ทำไมมนุษย์ต้องจูบกัน
การจูบ 1 ครั้ง จะแลกเชื้อแบคทีเรียประมาณ 80 ล้านตัว (ทั้งชนิดดีและร้าย)
ทำไมเราต้องเสี่ยงที่จะทำ
จากการศึกษา 168 วัฒนธรรมทั่วโลก
พบว่า 46% เท่านั้นที่จูบกัน
ใน สังคมที่ยังเลี้ยงชีพ ด้วยการล่าสัตว์ เราไม่พบการจูบเลย จนกระทั้ง เริ่มการเพาะปลูก จึงเกิดวัฒนธรรมการจูบขึ้น
ในบันทึกของอินเดียโบราณ 3500 ปีก่อน
การจูบคือ การดูดกลืนวิญญาณของกันและกัน
ในขณะที่ อียิปต์โบราณ การจูบคือ ความสัมพันธ์ ที่ลึกซึ้ง
ก่อนจะไปต่อ เรามาดูสัตว์ชนิดอื่นบ้าง ว่ามีการจูบไหม
เราพบว่า สัตว์ส่วนใหญ่ ไม่จูบ ยกเว้น ลิงชิมแปนซีและลิงโบโนโบ
ชิมแผนซี ไม่ได้ใช้ จูบเป็นสัญลักษณ์ แบบโรแมนติกเหมือนมนุษย์ แต่ใช้ ในการระบุถึงการยุติ ความขัดแย้ง มันจะใช้ริมฝีปากสัมผัสกัน หลังทะเลาะกัน เพื่อแสดงว่า ทุกอย่างจบ และเราเป็นสมาชิกในฝูงเดียวกันเหมือนเดิม
ส่วน โบโนโบ จูบ ในด้านเพิ่มความดูดดื่มทางเพศเช่นเดียวกับมนุษย์ และยังมีการแลกลิ้นด้วย แต่ไม่น่าแปลกใจ เท่าไหร่ เพราะ โบโนโบ เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเพศสัมพันธ์ มากที่สุดในโลก มันใช้การมีเพศสัมพันธ์ เวลาทักทายกัน แทนการจับมือแบบฝรั่ง หรือการไหว้แบบไทย จนมีสำนวนฝรั่งว่า bonobo handshake
ส่วนสัตว์ชนิดอื่น จะไม่มีการจูบเลย
แต่จะเป็นการปล่อย ฟีโรโมน แทน
ตย เช่น หมูป่าตัวผู้จะผลิตฟีโรโมน ที่มีกลิ่นดึงดูดตัวเมีย
ส่วนหนูตัวเมียจะเป็นฝ่ายผลิตกลิ่น ดึงดูดตัวผู้ นอกจากบอกว่าพร้อมมีเพศสัมพันธ์แล้ว กลิ่นยังใช้แยก ว่าเป็น สายเลือดใกล้ชิดหรือไม่ได้ด้วย (เลือดใกล้กัน จะมีโอกาศเผยความผิดปกติทางพันธุกรรม)
แมงมุมแม่ม่ายดำตัวเมีย จะผลิตกลิ่น ว่าอิ่มแล้ว ตัวผู้จึงจะกล้ามาผสมพันธ์ (ไม่งั้นโดนกิน)
กลับมาที่คน
คนจมูกไม่ดีแบบสัตว์ เราจึงต้องใกล้กันเพื่อให้ได้กลิ่น (จูบทำให้ใกล้กัน)
จากการศึกษา ของ Wlodarski ปี 2013, ผู้หญิงจะมีอารมณ์เพิ่มขึ้นเมื่อได้กลิ่นฟีโนโมนจากเหงื่อผู้ชาย
บทสรุป จูบจะทำให้ใกล้ชิด และได้กลิ่นของกัน (วัฒนธรรมไทยมีหอม ในการสูดกลิ่นกัน แต่ฝรั่งไม่มี)
แปลและเรียบเรียง
http://www.bbc.com/earth/story/20150714-why-do-we-kiss
ทำไมมนุษย์ต้องจูบกัน
การจูบ 1 ครั้ง จะแลกเชื้อแบคทีเรียประมาณ 80 ล้านตัว (ทั้งชนิดดีและร้าย)
ทำไมเราต้องเสี่ยงที่จะทำ
จากการศึกษา 168 วัฒนธรรมทั่วโลก
พบว่า 46% เท่านั้นที่จูบกัน
ใน สังคมที่ยังเลี้ยงชีพ ด้วยการล่าสัตว์ เราไม่พบการจูบเลย จนกระทั้ง เริ่มการเพาะปลูก จึงเกิดวัฒนธรรมการจูบขึ้น
ในบันทึกของอินเดียโบราณ 3500 ปีก่อน
การจูบคือ การดูดกลืนวิญญาณของกันและกัน
ในขณะที่ อียิปต์โบราณ การจูบคือ ความสัมพันธ์ ที่ลึกซึ้ง
ก่อนจะไปต่อ เรามาดูสัตว์ชนิดอื่นบ้าง ว่ามีการจูบไหม
เราพบว่า สัตว์ส่วนใหญ่ ไม่จูบ ยกเว้น ลิงชิมแปนซีและลิงโบโนโบ
ชิมแผนซี ไม่ได้ใช้ จูบเป็นสัญลักษณ์ แบบโรแมนติกเหมือนมนุษย์ แต่ใช้ ในการระบุถึงการยุติ ความขัดแย้ง มันจะใช้ริมฝีปากสัมผัสกัน หลังทะเลาะกัน เพื่อแสดงว่า ทุกอย่างจบ และเราเป็นสมาชิกในฝูงเดียวกันเหมือนเดิม
ส่วน โบโนโบ จูบ ในด้านเพิ่มความดูดดื่มทางเพศเช่นเดียวกับมนุษย์ และยังมีการแลกลิ้นด้วย แต่ไม่น่าแปลกใจ เท่าไหร่ เพราะ โบโนโบ เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเพศสัมพันธ์ มากที่สุดในโลก มันใช้การมีเพศสัมพันธ์ เวลาทักทายกัน แทนการจับมือแบบฝรั่ง หรือการไหว้แบบไทย จนมีสำนวนฝรั่งว่า bonobo handshake
ส่วนสัตว์ชนิดอื่น จะไม่มีการจูบเลย
แต่จะเป็นการปล่อย ฟีโรโมน แทน
ตย เช่น หมูป่าตัวผู้จะผลิตฟีโรโมน ที่มีกลิ่นดึงดูดตัวเมีย
ส่วนหนูตัวเมียจะเป็นฝ่ายผลิตกลิ่น ดึงดูดตัวผู้ นอกจากบอกว่าพร้อมมีเพศสัมพันธ์แล้ว กลิ่นยังใช้แยก ว่าเป็น สายเลือดใกล้ชิดหรือไม่ได้ด้วย (เลือดใกล้กัน จะมีโอกาศเผยความผิดปกติทางพันธุกรรม)
แมงมุมแม่ม่ายดำตัวเมีย จะผลิตกลิ่น ว่าอิ่มแล้ว ตัวผู้จึงจะกล้ามาผสมพันธ์ (ไม่งั้นโดนกิน)
กลับมาที่คน
คนจมูกไม่ดีแบบสัตว์ เราจึงต้องใกล้กันเพื่อให้ได้กลิ่น (จูบทำให้ใกล้กัน)
จากการศึกษา ของ Wlodarski ปี 2013, ผู้หญิงจะมีอารมณ์เพิ่มขึ้นเมื่อได้กลิ่นฟีโนโมนจากเหงื่อผู้ชาย
บทสรุป จูบจะทำให้ใกล้ชิด และได้กลิ่นของกัน (วัฒนธรรมไทยมีหอม ในการสูดกลิ่นกัน แต่ฝรั่งไม่มี)
แปลและเรียบเรียง
http://www.bbc.com/earth/story/20150714-why-do-we-kiss