอดไม่รอด ฮ่าๆๆ
เอาล่ะ พอพูดถึงเชียงใหม่ สิ่งแรกที่เรานึกถึงเลยก็คือ ‘ช้าง’ ว่าละก็ลงมือหาข้อมูล
สุดท้ายมาสะดุดตาที่ ‘1วันกับการฝึกช้างแสนรู้’ ของบริษัท chaingmai country tour
โอเค! ไม่ลังเล ตัดสินใจไปที่นี่แหละ ให้พี่เค้ามารับที่สนามบินเลยง่ายดี
วันที่2ค่อยเที่ยวในเมืองเชียงใหม่ โรงแรมก็ใช้voucherที่ซื้อจากงานไทยเที่ยวไทยละกัน
นี่คือการวางแผนคร่าวๆ เอาล่ะ! เริ่ม! Let’s Go!!
Day1:: ๒๗ เมษายน ๒๕๕๘
ตื่นแต่เช้ามืด รีบทำให้ตัวเองกระปรี้กระเปร่า ยัดของลงเป้คู่ใจ ตรงดิ่งมาสนามบินดอนเมืองให้ไวที่สุด
เผื่อเวลานั่งโซ้ยโจ๊กรองท้องซะหน่อย และแล้วก็ได้เวลาเครื่องออก ความง่วงไม่มีสักนิด
ตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ออกเดินทาง เอนจอยกับวิวระหว่างทาง ฟ้าใสๆแดดอ่อนๆ อ่านหนังสือเล่มโปรด พริ้มสุดละค่ะเวลานี้
ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง เจ้านกเหล็กก็พาเรามาถึงที่หมาย ว่าละก็รีบโทรศัพท์หาพี่ที่จะมารับเราทันที
‘อ๋อ ค่ะๆกำลังไปรับนะคะ ตอนนี้กำลังทยอยรับแขกจากโรงแรมอยู่ค่ะ ไม่เกิน15นาทีค่ะ’
ใช้เวลาระหว่างรอเดินสำรวจสนามบินที่อยู่ติดภูเขา อากาศดีจัง ซักพักรถตู้พร้อมเพื่อนร่วมทางก็ได้มารับเราเป็นคนสุดท้าย
ลูซี่ไกด์ท้องถิ่นผู้น่ารักก็ได้ทักทายและชวนคุย พูดถึงกิจกรรมที่จะทำกันแบบคร่าวๆ ในระหว่างที่รถก็ได้ค่อยๆพาเราลัดเลาะไปตามภูเขาสูง
ใช้เวลาไม่นาน เราก็มาถึงตลาดเล็กๆที่อยู่ระหว่างทางแห่งหนึ่ง
มีผัก ผลไม้ ของกินเยอะแยะเลยแหละ
เรามีเวลา 30นาทีเพื่อซื้ออาหารสดไปทำกับข้าวเที่ยงกัน ล่ะก็ต้องซื้อผลไม้ไปฝากน้องช้างด้วย
เดินเคี้ยวแตงโมฉ่ำๆ ถ่ายรูปเล่น
ทุกคนดูสนิทกันไวมาก เย่! ก็นึกว่าจะหงอยไม่มีเพื่อนซะอีก
ที่สังเกตได้ คือทุกคนมาเป็นคู่ แต่ชะนีนางนี้นางมาคนเดียวค่ะ (ง่อวว แคร์ไร 555+)
ลูซี่บอกเราเป็นลูกค้าคนไทยคนแรกที่มาคนเดียว
(ยิ้มแรงๆด้วยความภูมิใจ)
และแล้วรถตู้ก็ได้มาจอดกลางภูเขาลูกหนึ่ง มองไปรอบๆไหนล่ะช้าง ไหนล่ะบ้านคน
คิดในใจ เค้าจะพาเรามาขายป่ะวะเนี่ย
คือรอบตัว มีแค่ป่ากับภูเขาค่ะ
ลูซี่บอกพวกเราต้องเดินลงไปข้างล่างเกือบๆ2กม. พวกเราช่วยกันถือของคนละไม้คนละมือ
ระหว่างนั้นมีรถกระบะขนอ้อยจนเต็มคันผ่านไป ลูซี่บอกเราว่า
"ทั้งคันน่ะเลี้ยงช้างได้แค่ตัวเดียวนะ กินแป๊บเดียวก็หมดละ" (ห๊ะ!นั่นเรียกว่ากิน)
ไกลเหมือนกันนะเนี่ย (ให้อารมณ์เหมือนเดินทางไกลสมัยเรียนลูกเสือเนตรนารี)
ในที่สุดก็ถึงปางช้างของเราแล้วนะ เย้!..เย้ไรเข่าทรุดคางเหลืองละค่ะ
เจ้าถิ่นหน้าตาขี้อ้อนวิ่งออกมารับเรา
พี่ไกด์ที่จะดูแลเราอีกคนก็ได้เข้ามาทักทายด้วยหน้าตายิ้มแย้ม เป็นกันเอง
รอบๆตัวเราตอนนี้มีแค่ช้าง ต้นไม้ ลำธาร และกระท่อมหลังกะทัดรัดสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาฝึกหลายวัน
โดยหลักๆแล้ววันนี้ภาคเช้าจะเป็นทฤษฎี การออกคำสั่งให้ช้าง ส่วนภาคบ่ายก็จะเป็นปฏิบัติ
รวมถึงการเข้าป่าและกลับออกมาอาบให้ให้ช้าง แค่คิดก็สนุกละ
ได้เวลาเริ่มทำความคุ้นเคยกับน้องช้าง
ป้อนแตงโม สับปะรด กล้วยให้น้องช้าง แรกๆแอบกลัว หลังๆสนุกค่ะ ป้อนไม่หยุด
ก็เล่นกินแบบไม่มีวี่แววความอิ่มให้เห็นเลยอ่ะ ช้างจริงๆ
ช้างทุกตัวน่ารัก เชื่อง และเป็นมิตรกับพวกเรามากค่ะ
นั่งดูแม่ลูกเค้าหยอกล้อกัน ระหว่างที่กินข้าวเที่ยงกัน แกงฟักใส่ไก่และน่องไก่ทอด
ทุกคนกินอย่างเอร็ดอร่อยไม่มีมีเสียงเล็ดลอด ระหว่างกินแตงโมตบท้ายถึงจะเริ่มมีเสียง
มีการทวนบทเรียนไปด้วยนะ เลี้ยวขวา เลี้ยวซ้าย เดินหน้า ถอยหลัง หยุด ต้องพูดยังไงบ้าง (ตอนนี้ลืมละ 555+)
การปีนขึ้นไปบนตัวน้องเค้านิไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ มือขวาจับหู มือซ้ายจับตรงลำตัวไว้
ขาขวาเหยียบตรงขาหน้า ขาซ้ายผลักตัวเองขึ้นไป ทุลักทุเลพอสมควร
พอนึกภาพออกมะ ปีนช้างสูงๆด้วยความรู้สึกหยาบๆคันๆเพราะคนช้างทิ่ม
ต้องหันหน้ายังไง จับตรงไหนดี กลัวน้องจะเจ็บ กลัวว่าเราจะตัวหนักเกิน คิดไปโน่นละ
น้องช้างได้พาเราเดินอ้อมๆตามคำสั่งของพี่ที่ดูแล เราก็พูดตามพี่เค้า เพราะจุดๆนั้น เรียนมาลืมหมดค่ะ
เราต้องร้องเสียงดังๆด้วยความฮึกเหิม ฮ่าๆ เหมือนพาช้างออกรบในหนังสงครามเลย
ความรู้สึกครั้งแรกที่ได้ขึ้นหลังช้างมันตื่นเต้นนะ ไม่รู้จะเอามือวางตรงไหน เอียงไปเอียงมา ไม่กล้าเปลี่ยนท่า กลัวตก
สักพักชินเริ่มเอนกายนอนมองฟ้า ก้มลงซบกับหัวของน้องบ้าง ท่ายากเริ่มมา
เหนื่อยกันมาพอสมควร นั่งพักกินสับปะรด ดื่มน้ำเย็นๆ ให้ชื่นใจ นี่คือโฉมหน้าของลูซี่ค่ะ
ลูซี่เล่าให้ฟังว่าเรียนจบบัญชีมา ก็เลยอยากทำงานธนาคาร แต่พอไปสัมภาษณ์แล้วธนาคารไม่รับเพราะพูดไทยไม่ค่อยชัด
ลูซี่จึงมาเป็นไกด์ เราว่าลูซี่เป็นไกด์นิแหละเหมาะกับนางที่สุดแล้ว เพราะนางน่ารัก คุยเก่งที่ซู้ดด เยิฟๆ
จากนั้นถึงเวลาเข้าป่าค่ะ ขึ้นช้างไปทีละคนๆ ไม่ต้องปีนล่ะค่ะ ก้าวข้ามแล้วขึ้นขี่หลังได้เลย
น้องช้างได้พาเรา (คนอื่นนั่งเป็นคู่ อิชั้นนั่งคนเดียวค่ะ เริ่ด! VIP)
ค่อยลัดเลาะเข้าไปในป่า ผ่านลำธาร ต้นไม้สูงใหญ่ อากาศก็ร้อนนะแต่มีลมเย็น
ควาญช้างจะคอยเดินตามตลอด ช้าง1ตัวจะมีควาญช้าง1คนค่ะ
ระหว่างทางพอร้อนหน่อยน้องก็จะพ่นน้ำใส่ตัว ชุ่มไปด้วยสิคะ สาวๆกรี๊ดกันใหญ่ ฮ่าๆ
และพอถึงช่วงที่ต้องผ่านน้ำ น้องจะหยุดและดูดน้ำมาพ่นใส่ตัวแบบเต็มรูปแบบค่ะ ไอเราก็เปียกสิคะ (น้ำเย็นมากกกก)
เป็นการจบสิ้นการเดินป่าด้วยสภาพที่เปียกชุ่มกันถ้วนหน้า สงกรานต์ ฮ่าๆ
เค้าให้พักผ่อน แต่เราไม่รู้จะทำไร เลยตัดสินใจออกสำรวจพื้นที่
“เค้าแวะมากอด หายเหนื่อยยังตัวเอง”
ไกด์เจ้าถิ่นตัวจิ๋ว นั่งเรียบร้อยเชียว จริงๆแล้วซนมากค่ะ น้องพูดไทยไม่ได้แต่พอฟังอังกฤษรู้เรื่องน้า
เด็กๆพาเดินเล่นไปเรื่อยๆ ชี้ให้ดูนู่นนั่นนี่ค่ะ น่ารักๆจริง หยิกแก้ม10ที
“ป๋มเหนื่อยฮะ วิ่งทั้งวันเลย ขอพักดื่มแป๊บนึงน้า”
คือสบายไปป่ะ นินอนกินเลยน้า อ่ะๆ ป้อนๆ
จริงๆแล้วน้องช้างถ้านั่งแบบนี้นานๆเค้าจะเจ็บค่ะ แต่นี่เป็นการฝึก สู้ๆนะหนู เก่งมาก!!
ถึงช่วงเวลาที่เรารอคอย อาบน้ำป๋อมแป๋ม วะฮู้ว!
น้องช้างได้เล่นน้ำรอพวกเราอยู่ก่อนแล้ว ดูน้องเค้ามีความสุขมากเวลาเล่นน้ำ พ่นน้ำกันใหญ่เลย
พวกเราพร้อมขันและแปรงซักผ้าก็เริ่มทำงาน ขัดๆถูๆน้องช้างตัวเดิมที่เราขี่เข้าป่า
(น้องเค้าจะรู้สึกไงนะ เห็นนิ่งเลย รึไม่สะเทือน)
เต้นกันสนุกสนาน สักพัก ตู้ม!!น้ำกระจายยยย โดนแกล้งค่ะ หื่ม!!ร้ายนัก
พ่นน้ำดีนักใช่มั้ย นี่แน่ะ! กอดไว้ซะเลย! เจ้าตัวแสบ!
ถึงจะเป็นแค่เวลาสั้นๆ แต่เราเชื่อว่าสิ่งที่ทุกคนได้รับเหมือนๆกันคือ ความประทับใจ ความสนุกสนาน
มิตรภาพที่อบอุ่นและประสบการณ์ดีๆที่หาไม่ได้จากที่ไหน
โบกมือลา..ไว้เจอกันใหม่ ขอบคุณที่ละลายความเหงาให้กันนะ
[CR] “ เมื่อฉันตัดสินใจ | ออกเดินทาง | ละลายความเหงา ” ทริปเชียงใหม่ ( เท่าที่รู้ ) :: ฉบับผู้หญิงคนเดียวก็เฟี้ยวได้
จะฝนตก รถติด นั่งรถเมล์ แม้กระทั่งเดินไปซื้อข้าวหน้าปากซอยก็ยังเหงา
เรามองว่าหลายคนจะรู้สึกเหงาเมื่อต้องอยู่คนเดียว ทำอะไรคนเดียว บ้างก็เหงาเพราะไม่ได้รับความสนใจจากคนรอบข้าง
บางคนเหงาแม้จะอยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูงมากมาย หรือแม้กระทั่งเหงาทั้งๆที่อยู่กับคนรัก
แต่สำหรับเรา..ความเหงามันก็คือ เพื่อน
มันจะคอยกระตุ้น ‘ความอยาก’ ให้ทำนู่นทำนี่จนตามใจตัวเองไม่ถูกเลยล่ะ
เรียกได้ว่าเรานี่แหละ คือ ‘นักฉวยโอกาสจากความเหงาตัวยง’
(อันหลังนี่น่าจะยังไม่กล้า แอดวานซ์ไปป่ะ 555+) ทริปสั้นๆนี้จึงเกิดขึ้น กระทู้นี้ไม่ได้รีวิวลงในรายละเอียดมากมายนะคะ
เพราะจำไม่ได้ (แง่ว!!) เป็นแค่พื้นที่บันทึกการเดินทางคนเดียวครั้งแรกของเรา อารมณ์อยากอวดชาวบ้านด้วยความภาคภูมิใจว่า
เออ!ชะนีเปลี่ยวๆคนเดียวมันก็เที่ยวได้นะเฟ่ย 555+ (เพ้อเจ้อตามประสา ไม่ว่ากันเนอะ)
อีกอย่างเราชอบไปทะเลมากกว่า แต่ทริปนี้ลองเชียงใหม่สักตั้งสิ จะเป็นไง? รอดไม่รอด ฮ่าๆๆ
เอาล่ะ พอพูดถึงเชียงใหม่ สิ่งแรกที่เรานึกถึงเลยก็คือ ‘ช้าง’ ว่าละก็ลงมือหาข้อมูล
สุดท้ายมาสะดุดตาที่ ‘1วันกับการฝึกช้างแสนรู้’ ของบริษัท chaingmai country tour
โอเค! ไม่ลังเล ตัดสินใจไปที่นี่แหละ ให้พี่เค้ามารับที่สนามบินเลยง่ายดี
วันที่2ค่อยเที่ยวในเมืองเชียงใหม่ โรงแรมก็ใช้voucherที่ซื้อจากงานไทยเที่ยวไทยละกัน
นี่คือการวางแผนคร่าวๆ เอาล่ะ! เริ่ม! Let’s Go!!
Day1:: ๒๗ เมษายน ๒๕๕๘
เผื่อเวลานั่งโซ้ยโจ๊กรองท้องซะหน่อย และแล้วก็ได้เวลาเครื่องออก ความง่วงไม่มีสักนิด
ตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ออกเดินทาง เอนจอยกับวิวระหว่างทาง ฟ้าใสๆแดดอ่อนๆ อ่านหนังสือเล่มโปรด พริ้มสุดละค่ะเวลานี้
ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง เจ้านกเหล็กก็พาเรามาถึงที่หมาย ว่าละก็รีบโทรศัพท์หาพี่ที่จะมารับเราทันที
‘อ๋อ ค่ะๆกำลังไปรับนะคะ ตอนนี้กำลังทยอยรับแขกจากโรงแรมอยู่ค่ะ ไม่เกิน15นาทีค่ะ’
ใช้เวลาระหว่างรอเดินสำรวจสนามบินที่อยู่ติดภูเขา อากาศดีจัง ซักพักรถตู้พร้อมเพื่อนร่วมทางก็ได้มารับเราเป็นคนสุดท้าย
ลูซี่ไกด์ท้องถิ่นผู้น่ารักก็ได้ทักทายและชวนคุย พูดถึงกิจกรรมที่จะทำกันแบบคร่าวๆ ในระหว่างที่รถก็ได้ค่อยๆพาเราลัดเลาะไปตามภูเขาสูง
เดินเคี้ยวแตงโมฉ่ำๆ ถ่ายรูปเล่น
ที่สังเกตได้ คือทุกคนมาเป็นคู่ แต่ชะนีนางนี้นางมาคนเดียวค่ะ (ง่อวว แคร์ไร 555+)
(ยิ้มแรงๆด้วยความภูมิใจ)
คิดในใจ เค้าจะพาเรามาขายป่ะวะเนี่ย
ระหว่างนั้นมีรถกระบะขนอ้อยจนเต็มคันผ่านไป ลูซี่บอกเราว่า
"ทั้งคันน่ะเลี้ยงช้างได้แค่ตัวเดียวนะ กินแป๊บเดียวก็หมดละ" (ห๊ะ!นั่นเรียกว่ากิน)
ในที่สุดก็ถึงปางช้างของเราแล้วนะ เย้!..เย้ไรเข่าทรุดคางเหลืองละค่ะ
รอบๆตัวเราตอนนี้มีแค่ช้าง ต้นไม้ ลำธาร และกระท่อมหลังกะทัดรัดสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาฝึกหลายวัน
โดยหลักๆแล้ววันนี้ภาคเช้าจะเป็นทฤษฎี การออกคำสั่งให้ช้าง ส่วนภาคบ่ายก็จะเป็นปฏิบัติ
รวมถึงการเข้าป่าและกลับออกมาอาบให้ให้ช้าง แค่คิดก็สนุกละ
ก็เล่นกินแบบไม่มีวี่แววความอิ่มให้เห็นเลยอ่ะ ช้างจริงๆ
ทุกคนกินอย่างเอร็ดอร่อยไม่มีมีเสียงเล็ดลอด ระหว่างกินแตงโมตบท้ายถึงจะเริ่มมีเสียง
มีการทวนบทเรียนไปด้วยนะ เลี้ยวขวา เลี้ยวซ้าย เดินหน้า ถอยหลัง หยุด ต้องพูดยังไงบ้าง (ตอนนี้ลืมละ 555+)
ขาขวาเหยียบตรงขาหน้า ขาซ้ายผลักตัวเองขึ้นไป ทุลักทุเลพอสมควร
ต้องหันหน้ายังไง จับตรงไหนดี กลัวน้องจะเจ็บ กลัวว่าเราจะตัวหนักเกิน คิดไปโน่นละ
เราต้องร้องเสียงดังๆด้วยความฮึกเหิม ฮ่าๆ เหมือนพาช้างออกรบในหนังสงครามเลย
ความรู้สึกครั้งแรกที่ได้ขึ้นหลังช้างมันตื่นเต้นนะ ไม่รู้จะเอามือวางตรงไหน เอียงไปเอียงมา ไม่กล้าเปลี่ยนท่า กลัวตก
สักพักชินเริ่มเอนกายนอนมองฟ้า ก้มลงซบกับหัวของน้องบ้าง ท่ายากเริ่มมา
ลูซี่เล่าให้ฟังว่าเรียนจบบัญชีมา ก็เลยอยากทำงานธนาคาร แต่พอไปสัมภาษณ์แล้วธนาคารไม่รับเพราะพูดไทยไม่ค่อยชัด
ลูซี่จึงมาเป็นไกด์ เราว่าลูซี่เป็นไกด์นิแหละเหมาะกับนางที่สุดแล้ว เพราะนางน่ารัก คุยเก่งที่ซู้ดด เยิฟๆ
ค่อยลัดเลาะเข้าไปในป่า ผ่านลำธาร ต้นไม้สูงใหญ่ อากาศก็ร้อนนะแต่มีลมเย็น
ควาญช้างจะคอยเดินตามตลอด ช้าง1ตัวจะมีควาญช้าง1คนค่ะ
และพอถึงช่วงที่ต้องผ่านน้ำ น้องจะหยุดและดูดน้ำมาพ่นใส่ตัวแบบเต็มรูปแบบค่ะ ไอเราก็เปียกสิคะ (น้ำเย็นมากกกก)
น้องช้างได้เล่นน้ำรอพวกเราอยู่ก่อนแล้ว ดูน้องเค้ามีความสุขมากเวลาเล่นน้ำ พ่นน้ำกันใหญ่เลย
พวกเราพร้อมขันและแปรงซักผ้าก็เริ่มทำงาน ขัดๆถูๆน้องช้างตัวเดิมที่เราขี่เข้าป่า
(น้องเค้าจะรู้สึกไงนะ เห็นนิ่งเลย รึไม่สะเทือน)
มิตรภาพที่อบอุ่นและประสบการณ์ดีๆที่หาไม่ได้จากที่ไหน
โบกมือลา..ไว้เจอกันใหม่ ขอบคุณที่ละลายความเหงาให้กันนะ