เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้..มันเป็นเรื่องจริง ที่เกิดกับตัวเราเอง
เรื่องมันเริ่มต้นเมื่อ 5 ปีก่อน ตอนนั้นฉันพึ่งจะอายุ 19 ปี พ่อแม่ของเราเสียแล้วทั้งคู่ เลยได้อาศัยอยู่กับลุงและป้า แต่ตอนนั้นลุงกับป้ามีเหตุจำเป็นต้องกลับไปอยู่ต่างจังหวัด ซึ้งตอนนั้นเราก็ไม่อยากไป ด้วยที่ว่าช่วงนั้นติดแฟน (ก็คนคบมาตั้ง 3 ปี กว่าครอบครัวเค้าครอบครัวเราจะยอมรับจากเมื่อก่อนแอบคบจนชนะใจผู้ใหญ่สองฝ่ายก็ใช้เวลาเกือบปี) ติดเพื่อน เลยติดสินใจไม่กลับไป เช่าห้องอยู่คนเดียวเพื่อจะได้อยู่ใกล้ๆกลับแฟน เวลานั้นอะไรก็แฟน ลำบากขนาดไหนก็ไม่สนขอแค่ให้ได้อยู่ใกล้ๆเค้าก็พอ บ้านแฟนค่อนข้างที่จะมีฐานะพอสมควร เปิดเป็นร้านขายส่ง เหล้า เบียร์ ต่างๆครอบครัวเค้าก็รักเราดี ชวนให้เราไปอยู่กับเค้าที่บ้านจะได้ไม่ต้องเสียค่าเช่าห้อง แต่ด้วยเราโดนเลี้ยงดูมาด้วยความที่มีอิสระ แต่ที่บ้านแฟนค่อนข้างที่จะเจ้าระเบียบเอาซะหน่อยเราเลยตัดสินใจไม่ไปอยู่กับเค้า ช่วงกลางวันเราก็อยู่ที่บ้านแฟน ช่วยที่บ้านเค้าเช็คของลงของ แฟนเราก็ไปส่งของกับลุงของเค้า เราอยู่บ้านก็ช่วยที่บ้านเค้าทำงานบ้านต่างๆ คือเราก็ไม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ถึงอาทิตย์ถึงเดือน เค้าก็ให้เงินไว้ใช้จ่ายส่วนตัวจ่ายค่าเช่าห้อง ช่วงแรกๆมันก็ดูไม่มีอะไรมันก็ดีอยู่หลอก แต่พอหลังๆ ที่บ้านเค้าเริ่มอยากหาทำรายได้เสริมเปิดร้านขายทอดมัน แล้วทำข้าวต้มมัดขาย เรื่องขายของเราขายมาตั้งแต่เด็กเลยไม่คิดอะไรมากเราก็ช่วยเค้าทำได้ แต่ด้วยความที่ว่าต่างคนต่างเหนื่อยเราก็เริ่มมีปัญหากับแฟน ถึงฉันเราจะเคยช่วยลุงกับป้าขายของมาตั้งแต่เด็กแต่ก็ไม่เคยต้องเหนื่อยขนาดนี้ คิดว่าลำบากเลยหล่ะ ตอนนั้นคิดถึงที่บ้านมาก แต่ก็ไม่อยากบอกที่บ้านกลัวเค้าเป็นห่วง จากคนที่เคยเลิกเรียนกลับมาบ้านก็ขายของแค่ที่หน้าร้านไม่ต้องไปตลาด ไม่ต้องตื่นแต่ตี 4-5 แต่ต้องตื่น ตื่นตี 4-5 ต้องไปตั้งร้านขายข้าวมต้มมัดช่วงเช้า สายๆซื้อของกลับไปทำขายต่อช่วงเย็น คือตื่นเช้าแล้วสายแทนที่จะได้พัก เรายังต้องไปช่วงเค้าขายทอดมันแล้วก็ยังต้องทำข้าวต้มมัดขายเย็น กลับบ้านก็ต้องเตรียมของขายเช้า เวลาพักจิงๆ แค่ 3-4 ชม ต่อวัน เราก็คิดนะ ทำไมต้องลำบากขนาดนี้หว่ะ ที่บ้านไม่เคยให้เป็นแบบนี้เลย ทำเพื่ออะไร เหนื่อยอ่ะ เริ่มมีปัญหากับแฟนมากขึ้น ส่วนแฟนเราไม่บ่นหรอกมีแต่เราเนี่ยและที่บ่น เหนื่อย ไม่ได้พักเลย ทำงานขนาดนี้ แต่ก็ไม่เฆ้นจะมีเงินเก็บเป็นก่อนอะไร แค่มีกินมีใช้ไปวันๆ อนาคตอยู่ที่ไหน เริ่มคิด เริ่มมีปากเสียกันมากขึ้น นี่ใช่มั้ยที่เค้าเรียกว่าหมดสมัย "กัดก้อนเกลือกิน" ความรักมันกินไม่ได้ อันที่จิงก็ไม่ถึงกับไม่มีอะไรกินนะอยู่ดีกินดี แต่เราเริ่มไม่มีเวลาอิสระ เริ่มเบื่อ ไม่เจอเพื่อน เริ่มทนไม่ได้เพราะเราคิดนี่มันไม่ใช่ชีวิตฉัน "ฉันไม่เคยลำบากต้องทำมาหากินขายของทำงานตัวเป็นเกลียวขนาดนี้" ถึงวันที่ฉันต้องโบกมือลาที่นี้ซักที เราตัดสินใจไปอยู่กับน้าที่ฝั่งธน เราก็ไม่ได้ทำงานอะไรหรอก แค่อยู่เลี้ยงลูกให้น้า พอเราไปอยู่เค้าก็ไม่เอาน้องไปฝากไว้ที่เนอเซอร์รี่ ให้เราดูแลน้องแทน แต่ก็ยังไม่เลิกกับแฟน เรายังคุยโทรศัพท์กันทุกวัน เค้ามาหาเรา อาทิตย์ละครั้ง แต่ด้วยความห่างความผูกพันจึงลดน้อยลง รึเราเองที่เริ่มมีคนอื่นมาจีบ วันไหนที่น้าเราหยุด แทนที่เราจะไปหาแฟนแต่ป่าวเลย เราไปหาเพื่อนเที่ยวกิน ไม่สนใจแฟนเลย "ฉันจะสนใจทำไมหล่ะ ถึงฉันเลิกฉันก้มีคนอื่นที่คุยด้วยอยู่ดี" แต่ก็ไม่ได้จิงจังอะไร จนกระทั้งวันหนึ่งเราไปงานวัดเกิดเพื่อน เราเจอพี่คนนึ่ง แต่ก้รุ่นพ่อเลยหล่ะ อิอิ....เค้าอายุห่างจากเรา 27 ปีเลยทีเดียว จากวันนั้นมันก็คือ "จุดเปลี่ยน..ของชีวิต"
***ขออภัยหากอ่านแล้วงง*** เพราะพึงจะเคยเขียนอะไรยาวๆแบบนี้ครั้งแรก เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังต่อ ขอพักแปปนึง
ความรัก..ผิดมั้ย??
เรื่องมันเริ่มต้นเมื่อ 5 ปีก่อน ตอนนั้นฉันพึ่งจะอายุ 19 ปี พ่อแม่ของเราเสียแล้วทั้งคู่ เลยได้อาศัยอยู่กับลุงและป้า แต่ตอนนั้นลุงกับป้ามีเหตุจำเป็นต้องกลับไปอยู่ต่างจังหวัด ซึ้งตอนนั้นเราก็ไม่อยากไป ด้วยที่ว่าช่วงนั้นติดแฟน (ก็คนคบมาตั้ง 3 ปี กว่าครอบครัวเค้าครอบครัวเราจะยอมรับจากเมื่อก่อนแอบคบจนชนะใจผู้ใหญ่สองฝ่ายก็ใช้เวลาเกือบปี) ติดเพื่อน เลยติดสินใจไม่กลับไป เช่าห้องอยู่คนเดียวเพื่อจะได้อยู่ใกล้ๆกลับแฟน เวลานั้นอะไรก็แฟน ลำบากขนาดไหนก็ไม่สนขอแค่ให้ได้อยู่ใกล้ๆเค้าก็พอ บ้านแฟนค่อนข้างที่จะมีฐานะพอสมควร เปิดเป็นร้านขายส่ง เหล้า เบียร์ ต่างๆครอบครัวเค้าก็รักเราดี ชวนให้เราไปอยู่กับเค้าที่บ้านจะได้ไม่ต้องเสียค่าเช่าห้อง แต่ด้วยเราโดนเลี้ยงดูมาด้วยความที่มีอิสระ แต่ที่บ้านแฟนค่อนข้างที่จะเจ้าระเบียบเอาซะหน่อยเราเลยตัดสินใจไม่ไปอยู่กับเค้า ช่วงกลางวันเราก็อยู่ที่บ้านแฟน ช่วยที่บ้านเค้าเช็คของลงของ แฟนเราก็ไปส่งของกับลุงของเค้า เราอยู่บ้านก็ช่วยที่บ้านเค้าทำงานบ้านต่างๆ คือเราก็ไม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ถึงอาทิตย์ถึงเดือน เค้าก็ให้เงินไว้ใช้จ่ายส่วนตัวจ่ายค่าเช่าห้อง ช่วงแรกๆมันก็ดูไม่มีอะไรมันก็ดีอยู่หลอก แต่พอหลังๆ ที่บ้านเค้าเริ่มอยากหาทำรายได้เสริมเปิดร้านขายทอดมัน แล้วทำข้าวต้มมัดขาย เรื่องขายของเราขายมาตั้งแต่เด็กเลยไม่คิดอะไรมากเราก็ช่วยเค้าทำได้ แต่ด้วยความที่ว่าต่างคนต่างเหนื่อยเราก็เริ่มมีปัญหากับแฟน ถึงฉันเราจะเคยช่วยลุงกับป้าขายของมาตั้งแต่เด็กแต่ก็ไม่เคยต้องเหนื่อยขนาดนี้ คิดว่าลำบากเลยหล่ะ ตอนนั้นคิดถึงที่บ้านมาก แต่ก็ไม่อยากบอกที่บ้านกลัวเค้าเป็นห่วง จากคนที่เคยเลิกเรียนกลับมาบ้านก็ขายของแค่ที่หน้าร้านไม่ต้องไปตลาด ไม่ต้องตื่นแต่ตี 4-5 แต่ต้องตื่น ตื่นตี 4-5 ต้องไปตั้งร้านขายข้าวมต้มมัดช่วงเช้า สายๆซื้อของกลับไปทำขายต่อช่วงเย็น คือตื่นเช้าแล้วสายแทนที่จะได้พัก เรายังต้องไปช่วงเค้าขายทอดมันแล้วก็ยังต้องทำข้าวต้มมัดขายเย็น กลับบ้านก็ต้องเตรียมของขายเช้า เวลาพักจิงๆ แค่ 3-4 ชม ต่อวัน เราก็คิดนะ ทำไมต้องลำบากขนาดนี้หว่ะ ที่บ้านไม่เคยให้เป็นแบบนี้เลย ทำเพื่ออะไร เหนื่อยอ่ะ เริ่มมีปัญหากับแฟนมากขึ้น ส่วนแฟนเราไม่บ่นหรอกมีแต่เราเนี่ยและที่บ่น เหนื่อย ไม่ได้พักเลย ทำงานขนาดนี้ แต่ก็ไม่เฆ้นจะมีเงินเก็บเป็นก่อนอะไร แค่มีกินมีใช้ไปวันๆ อนาคตอยู่ที่ไหน เริ่มคิด เริ่มมีปากเสียกันมากขึ้น นี่ใช่มั้ยที่เค้าเรียกว่าหมดสมัย "กัดก้อนเกลือกิน" ความรักมันกินไม่ได้ อันที่จิงก็ไม่ถึงกับไม่มีอะไรกินนะอยู่ดีกินดี แต่เราเริ่มไม่มีเวลาอิสระ เริ่มเบื่อ ไม่เจอเพื่อน เริ่มทนไม่ได้เพราะเราคิดนี่มันไม่ใช่ชีวิตฉัน "ฉันไม่เคยลำบากต้องทำมาหากินขายของทำงานตัวเป็นเกลียวขนาดนี้" ถึงวันที่ฉันต้องโบกมือลาที่นี้ซักที เราตัดสินใจไปอยู่กับน้าที่ฝั่งธน เราก็ไม่ได้ทำงานอะไรหรอก แค่อยู่เลี้ยงลูกให้น้า พอเราไปอยู่เค้าก็ไม่เอาน้องไปฝากไว้ที่เนอเซอร์รี่ ให้เราดูแลน้องแทน แต่ก็ยังไม่เลิกกับแฟน เรายังคุยโทรศัพท์กันทุกวัน เค้ามาหาเรา อาทิตย์ละครั้ง แต่ด้วยความห่างความผูกพันจึงลดน้อยลง รึเราเองที่เริ่มมีคนอื่นมาจีบ วันไหนที่น้าเราหยุด แทนที่เราจะไปหาแฟนแต่ป่าวเลย เราไปหาเพื่อนเที่ยวกิน ไม่สนใจแฟนเลย "ฉันจะสนใจทำไมหล่ะ ถึงฉันเลิกฉันก้มีคนอื่นที่คุยด้วยอยู่ดี" แต่ก็ไม่ได้จิงจังอะไร จนกระทั้งวันหนึ่งเราไปงานวัดเกิดเพื่อน เราเจอพี่คนนึ่ง แต่ก้รุ่นพ่อเลยหล่ะ อิอิ....เค้าอายุห่างจากเรา 27 ปีเลยทีเดียว จากวันนั้นมันก็คือ "จุดเปลี่ยน..ของชีวิต"
***ขออภัยหากอ่านแล้วงง*** เพราะพึงจะเคยเขียนอะไรยาวๆแบบนี้ครั้งแรก เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังต่อ ขอพักแปปนึง