บาหลีไม่มีเธอ: เอาผ้ามั้ย ๆ เดี๋ยวที่วัดต้องใช้นะ (ตอนที่ 10)

ความเดิมตอนที่แล้ว --> http://pantip.com/topic/34108068

********************


เมื่อคืนผมผล็อยหลับไปตั้งแต่ตอนสามทุ่ม ตื่นมาอีกทีเจ็ดโมงเช้า หลับไปสิบชั่วโมงเต็ม หลับสนิทแบบไม่รู้สึกตัวอะไรทั้งนั้น เชื่อมั้ยว่าตื่นมายังนอนท่าเดิมอยู่เลย

ผมเหลือบไปเห็นผ้าคาดเอวสีเหลืองที่วางอยู่บนโต๊ะ นี่ถ้าเมื่อคืนมีผีจากวัดอูลูวาตูมาทวงคืนผ้าจริง ๆ คงจะสงสารผีมาก ๆ ร่ายรำก็แล้ว ทำตาเหลือกก็แล้ว ไอ้นี่มันก็ยังไม่ตื่น คงถอดใจกลับไปตั้งแต่ก่อนรุ่งสางแล้วล่ะ

วันนี้ผมตื่นนอนแต่เช้าเนื่องจากวางแผนไว้ว่าจะไปเที่ยวบาหลีศรีอีสาน คือไปทางโซน ๆ ตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะ ซึ่งคาดว่าน่าจะใช้เวลาขับรถหลายชั่วโมงเหมือนกัน โดยจุดหมายแรกของวันนี้คือ ‘วัดเบซากีห์’

ผมขับรถมุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างทางผมได้พบกับร้านอาหารร้านโปรดของผม ผมชอบอาหารร้านนี้มาก กินมาตั้งแต่เด็กจนโต หน้าร้านมีคุณลุงผมขาวใส่แว่นท่าทางใจดี ยืนต้อนรับลูกค้าที่เข้ามารับประทานอาหาร คุณลุงคนนั้นมียศผู้พัน

แกชื่อ ‘ผู้พันแซนเดอส์’

ตั้งแต่จำความได้ ผมก็กินไก่ KFC แล้วครับ จำได้ว่าเมื่อก่อนพ่อจะเข้าเมืองไปทำธุระแถวเยาวราชอาทิตย์ละครั้ง ทุกครั้งพ่อก็จะแวะซื้อไก่ทอดมาฝากผมกับน้องสาวคนละชิ้น ดังนั้นทุกคืนวันอังคารผมจะตั้งหน้าตั้งตารอให้พ่อกับบ้าน เพื่อจะได้กินไก่ทอดกรอบอร่อยของผู้พัน เป็นแบบนี้ตั้งแต่เล็กจนโต เรียกได้ว่าโตมาด้วยไก่ทอดเลยก็ว่าได้

ไหน ๆ เราก็เป็นแฟนพันธุ์แท้ KFC มาตั้งแต่เด็กแล้ว วันนี้ขอลองชิมไก่ทอดสูตรบาหลีหน่อยก็แล้วกัน ว่าแล้วก็เลี้ยวรถเข้าไปในร้านทันที จะได้ไม่เสียเวลา

ตั้งแต่แวบแรกที่ก้าวเข้ามาในร้าน ผมก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่างระหว่าง KFC ของไทยกับบาหลี

KFC สาขานี้เป็น KFC พัดลม

แม่เจ้า!! เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกในชีวิต!!

ตั้งแต่เล็กจนโตผมกิน KFC มาก็หลายร้านทั้งสาขาที่เมืองไทย ที่เกาหลี หรือแม้กระทั่งที่ญี่ปุ่น เคยเห็นแต่ KFC ที่เป็นร้านแอร์ ไม่เคยเห็น KFC ที่ไหนเป็นร้านพัดลมมาก่อน อันนี้ถือว่าเบิกเนตรมากเลยนะเนี่ย

ผมยืนเข้าคิวรอสั่งอาหาร เท่าที่คำนวณคร่าว ๆ ผมว่าราคา KFC บาหลีแพงกว่าที่ไทยนะ อย่างชุดที่เป็นไก่ทอดหนึ่งชิ้น เฟรนช์ฟรายและน้ำหนึ่งแก้ว ชุดนี้ราคาจะอยู่ที่ 34,000 รูเปียห์หรือประมาณ 100 บาททั้ง ๆ ที่เมืองไทยขายแค่ประมาณ 80 บาทเท่านั้น แต่ก็ไม่เป็นไร เพื่อ KFC ผมยอมจ่ายครับ

ความแตกต่างอีกอย่างที่ผมสัมผัสได้คือชุดไก่ทอดที่นี่จะเสิร์ฟพร้อมข้าวสวย ซึ่งถ้าเราอยากอัพเกรดข้าวสวยเป็นเฟรนช์ฟรายต้องเพิ่มเงินอีกประมาณ 15 บาท แต่ก็ไม่เป็นไร เพื่อ KFC ผมยอมจ่ายเพิ่มครับ  

ผมเดินถือถาดชุดไก่ทอดไปที่โต๊ะเติมซอส พยายามมองหาอุปกรณ์คู่กาย ได้แก่ ส้อมและมีด ซ้ายไม่มี ขวาไม่มี บนโต๊ะไม่มี ที่ไหน ๆ ก็ไม่มี ตอนนั้นคิดว่าช้อนส้อมมีดคงหมด หรืออาจจะยังล้างไม่เสร็จ ผมเลยเดินไปถามหามีดจากพนักงาน

“Knife?”

และคำตอบของพนักงานคนนั้นก็ทำให้ผมตกตะลึง

“Thank you very much. Have a nice day.”

ห้ะ!! กุมาถามหามีด!! แล้วเมิงมาแต๊งกิ้วกุทำไม? นี่เมื่อกี้เมิงเข้าใจว่าอะไรเนี่ย!!

ผมกวาดสายตามองรอบร้าน หญิงสาวชาวบาหลีคนหนึ่งกำลังแทะไก่ทอดด้วยมือเปล่า เด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งกำลังจกเฟรนช์ฟรายกินกันอย่างสนุกสนาน ส่วนฝรั่งอีกคนก็กำลังกินเบอร์เกอร์ด้วยมือเปล่าเช่นกัน

ในร้านไม่มีช้อนส้อมแม้แต่คู่เดียว

แม่เจ้า!! คนบาหลีกิน KFC ด้วยมือเปล่า!!

ผมน้ำตารื้นด้วยความตื้นตัน นี่แหละครับ วัฒนธรรมการกินที่ผมใฝ่ฝัน สามารถใช้มือแทะกระดูกไก่ได้ตามใจชอบ ไม่ต้องแคร์สายตาใคร ไม่ต้องเสียเวลาล้างช้อนส้อมมีดให้เปลืองทรัพยากรน้ำ อยากให้ที่เมืองไทยมีแบบนี้บ้าง ผมจะกลับไปเผยแผ่วัฒนธรรมนี้ด้วยตัวเอง  

ผมตั้งหน้าตั้งตาแทะกระดูกไก่อย่างเอร็ดอร่อย รู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง

แต่ก็แอบสงสัยอยู่อย่างนึง นี่ถ้าเมื่อกี้กุสั่งข้าวสวย กุก็ต้องจกข้าวด้วยมือเปล่าเนี่ยนะ

ล้านนามาก ๆ จ้า


เคเอฟซีบาหลี



จกไก่ทอดในบรรยากาศสบาย ๆ


********************
    

หลังจากอิ่มท้องและอิ่มใจกับวัฒนธรรมการกินแบบบาหลีสไตล์ ผมก็ออกเดินทางต่อ เส้นทางที่มุ่งหน้าไปวัดเบซากีห์เป็นถนนเรียบทะเล เราจะได้เห็นภาพทุ่งนาสีเขียวฉากหลังเป็นทะเลสีครามกับท้องฟ้าสีน้ำเงิน ผมเคยเห็นแต่ทุ่งนาที่มีฉากหลังเป็นภูเขา ไม่เคยเห็นทุ่งนาที่มีฉากหลังทะเลมาก่อน พอมา featuring กันแล้วก็เป็นภาพที่แปลกดีเหมือนกัน

ขับรถเลียบทะเลมาซักระยะ ก็ต้องเลี้ยวซ้ายขึ้นเขา ลัดเลาะตามถนนเส้นเล็ก ๆ ขึ้นไปเรื่อย ๆ ถนนบนเกาะบาหลีเล็กมากครับ จำได้ว่าตอนที่ดูแผนที่ครั้ง มันแสดงเส้นทางที่เรียบง่ายมากแบบเด็กอนุบาลยังขี่จักรยานสี่ล้อขึ้นไปยังได้ แผนที่บอกแค่ว่าให้ขับรถเลียบทะเลมา แล้วเลี้ยวซ้ายเข้า ‘เส้นทางหลัก’ ตรงไปเรื่อย ๆ ชั่วตดยังไม่ทันหายเหม็นก็ถึงวัดเบซากีห์แล้ว

แต่ในความเป็นจริง ความรู้สึกหลังที่เลี้ยวซ้ายเข้า ‘เส้นทางหลัก’ คือ นี่เมิงเป็นทางหลักแล้วเหรอ? สงสัยมากว่า ‘เส้นทางหลัก’ ที่นี่มันแตกต่างจากซอยตรงไหน ผมเห็นมันก็เป็นถนนสองเลนเท่ากัน พูดโอ้อวดได้เลยว่าซอยบ้านผมยังใหญ่กว่านี้อีก

ผมแวะที่จุดพักรถเหนือนาขั้นบันไดแห่งหนึ่ง ทันทีที่ประตูรถเปิดออกก็มีคุณป้าคนหนึ่งพุ่งทะยานเข้ามาเสนอขายผ้าโสร่งให้กับผม

“เอาผ้ามั้ย ๆ เดี๋ยวที่วัดต้องใช้นะ”

“โน แต๊งกิ้ว”

ผมปฏิเสธแล้วเดินหนีไปถ่ายรูปนาขั้นบันได

“เอาผ้ามั้ย ๆ เดี๋ยวที่วัดต้องใช้นะ”

“โน แต๊งกิ้ว”

ผมเดินหนีไปหากาแฟกิน คุณป้าก็ยังเดินตามตื้อไม่เลิก นี่ถ้ามีผู้หญิงไทยน่ารัก ๆ มาตามตื้อผมอย่างนี้บ้างก็คงดี

“เอาผ้ามั้ย ๆ เดี๋ยวที่วัดต้องใช้นะ”

“โนครับ แต๊งกิ้วครับ"

ผมเดินหนีขึ้นรถ คุณป้าก็ยังคงตามมา

“เอาผ้ามั้ย ๆ เดี๋ยวที่วัดต้องใช้นะ”

“เอ่อ ....................”

ผมขับรถออกมา แอบมองคุณป้าผ่านกระจกหลังเป็นครั้งสุดท้าย

“เอาผ้ามั้ย ๆ เดี๋ยวที่วัดต้องใช้นะ”

อิห่าน!! ขนาดขับรถออกมาแล้ว ผมยังเห็นคุณป้าทำปากขมุบขมิบพูดอะไรคนเดียวอยู่เลย นี่เมิงถูกตั้งโปรแกรมมาขายของใช่ไหม ตั้งหน้าตั้งตาขายแบบไม่สนโลกเกินไปแล้ว ใครทำแอมเวย์ผมแนะนำให้ลองติดต่อคุณป้าคนนี้ไปเป็นดาวน์ไลน์นะครับ แกขายของได้บู๊มาก รับรองว่าคนเดียวเอาอยู่


นาขั้นบันได เห็นได้ทั่วไปในบาหลี



นาขั้นบันได


ผมขับรถลัดเลาะขึ้นเขามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงทางเข้าวัดเบซากีห์ ผมจ่ายเงิน 20,000 รูเปียห์ให้กับเจ้าหน้าที่เพื่อเป็นค่าเข้าชมวัด และนำรถไปจอดที่ลานกว้างด้านใน

ผมเปิดประตูรถออก

“เอาผ้ามั้ย ๆ เดี๋ยวที่วัดต้องใช้นะ“

“เอาผ้ามั้ย ๆ เดี๋ยวที่วัดต้องใช้นะ“  

“เอาผ้ามั้ย ๆ เดี๋ยวที่วัดต้องใช้นะ“  

ห่านจิก!! คราวนี้เซลล์ขายผ้ายิ้มมาเป็นพรวนเลย มีทั้งเด็ก ผู้หญิงและคนชรา ทุกคนพูดเหมือนกันหมดราวกับหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้ ดูหน้าตาแต่ละคนก็ไม่ได้เหมือนมาขายผ้า เหมือนมาเรียกร้องสิทธิสตรีอะไรพวกนี้มากกว่า

ผมแหวกบรรดาคนขายผ้าแล้วเดินออกมา ราวกับเจมส์จิแหวกแฟนคลับสุภาพบุรุษจุฑาเทพ ดูเหมือนที่วัดนี้ต้องใช้ผ้าโสร่งจริง ๆ ผมจึงแวะเข้าไปในร้านขายผ้าร้านหนึ่งใกล้ ๆ ทางเข้าวัด

แม่ค้ารีบเข้ามาแนะนำผ้าชิ้นหนึ่งให้

“ผ้าผืนนี้ ฉันคิด 500,000 รูเปียห์”

เมิงอย่ามาตลก เห็นหน้ากุซื่อ ๆ ใส ๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะหลอกกันได้ง่าย ๆ 1,500 บาทนี่กุซื้อผ้าไหมมาห่มได้เลยนะเนี่ย

ผมพยายามต่อรองราคาแต่ก็รู้สึกว่าการซื้อขาดอาจไม่ค่อยคุ้มเท่าไร แม้ว่าโสร่งจะเป็นแฟชั่นยอดนิยมในบาหลี แต่พอกลับเมืองไทย เราก็คงไม่มี moment แบบใส่โสร่งไปร่วมกินเลี้ยงสังสรรค์กับแรงงานพม่าในซอยหรอกจริงมั้ย ผมจึงต่อรองว่าขอเช่าผ้าแทนได้รึเปล่า เสร็จแล้วเดี๋ยวเอามาคืน

“โอเค ให้เช่าก็ได้ ฉันคิด 50,000 รูเปียห์”

เอ่อ นี่กุเช่าโสร่งไปใส่ในวัดหรือเช่าชุดกัปตันอเมริกาไปใส่ในงานปาร์ตี้แฟนซีเนี่ย แพงเกิ๊น

ผมเคยได้ยินมาว่าเวลาต่อราคาของที่บาหลีให้ต่อแบบวงนูโว คือต่อแบบ ‘สุด ๆ ไปเลย’ เพราะพ่อค้าแม่ค้าที่นี่จะตั้งราคาไว้เว่อมาก ต้องพยายามต่อราคาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนนั้นผมคิดว่าถ้าต่อได้ซัก 50% ของราคาเต็มก็น่าภาคภูมิใจแล้ว ผมจึงถามกลับไปว่า

“20,000 รูเปียห์ได้ไหม”

“โอเค”

แม่ค้าตอบตกลงอย่างง่ายดายพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก

ผมเกลียดรอยยิ้มนั้นมาก รอยยิ้มนั้นทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนหลอกยังไงชอบกล นี่กุต่อราคาลงไปตั้ง 60% เลยนะ เมิงไม่คิดจะอิดออดอะไรเลยเหรอ ถ้าแม่ค้าบอกประมาณว่า ‘ไม่ได้จ้า ของมาแพง นี่พี่ไม่ได้บอกผ่านเลยนะ’ ก็คงจะรู้สึกดีกว่านี้ แต่นี่เล่นตอบตกลงแบบหน้าตาเฉย เป็นการต่อราคาถึง 60% ที่ไม่ได้รู้สึกดีใจว่าต่อราคาได้เลย

ผมมารู้ภายหลังว่าเคยมีคนต่อราคาได้ที่ 10,000 รูเปียห์เท่านั้น

อิห่าน!! นี่พวกเมิงบวกกำไรขั้นต้นกี่เปอร์เซ็นต์เนี่ย!!

แม่ค้านุ่งโสร่งให้ผมแบบจัดเต็ม ถ้ามีบริการแต่งหน้าทำผมด้วยก็คงทำให้แล้ว

สมกับเงิน 20,000 รูเปียห์ที่ผมเสียไปจริง ๆ

To be continued

บาหลีไม่มีเธอ: มาเฟียภูเขาไฟแห่งวัดเบซากีห์ (ตอนที่ 11) --> http://pantip.com/topic/34128279

*** ติดตามเรื่องราวสนุก ๆ ได้ที่เพจ นายอุ๊ย!! นะครับ --> https://www.facebook.com/lovenaioui ***

แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่