พาราณสี (Varanasi) อินเดีย การเดินทางที่ไม่รู้ลืม

วาราณสี หรือที่เราเรียกว่า พาราณสี อินเดีย เมืองในตำนานที่เราเคยเรียนรู้ประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยเด็ก แต่ก็ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งเราต้องไปเห็นด้วยตา เพราะในจินตนาการณ์คาดว่า คงไม่ค่อยมีอะไรที่น่าดูสักเท่าไหร่นัก ยิ่งเห็นข่าวเกี่ยวกับแม่น้ำคงคาหลายๆครั้งเข้า ก็เลยคิดว่าชาตินี้คงไม่ไปหรอก แต่แล้วทริปอินเดียก็เกิดขึ้น จากความที่อยากกินอาหารอินเดียแบบต้นตำหรับ เห็นแก่กินแท้ๆ เลยตัดสินใจเก็บกระเป๋า แล้วออกเดินทาง

พาราณสี เป็นเมืองที่ศักดิสิทธิ์ที่สุดที่ชาวฮินดูนับถือ และยังเป็นเมืองที่มีประวัติมาอย่างยาวนานมากว่า 4,000 ปี จุดเด่นของที่นี้คือ แม่น้ำคงคา ในแต่ละปีมีคนเดินทางมานับล้านคน



เนื่องจากทริปนี้เราใช้เวลาเที่ยวอินเดียกัน 2 เดือนเต็ม โดยออกเดินทางจากกรุงเทพ มายัง โกลกาต้า แล้วเลาะตามเมืองต่าง แต่โพสนี้ขอเริ่มที่พาราณสีนะคะ เนื่องจากเป็นเมืองที่ประทับใจที่สุดในอินเดีย

เรานั่งรถไฟจาก Gangtok มาที่ พาราณสี เมื่อถึงสถานนี ต่อด้วยรถสามล้อปั่น เพื่อไปที่พัก เนื่องจากไม่ได้จองที่พักไว้ล่วงหน้า ที่พักที่ราคาไม่แพงแต่คุณภาพดีเต็มหมด เลยต้องขยับไปในราคาที่แพงขึ้นอีกหน่อยแต่ไม่ไกลจากแม่น้ำ



Ganpati Guest House ราคา 1,200 รูปี (750 บาท) สำหรับ 2 ท่าน ห้องน้ำในตัว ไม่มีอาหารเช้า โดยรวมดีค่ะ สะอาด ไม่มีกลิ่นอับ สีสรรสวยงาม สังเกตได้จากผ้าคลุมเตียง เราพักที่นี้แค่ 2 คืน เนื่องจากราคาห้องพักค่อนข้างแพงสำหรับเรา หลังจาก 2 คืนเราย้ายไปพักกันที่ Teerth Guest House



ราคา 700 รูปี (400 บาท) 2 ท่าน ที่พักเป็นตึก 5 ชั้น ไม่อึดอัด ด้านในห้องพักสะอาดค่ะ แต่อาจจะมีธรรมดาบ้านๆไปหน่อย แต่ทุกอย่างใช้งานได้ดี มีคนเข้ามาทำความสะอาดให้ทุกวันค่ะ

เราเริ่มมาเดินชมบรรยากาศโดยรอบกันดีกว่าค่ะ ช่วงที่เราไปอากาศค่อนข้างเย็นแต่ไม่หนาวค่ะ แนะนำอย่างไปช่วงหน้าร้อนนะคะ เพราะหน้าร้อนที่อินเดียร้อนได้ใจมากค่ะ ร้อนกว่าบ้านเรามาก



Ghats คือบรรไดที่เดินลงไปยังแม่น้ำ สร้างจากคอนกรีตแข็งแรง ทาด้วยสีส้มสะดุดตา เป็นที่ที่เหมาะสำหรับนั่งชมแม่น้ำยามเย็นค่ะ



ซึ่งแต่ละจุดความสะอาดก็จะแตกต่างกันไป มีทั้งสะอาดจนไม่น่าเชื่อ และสกปรกจนขนลุกค่ะ



เราเดินกันมาที่จุดแรกที่มีการเผาศพ ตรงนี้เค้าอนุญาตให้เข้าไปดูนะคะ แต่ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปค่ะ ห้ามจริงๆนะคะ ถ้าเค้าเห็นจะเดินเข้ามาดึงกล้องเลยค่ะ เพื่อเป็นการเคารพผู้เสียชีวิตค่ะ แต่เท่าที่ทราบ การเผาศพแบบนี้มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงค่ะ แต่ก็ยังมีการทำพิธีแบบอื่นสำหรับผู้ที่ไม่สามารถจ่ายเงินในการทำพิธีแบบนี้ได้



คือการถ่วงศพผู้เสียชีวิตลงในแม่น้ำคงคาค่ะ เนื่องจากความเชื่อที่ว่า หากทำการเผาร่าง หรือนำร่างของผู้เสียชีวิตมาทำพิธีที่แม่น้ำ จะทำให้ผู้เสียชีวิตได้ขึ้นสวรรค์(ขออธิบายง่ายนะคะ) โดยการนำร่างขึ้นเรือไปบริเวณกลางแม่น้ำที่มีความลึกพอสมควร ล่วงถ่วงร่างผู้เสียชีวิตได้กับของหนัก แล้วจมล่างลงในแม่น้ำค่ะ ตอนที่เห็นรู้สึกได้ถึงความเศร้า และสลดมาก



ในช่วงประมาณ 8 โมงถึง 10 โมงเค้า คนจะไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไหร่นัก เหมาะแก่การเดินชมโดยรอบ โดยไม่มีคนขายของมากวนมากนัก แต่ก็ยังคงมีเด็กๆที่เดินตามของเงิน



แต่พอสายหน่อยคนก็จะเริ่มทยอยกันมามาค่ะ และเริ่มมีการตั้งขายของ จะเป็นจำพวกของที่ใช้ในการบูชาพระแม่คงคา รวมถึงกระบอกใส่น้ำ เพราะมีหลายคนที่จะนำน้ำกลับบ้านด้วย



นี้คือสิ่งที่จะพบเห็นได้ทุกวันที่นี้ มีผู้คนมากมายจากทั่วทุกที่มาทำความเคารพ บูชา อาบน้ำ ซักผ้า หรือแม้แต่ดื่มกินแม่น้ำ เท่าที่เราอ่านมามีนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการวิจัยแม่น้ำคงคา พบว่าแม่น้ำคงค่ามีค่าของออกซิเจนละลายในน้ำสูง ทำให้มีจุลินทรีย์ที่สามารถกินแบคทีเรียหรือไวรัสเป็นจำนวนมากอีกด้วย ทำให้หากมีของเสียในแม่น้ำมากเท่าไหร่ จุลินทรีย์ในแม่น้ำคงคาก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น และแม่น้ำคงคาเป็นแม่น้ำที่สามารถปรับตัวกับสภาพแวดล้อมได้ดีที่สุดอีกด้วย



จึงไม่แปลกใจที่จะมีผู้คนมากมายมาที่นี้ และไม่เคยมีข่าวว่ามีผู้ได้รับเชื้อโรคหรือไวรัสจากแม่น้ำแห่งนี้เลย
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่