บาหลีไม่มีเธอ: พิชิตภูเขาไฟ (ตอนที่ 8)

ความเดิมตอนที่แล้ว --> http://pantip.com/topic/34108068

********************


แม้ว่าจะเป็นเวลาประมาณตีสี่ครึ่ง แต่บริเวณทางขึ้นภูเขาไฟก็เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ผมลงจากรถ เห็นสันติกับอ้อยแต่งตัวได้อบอุ่นราวกับกำลังจะไปเที่ยวเกาหลี พวกเขาสวมเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ ใส่หมวกไหมพรม บนหัวมีไฟฉายส่องทาง สันติทดลองเปิดปิดไฟฉาย ส่วนอ้อยกำลังเตรียมน้ำดื่มสำหรับเธอและแฟนหนุ่ม หันไปมองลองกอง เธอก็มาในชุดเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ กำลังเตรียมน้ำดื่มอยู่เช่นกัน

เอ่อ พวกเมิงเตรียมตัวกันพร้อมมากกก แตกต่างกับผมอย่างสิ้นเชิง ผมมาปีนภูเขาไฟด้วยเสื้อยืดแขนสั้นสีน้ำเงินสด ซื้อจากตลาดนัดข้างเมเจอร์รัชโยธิน กางเกงยีนส์สีดำจากยูเนียนมอลล์ รองเท้าผ้าใบบาจาตลาดมีนบุรี เข็มขัดตลาดอินเตอร์โซนธรรมศาสตร์ ไม่มีเสื้อกันหนาว ไม่มีไฟฉาย ไม่มีน้ำดื่ม ไม่มีห่าเหวอะไรทั้งนั้น แต่งตัวเหมือนกำลังจะนั่งรถเมล์ไปตลาดจตุจักร ไม่มีออร่าของบุรุษที่กำลังจะพิชิตภูเขาไฟเลย

‘ไอ้พวกนี้ แต่งตัวเว่อ’ ผมคิดในใจ

ทันใดนั้น มีนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งเดินผ่านไป พวกเขาก็มาในชุดเสื้อกันหนาวตัวใหญ่เช่นกัน ผมเห็นแล้วก็อดถามไกด์ไม่ได้ว่า

“พี่ ๆ อากาศบนนั้นหนาวเหรอ”

“ใช่สิ อากาศบนภูเขาตอนเช้ามืดมันก็หนาวทุกที่แหละ”

ลมหนาววูบหนึ่งพัดผ่านไป ชายหนุ่มในชุดเสื้อแขนสั้นสีน้ำเงินสดสั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บ

นี่เป็นความรู้ใหม่นะเนี่ย ผมไม่เคยเอะใจมาก่อนเลยว่าบนภูเขาไฟมันจะหนาว ภูเขาไฟมันจะหนาวได้ไง ชื่อ ‘ภูเขาไฟ’ มันมีคำว่า ‘ไฟ’ มันต้องร้อนเซ่ มันไม่ใช่ภูเขาน้ำแข็งนะเว้ยเฮ้ย

“อุ๊ย นายแน่ใจนะว่าจะไม่ยืมเสื้อกันหนาวเราอะ”

สันติเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“แอม โอ เค”

ผมตอบพร้อมกับเดินจากไป

นักท่องเที่ยวแถวนั้นต่างหันมามองเสื้อยืดแขนสั้นสีน้ำเงินของเขา

เสื้อยืดสีน้ำเงินที่สดที่สุดในภูเขาไฟบาตูร์

********************


หนุ่มสาวห้าชีวิตออกเดินเท้าไปตามทางเล็ก ๆ มุ่งหน้าสู่ปากปล่องภูเขาไฟบาตูร์ ตอนนั้นน่าจะประมาณตีสี่กว่า ๆ หันซ้ายขวาหน้าหลังก็เจอแต่ความมืดมิด มองไม่เห็นอะไร จะมีก็แต่แสงจากไฟฉายแรงสูงสี่ดวงเท่านั้น (คงรู้นะว่าทำไมมันถึงมีแค่สี่ดวง หึหึ)

“พวกเราต้องเดินเท้ากันประมาณสี่กิโลครึ่ง ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง เราจะไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ปากปล่องภูเขาไฟกัน”

พี่ไกด์อธิบาย

ระหว่างทาง ผมเล่าให้พี่ไกด์ฟังว่า

“นี่เป็นครั้งแรกของผมที่ได้ขึ้นภูเขาไฟ ’บาซู’ เลยนะเนี่ย”

“โน ๆ บาตรูร์อู”

“บาตู?”

“โน ๆ บาตรูร์อู”

“เอ บาตรรรู?”

“โน ๆ บาตรูร์อู”

“เอ่อ บรรรรรา ตรรรรรู?”

“โน ๆ บาตรูร์อู”

“....................”

โหยยย!! เมิงจะซีเรียสอะไรกะกุเนี่ยยย!!

เอาเท้อออ ไม่ว่ามันจะออกเสียงว่าบาตงบาตูหรืออะไรก็ตามเท้อออ เอาเป็นว่ากุหมายถึงภูเขาลูกนี้ก็แล้วกัน

อิห่าน!! กุไม่ใช่น้องณัชชานะคะ ภาษาอังกฤษยังออกเสียงไม่ชัด จะเอาอะไรกับภาษาบาหลี

อย่าให้เจอที่ไทยนะเมิง เมิงเจอ ‘ชามเขียวคว่ำเช้า ชามขาวคว่ำค่ำ’ กุแน่

เส้นทางขึ้นปากปล่องภูเขาไฟแบ่งได้เป็นสี่ช่วง ช่วงแรกเป็นทางพื้นราบ เหมือนแค่เดินไปยังตีนเขาเฉย ๆ ช่วงนี้ผมก็ยังเดินได้อย่างสบายใจอยู่

ช่วงที่สองเริ่มมีต้องขึ้นเนินเล็กเนินน้อย ลัดเลาะไปตามตีนเขา ช่วงนี้แม้ว่าผมเริ่มหายใจดัง แต่ก็ยังไหว

แต่พอมาถึงช่วงที่สามนี่สิ ทางเริ่มลาดชันขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งเดิน ทางก็ยิ่งชัน เป็นทางซิกแซกไต่เขาขึ้นไป ช่วงนี้เริ่มเดินยากขึ้นเพราะพื้นถนนเป็นหินภูเขาไฟก้อนเล็ก ๆ ทำให้ลื่นมาก ต้องเดินกันอย่างระมัดระวัง

อัตราเร็วของทีมพวกเราลดลงอย่างเห็นได้ชัด ฝรั่งหลายคนเดินแซงขึ้นไป นี่ขนาดผมเตรียมฟิตร่างกายด้วยการวิดพื้นและแทงปลาไหลวันละ 50 ครั้งเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มก่อนมานี่นะเนี่ย แต่ดูเหมือนการแทงปลาไหลจะไม่ช่วยอะไรเลย สันติ ลองกองและพี่ไกด์เดินนำไปไกลแล้ว เหลือผมกับอ้อยที่เดินรั้งท้ายอยู่

เราสองคนหยุดพักหอบหายใจกันครู่หนึ่ง ท้องฟ้ายามค่ำคืนของที่นี่สวยกว่าที่กรุงเทพ ฯ มากนัก ท้องฟ้ามีดวงดาวมากกว่าที่ผมเคยเห็นจากที่ไหน ๆ ดาวตกดวงหนึ่งพาดผ่านท้องฟ้าลงมา แต่ผมลืมอธิษฐาน ท้องฟ้าที่นี่สวยกว่าที่ท้องฟ้าจำลองเอกมัยเสียอีก

ผมมองไปยังภูเขาไฟที่ตั้งตระง่านอยู่ตรงหน้า เห็นแสงไฟฉายของนักท่องเที่ยวระยิบระยับตลอดเส้นทาง ดูคล้ายงูไฟตัวยาวที่กำลังเลื้อยขึ้นสู่ยอดเขา จุดที่ผมยืนตรงนี้นี่มันยังไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าปากปล่องภูเขาไฟเลยนะเนี่ย

บทเพลงหนึ่งดังขึ้นมาในหัว

“อีกไกลแค่ไหนจนกว่าฉันจะใกล้บอกที”

แต่ก็ไม่เป็นไร

“เรามาไกลเท่านี้ก็ดีเหลือเกิน”

ถึงเวลาที่ผมกับอ้อยต้องออกเดินอีกครั้ง แม้จะยังไม่หายเหนื่อยแต่ก็ต้องเดินแข่งกับพระอาทิตย์ที่กำลังจะขึ้นในไม่กี่นาทีข้างหน้า ผมผายมือออกพร้อมกับบอกอ้อยว่า

“Lady first.”

“Wow! You are so gentle.”

โถ แม่คุณ Gent ห่านอะไร กุเหนื่อยกว่าเมิงอีก อ้อย

พวกเราเดิน ๆ พัก ๆ ปีนป่ายขึ้นไปจนใกล้ถึงยอดเขา ช่วงท้าย ๆ นี่ทางโหดมาก ความลาดชันเกิน 45 องศา บางจังหวะต้องใช้มือช่วยถึงจะปีนขึ้นไปได้ ผมว่าที่จริงทางมันก็ไม่ได้ลำบากอะไรมากมายหรอกครับ แต่ปัญหามันอยู่ที่เราต้องเร่งทำเวลาเพื่อไปให้ทันพระอาทิตย์ขึ้นนี่แหละ และตอนนี้ที่ขอบฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้ว

ผมรวบรวมพลังฮึดเฮือกสุดท้ายที่ได้จากการการวิดพื้นและแทงปลาไหล ปีนป่ายพาตัวเองขึ้นสู่บริเวณปากปล่องภูเขาไฟได้สำเร็จ

ที่ขอบฟ้าด้านทิศตะวันออกกลายเป็นสีแดงเข้ม พระอาทิตย์ดวงกลมสีแดงค่อย ๆ โผล่พ้นจากหลังภูเขาไฟที่อยู่อีกเกาะหนึ่ง

เป็นแสงแรกของวันที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา


แสงแรกของวันที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา



หายเหนื่อย



ช่วงสุดท้ายก่อนถึงปากปล่องภูเขาไฟ โหดมาก


********************


คิด ๆ ดูแล้วก็ตลกดีนะครับ เมื่อก่อนมนุษย์ก็อยู่กับธรรมชาติ เห็นพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกทุกวันจนเบื่อ ต่อมามนุษย์ก็เริ่มก่อสร้างโน่นนั่นนี่ ยิ่งมายิ่งใหญ่ยิ่งอลังการ จนสุดท้ายสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นก็กลับทำลายธรรมชาติ บดบังทัศนียภาพ จนมนุษย์ไม่สามารถเห็นพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกได้อีกต่อไป

แล้วไงล่ะ มนุษย์ก็ต้องบินข้ามน้ำข้ามทะเล นั่งรถข้ามภูเขา เดินเท้าอีกสี่กิโลครึ่ง และปีนป่ายขึ้นมาบนยอดเขา เพื่อจะมาดูพระอาทิตย์ขึ้น ดั้นด้นเพื่อมาดูธรรมชาติที่โคตรจะธรรมดาสามัญที่สุด คิดแล้วก็ตลกดีนะครับ

พื้นที่บริเวณปากปล่องภูเขาไฟมีลักษณะเป็นลานกว้าง มีนักท่องเที่ยวกระจายตัวเป็นหย่อม ๆ ที่ตรงนี้สามารถมองเห็นทะเลสาบบาร์ตู ภูเขาไฟอาบังและพื้นที่โดยรอบได้อย่างชัดเจน สามารถเห็นร่องรอยของลาวาจากเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดเมื่อหลายปีก่อน พื้นดินดำไปเป็นแถบเชียว

พวกเราเดินเล่นรอบ ๆ ถ่ายรูปกันตามประสา ปากปล่องภูเขาไฟเป็นหลุมที่ลึกลงไป ด้านล่างเต็มไปด้วยก้อนหินก้อนเล็กก้อนใหญ่เต็มไปหมด เดิน ๆ ไปก็จะพบกับรอยแตกของพื้นดินที่มีไอร้อนพวยพุ่งออกมา ภูเขาไฟลูกนี้ยังไม่สงบ กำลังรอวันที่จะปะทุขึ้นอีกครั้ง

และผมหวังว่าคงไม่ใช่วันนี้

พวกเราทั้งสี่คนรับประทานอาหารเช้าร่วมกันอีกครั้งในบรรยากาศบนปากปล่องภูเขาไฟ พี่ไกด์เอาแซนด์วิชมาให้คนละชิ้น เป็นแซนด์วิชกล้วยหอมกับไข่ต้ม อืม เมนูสร้างสรรค์ ไว้ผมจะลองกลับไปทำกินที่บ้านนะ

ระหว่างที่ผมกำลังแทะไข่ต้ม ก็มีเด็กผู้หญิงสองคนอายุประมาณ 10 ขวบเดินมาถามผมว่า

“Water?”

เด็กหญิงทั้งสองมีอาชีพขายน้ำครับ กิจวัตรประจำวันของพวกเธอคือทุก ๆ เช้า พวกเธอจะแบกขวดโค้กใส่กระเป๋าแล้วเดินขึ้นเขาเป็นระยะทาง 4.5 กิโลเมตรทุกวัน เพื่อมาขายน้ำให้นักท่องเที่ยวที่ปากปล่องภูเขาไฟ ผมรู้สึกทึ่งมาก ตอนเราอายุเท่านี้เรายังไล่เปิดกระโปรงเพื่อนผู้หญิงเล่นอยู่เลย แต่น้องสองคนนี้กลับต้องขึ้นมาขายน้ำที่ความสูง 1,700 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลทุกวัน น้องครับ น้องนี่เป็นไอดอลของพี่เลยครับ

ผมอุดหนุนโค้กน้องเขาหนึ่งขวด มูลค่า 20,000 รูเปียห์ อาจจะแพงหน่อยแต่ก็ถือว่าเป็นทุนการศึกษาให้น้อง ๆ เขาก็แล้วกัน พวกเรานั่งกินลมชมวิวอยู่เป็นเวลานาน จนถึงช่วงสาย ๆ ก็ถึงเวลาต้องบ๊ายบายที่นี่ซักที


















แซนด์วิชกล้วยหอมกับไข่ต้ม



สันติ อ้อย และลองกอง เพื่อนร่วมประชาคมอาเซียน



breakfast บนปากปล่องภูเขาไฟ โรแมนติกไม่น้อย


สิ่งเดียวที่รู้สึกตอนขาลงคือ เมื่อกี้กุขึ้นมาได้ไงวะ เส้นทางสูงชันเต็มไปด้วยเห็นก้อนเล็ก ๆ ที่โคตรจะลื่น ตอนขาขึ้นมันมืด ๆ มองอะไรไม่เห็น ก็เลยไม่ค่อยกลัวเท่าไร ถ้าได้เห็นชัด ๆ ตั้งแต่แรกว่ามันทั้งสูงทั้งไกลขนาดนี้ ผมก็คงคิดหนักเหมือนกัน ขนาดตอนลงเขาผมยังเกือบจะลื่นอยู่หลายครั้ง ลื่นทีฝรั่งก็หันขวับมามองที ประมาณว่า อย่านะเมิง ถ้าเมิงลื่นลงมาคนนึง อิพวกที่อยู่ข้างล่างได้ร่วมกันกลิ้งลงเขาสามัคคีแน่ ๆ

ผมใช้เวลาเดินอยู่หลายแฮกในที่สุดก็ถึงพื้นล่าง รองเท้าบาจาของผมตอนนี้กลายเป็นบากระจุยเรียบร้อยแล้ว ผมเดินผ่านเด็กผู้หญิงสองคน เสียงที่คุ้นหูดังขึ้น

“Water?”

เฮ้ย!! เมิงลงมาตอนไหนเนี่ย!!

ผมจำได้ว่าตอนผมลงมา ผมยังเห็นเด็กผู้หญิงสองคนนี้ขายน้ำให้ฝรั่งอยู่บนปากปล่องภูเขาไฟอยู่เลย แล้วนี่มายืนขายน้ำข้างล่างนี่ได้ไงเนี่ย ไม่จริง ที่อยู่ข้างบนนั่นคือฝาแฝดของพวกเธอใช่มั้ย พวกเธอมีฝาแฝดใช่มั้ย หรือว่าที่จริงด้านหลังภูเขาไฟมีลิฟต์ซ่อนอยู่ เด็กสองคนนี้ถึงลงมาได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้

ไม่จริง ไม่จริ๊งงงง

เฮ้อ โดนเด็กผู้หญิงแซงแบบนี้ สังขารเราคงไปไกลแล้วจริง ๆ


เฮ้ย เมื่อเช้ามืดเราพากันมาถึงจุดนี้ได้ยังไง จุดที่ภูเขาสูงชันขนาดนี้ ได้ยังไง





พลาดหนึ่งคน กลิ้งตกเขาทั้งยวง



ภูเขาไฟบาตูร์



บาย ๆ ภูเขาไฟบาตูร์


ขากลับผมหลับสนิทยิ่งกว่าตอนขามา ถ้าตอนนั้นมีสาวบาหลีแอบมาล่วงเกินผม ผมก็คงเสียอธิปไตยให้สาวบาหลีโดยไม่รู้ตัว ตื่นขึ้นมาอีกที รถก็มาจอดหน้าโรงแรมแล้ว

“Good bye. Nice to know you”  

ผมจับมือร่ำลาสันติ อ้อยและลองกอง ก่อนที่พวกเราจะแยกย้ายจากกัน

To be continued

บาหลีไม่มีเธอ: เป็ดกรอบแห่งอูบูด (ตอนที่ 9) --> (http://pantip.com/topic/34113578

*** ติดตามเรื่องราวสนุก ๆ ได้ที่เพจ นายอุ๊ย!! นะครับ --> https://www.facebook.com/lovenaioui ***

แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่