ฟรีแลนซ์ ป่วยได้ พักได้ ไม่ริรักหมอ ถูกปฏิเสธมา 2 ครั้ง แปดปีผ่านไปไม่มีคำว่าสาย ในที่สุดวีซ่าอเมริกาก็มาอยู่ในกำมือ

ย้อนหลังกลับไป 8 ปีที่แล้ว จขกท.มีหน้าที่การงานมั่นคง ในบริษัทที่มีชื่อเสียง เงินเดือนก็เยอะพอตัว เอกสารครบมั่นใจว่าปึกพอตัว Statement ก็สองแสนกว่าๆ เคยทำเรื่องขอวีซ่าท่องเที่ยวอเมริกา 2 ครั้งช่วงเวลาห่างกันหนึ่งอาทิตย์ แต่ก็ไม่ผ่าน ด้วยเหตุผลตามมาตรา 214  เต็มหน้า A4 ที่ให้มาหลังสัมภาษณ์เก็บมาจนถึงทุกวันนี้ 2 ใบ ในเวลานั้นก็ยังไม่เข้าใจว่าทางเจ้าหน้าที่เอาอะไรมาวัดว่าเราไม่มีความผูกพันธ์กับประเทศไทย คิดว่าจขกท.จะไปเป็นโรบินฮู๊ด? เพราะงัดเอาเอกสารที่ยืนยันได้มาหมดละ แต่ก็ไม่ขอดู ถอดใจกับความฝันจะไปเหยียบ Big Apple เมืองในฝันของฉัน ไม่แคร์หรอก เชอะ เชอะ ไม่ให้ไปก็ไม่ไป (เสียดายตังค์มาก ล่อไปเกือบหมื่น เอาเงินไปให้แล้วได้ความผิดหวังกลับมา โกรธๆ อเมริกา) ไม่ง้อละ เที่ยวบ้านใกล้เรือนเคียงไปก่อนละกัน งั้นเริ่มจากสิงคโปร์ อันดับถัดไปตามด้วยวีซ่าญี่ปุ่น ตอนนั้นขึ้นชื่อในเรื่องความยากน้องๆสหรัฐเลยค่ะ ตอนเปิดเล่มกรี๊ดดีใจบ้านแตก ฉันได้วีซ่าแล้วววว  สถานีต่อมา ไอเลิฟอิงแลนด์ ก็บีบหัวใจ แต่มั่นใจว่าเอกสารแน่นพร้อม คำนวณค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวแม่นยำ เอกสารให้ไปเป็นกระสอบ จะให้ไม่ให้ เปิดเล่มมากรี๊ดหนักกว่าเดิม ฉันได้ไปเยือนเมืองฝรั่งสมใจ ลอนดอนจ๋าฉันมาแล้วค่ะ  กลับมาที่เอเชียต่อมาที่ไต้หวัน ฮ่องกง 2 ที สิงค์อีกครั้งอะ เกาหลีก็มา เขมรก็บ่ยั้น ลืมอเมริกาไปเลยตลอดแปดปี จนมาไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อนสาวมาบิวท์ ให้ไปขอวีซ่าไปอเมริกา ปมเรื่องนั้นก็ผุดขึ้นมาทันใด ไม่ได้นี่ขุดหลุมฝังตัวเองเลยนะ ยอมรับค่ะว่าป็อดสุดๆ แต่ด้วยเลือดนักสู้ที่ฝังอยู่ในกาย อ๊ะ เอาเว้ย ลองดู ไหนๆ มันก็ผ่านมาตั้ง 8 ปีละ แต่ว่า....สถานะการทำงานคราวนี้เปลี่ยไปจากเดิม (ตอนนี้เป็นฟรีแลนซ์เป็นมา 7 ปีกว่าๆ ค่ะ อินเทรนด์มานานก่อนหนังเรื่อง ฟรีแลนซ์ ป่วยก็พัก ไม่เคยคิดรักหมอนะคะ 55 (เปลี่ยนชื่อหนังเค้าซะงั้น)  จะยังงัยดีน๊า จะได้? แพงตั้งเกือบหกพันแหนะ เอกสารรับรองการทำงานก็ไม่มี เงินก็ไม่ได้เฟื่องฟูมีติดก้นบัญชีอยู่กระจิดริด ทำงัยดีๆๆๆๆ เครียดตาโหลอยู่เป็นสัปดาห์ (อ้อ!! จขกท.ลืมบอกไปว่าตลอดเวลาที่ขอวีซ่าต่างๆ จขกท.ออกมาเป็นฟรีแลนซ์แล้วนะคะ) เอาเฟ้ยเป็นงัยเป็นกัน ทำเอกสารเองเหมือนตอนขอวีซ่าปท.ที่เคยไปมานั่นแหละ
เอกสารที่จขกท.เตรียมไปมีดังนี้
1st.ทำจดหมายรับรองตัวเอง เขียนไปเลยเป็นใครทำอะไรมาบ้าง ไปไหนมาบ้าง จุดประสงค์ไปสหรัฐบอกไปให้ชัดเจนร่ายยาวว่าหลงใหลประเทศเค้าแค่ไหน (เรียกง่ายๆว่าโม้อะค่ะ) ไปแล้วกลับ กลับมาทำอะไรต่อ  
2nd.ใบหักภาษี ที่เรารับงานมาทั้งหมด ใบเสียภาษีประจำปี (เงินค่าจ้างก็เข้าบัญชีบ้าง เงินสดบ้าง เช็คบ้าง) (เจ้าเช็คก็อปปี้ไว้ก็ดีนะคะ)
3rd.Book Bank มีกี่เล่มพกไปให้หมด
4th.ผลงานการทำงานที่ผ่านมามีรูปโชว์ไปเลยว่าทำอะไรมาบ้าง
5th.พาสปอร์ตเล่มเก่า
ุ6th.รูปใครอยากเผื่อก็ติดไปค่ะ แต่ส่วนใหญ่ถ้าอัพโหลดในเน็ทได้ก็ไม่มีปัญหานะคะ (จขกท.แทบไม่เห็นใบหู อีกข้างก็เห็นแค่ติ่ง งง เพราะเคยสงสัยว่าทำไมต้องเห็นหู แต่ก็ไม่มีปัญหานะคะฉลุยคะ ไม่ต้องถ่ายใหม่)
กรอก DS-160 ช่องที่ให้กรอกที่อยู่ที่จะไปพัก และไปเยือน หาข้อมูลที่อยู่คร่าวๆที่คาดว่าเราจะไปพักและไปเยือนนะคะ จ่ายตังค์นัดวันขึ้นเขียงวันดี ยื่นออนไลน์เรียบร้อย ปรินซ์ใบจ่ายตังค์ที่แบงค์กรุงศรี นำรหัสที่ได้เข้าไปจองสัมฯหลังเที่ยงของวันถัดไป เอาเร็วที่สุดวันดีวันที่อยากได้ว่างแฮะ เหลือ  1คิว อังคารที่ 25/08/2015 เวลาเคารพธงชาติพอดี (“ร้องเพลงให้กำลังใจตัวเอง คงจะมีซักวันคงเป็นวันที่ยิ่งใหญ่” ของพี่เต๋อ เรวัต อ๊ะๆๆยังไม่สูงวัยขนาดนั้นนะคะ คือได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่ปฐมวัย)

ณ ศึกวันทรงชัย บ้านจขกท.อยู่ไม่ใกล่ไม่ไกลจากบ้านยูเอสเอ็มบาสซี่ นั่งแท็กซี่ 15-20 นาทีก็ถึง แต่จขกท.แหกขี้ตาตื่นตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง แต่งองค์ให้สมกับตำแหน่งหน้าที่การงานของตัวเอง (มีกับเค้าด้วยหรอ 55) ก่อนออกจากบ้าน พุทโธ เอเมน โอม อะไรก็แล้วแต่ทำไปเลย และโปรดตามมาดลใจเจ้าหน้าที่กงสุลให้วีซ่าหนูด้วยนะคะ ที่สุดเราต้องพึ่งไสยศาสตร์กันบ้างหละ เพราะประเทศที่เทคโนโลยีก้าวไกลยังต้องมาสักยันต์ถึงบ้านเรา ถึงบ้านยูเอสละ ก็ตามขั้นตอน ฝากมือถือ แสกนเหมือนเข้าตม.เข้าไปแค่ตัว เอกสารและหัวใจหวั่นๆ มันก็ยังหวั่นอยู่ดีหละน๊า ช่วงเวลาเหยียบเข้าห้องเย็น (กลับมายืนที่เดิม ที่ที่เคยคุ้นตา ขอบคุณพี่ติ๊นาสำหรับเพลงนี้) คนยืนรอคิวนับสิบ ดั่งเข้าแถวซื้อตั๋วคอนเสิร์ต เจ้าหน้าที่ไทยแสกนลายนิ้วมือ ข้อมูลเก่าก็เด้งขึ้นมา ตอบคำถามนิดหน่อย ก็มายืนต่อแถวเพื่อฟันธงจากเจ้าหน้าที่กงสุลฝาหรั่ง วันนี้เป็นชายล้วนทั้งสามช่อง รวมช่องที่สี่สำหรับคนขอวีซ่าถาวร ในระหว่างที่ยืนในห้องเย็นอันอบอุ่นเหงื่อแอบซึมเล็กน้อย (นี่แอร์หรือฮีทเตอร์เนี่ย)
จขกท.รอลุ้นด้วยการนับสถิติ ของผู้ที่ได้และไม่ได้วีซ่า ไปพลางๆ เพื่อเพิ่มความกดดันให้ตัวเอง มีน้องผญ.คนก่อนหน้าประมาณสิบคิว โดยเจ้าหน้าที่ช่องที่ 9 ดูลักษณะเคร่งขรึม ซักเป็นสิบคำถาม ใช้เวลานานมาก จนคนที่รอคิวอยู่หลายคนคงแอบลุ้นกับน้องไปด้วย เพราะนางเพิ่งเรียนจบ  พูดภาษาคล่องมาก จนท.คงต้องพิจารณานาน เพราะกลัวไปไม่กลับ ถามกระทั่งว่ามีแฟนที่นั่นหรือเปล่า เพราะน้องเป็นสาวไทยหน้าคม ผิวเข้ม นางโดนซักจนเหงื่อแตกมือสั่น สุดท้ายนางก็ได้วีซ่า จขกท.ลุ้นด้วยการจิกซองเอกสารแทบขาด ส่วนบางคนถามสองสามคำแล้วก็เดินคอตกกลับออกไป มีสามีภรรยาดูเป็นเจ้าของกิจการเข้าคอกไปด้วยกัน ก็ไม่ได้วีซ่า จากการทำสถิติด้วยการสอดรู้สอดเห็นแล้วก็ประมาณ 60/40 ได้กับไม่นะค่ะ แล้วววววจะถึงฉันแล้วอีกสองคิว  ไม่อยากได้ช่อง9 ไม่อยากๆๆๆๆ อยากได้ช่อง 7 หน้าใจดี๊ดี ช่อง 8 ก็ดูโอเคกว่าช่อง 9 โอ้วววววว แม่เจ้า ในที่สุด......ไปลงที่เลข 9 (เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง นะตัวฉาน) เอาหละไหนก็ไหนๆ ใจดีสู้นกอินทรี (แต่จริงแท้เข้าช่องไปด้วยความจำยอม T T ) จขกท.ยกมือไหว้อย่างสวยงามดั่งนางสาวไทย ตอนกรอกข้อมูลขอสัมฯเป็นภาษาไทยค่ะ  
“สวัสดีค่ะ” สาวแว่น
“สาหวัดดีคารับ จะไปทำอะร๋ายที่อมริก๋า” - “เที่ยวค่ะ”
“ไปกี่วัน” - “12 วันค่ะ”
“ไปเมืองไหน” – “New York (สำเนียงชัดแจ๋ว มีตัวอาร์ปิดด้วยเสียง ค ) คุณท่านก้มหน้านิ้วก็กดแป้นคีย์บอร์ดแกร็กๆๆๆๆๆ ตอนนี้แหละคุณท่านถามเป็นอังกฤษซะเลย ทุกคำถาม แต่อิชั้นตอบกลับเป็นภาษาแม่เราค่ะ
“ไปกับเพื่อนแล้ว เพื่อนชื่ออะไร” – “ชื่อ บลาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
“ทำงานอะไร” – “ฟรีแลนซ์แฟชั่นสไตลิสต์ แฟชั่นบล็อกเกอร์/ไรท์เตอร์ กราฟฟิคดีไซน์เนอร์” (ในมือเตรียมกระจุยเอกสารที่แยกเป็นหมวดให้คุณท่านดู ท่านก็ไม่ขอดู และกวาดตามองเครื่องทรงของ จขกท. และส่งยิ้มหวานมาให้ ก็เลยส่งยิ้มตอบไป แฮะแฮะ)
“ใครเป็นเจ้านายบริษัทอะไร”- “ฟรีแลนซ์ค่ะ” เสียงดังฟังชัด
“เคยไปไหนมาบ้าง” – “อังกฤษ ญี่ปุ่น ไต้หวัน บลาๆๆๆๆๆ” คุณท่านแบมือขอดูพาสปอร์ตเล่มเก่า ก็หย่อนลงช่องเหมือนธนาคารสมัยก่อน คุณท่านพลิกไปพลิกมาสองสามทีดูวีซ่าต่างๆ แล้วนิ้วก็กดแป้นคีย์บอร์ดแกร็กๆๆๆ เสร็จมือก็หยิบหนังกระติ๊กมัดหน้าใบDS-160 กับพาสปอร์ตปัจจุบันของ จขกท. ดังแป็ก!!)  ในใจ จขกท.ใจเต้นรัว เอาละสรุปยังงัยๆๆๆๆๆๆๆ จะได้ ไม่ได้ๆๆ ไม่ขอดูเอกสารอะไรเพิ่มเลยเหรอ อุตส่าห์เสียเงินปริ้นซ์มานะท่านค่ะ สัมฯก็ไม่ถึง 5 นาทีด้วย ทำไมไม่ถามเยอะกว่านี้หละ ไม่กี่เสี้ยววิ คำพูดจากสวรรค์ก็มาโปรด บร๊ะเจ้าโจ๊กอัศวินขี่ม้าขาว
“เที่ยวให้สนุกนะครับ วีซ่าจะส่งถึงคุณทางไปรษณีย์ภายใน 3 วันทำการ” จขกท.ยิ้มแก้มปริ รวบเอกสารอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณค่ะ” ดีใจสุดๆค่ะ (วันนี้ที่รอคอย ฉันชนะแล้วๆ ในที่สุดก็ได้ไปหาเทพีเสรีภาพแล้ว เย้เย้เย้) พลุพลุโอ่งเพี้ยนออกทริป
จขกท. สงสัยเหมือนกันว่า จนท.ไม่ถามเลยว่าเคยถูกปฎิเสธวีซ่า แต่ข้อมูลตรงนี้เรากรอกลงไปในใบสมัครออนไลน์ตามจริง เพราะเค้าจะมีข้อมูลเก่าบันทึกอยู่ จะไปกี่ครั้งมันจะโชว์ขึ้นมาในดาต้าเบสของทางสถานทูตเสมอ เพราะนิ้วที่เค้าสแกนเอาไว้ทั้ง 10 นิ้ว
การไปขอวีซ่าอเมริกา บางทีก็ต้องเสี่ยงดวงดู เพราะตอนตัดสินใจ จขกท. คิดว่าลองดูอีกซักตั้ง ถ้ามันจะได้ไปมันก็ต้องได้ ถึงใจจะยังหวั่นอยู่ การตอบคำถามเป็นคำถามพื้นฐานที่เจ้าที่มักจะถามกับทุกคน ไปทำอะไร กับใคร เมืองไหน ทำงานอะไร เคยไป ปท.ไหนมาบ้าง เราต้องตอบด้วยท่าทีที่มั่นใจ อายคอนแท็คกับเจ้าหน้าที่ ไม่หลบสายตา ตอบให้ตรงกับที่เรากรอกออนไลน์ไว้ เพราะจขกท.คิดว่า จนท.ต้องมีการศึกษาเรื่องจิตวิทยาการอ่านท่าทางของคนมาด้วย ขอเป็นกำลังใจให้ผุ้ที่จะไปขอวีซ่าสหรัฐฯ นะคะ ยืดอกพกซอง(เอกสาร) สู้สู้ค่ะ เป็นฟรีแลนซ์ก็สามารถมีวีซ่ากับเค้าได้นะคะ เพี้ยนสู้สู้เพี้ยนชนะเลิศ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่