ไปค่ะ ไปบางกะเจ้ากัน (ไม่พูดพร่ำทำเพลงละนะ 55555)
เราขี่มอเตอร์ไซต์จากบ้าน ไปจอดในวัดบางน้ำผึ้งใน จอดติดกับกำแพงร้านเช่าจักรยานเลยค่ะ สรุปก็เลยได้จักรยานเช่ามา โดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้ขอบัตรประชาชนเอาไว้เลยสักนิด (หุ หุ ก็รถเราจอดอยู่ข้างร้านเขาขนาดนั้นอ่ะนะ) แต่เจ้าหน้าที่ก็อัธยาศัยดีมากค่ะ ให้ข้อมูลเส้นทางเป็นอย่างดี
เล็งเอาไว้จากบ้านเลยและจากการอ่านรีวิวลายแทงของเพื่อน ๆ ในพันทิพย์ ซึ่งสรุปได้ว่า จะไปเช่าจักรยานในวัดบางน้ำผึ้งในค่ะ
เรทที่ได้ ถูกกว่าที่ทราบมาด้วยนะ ทั้งวัน 80 บาท แต่ที่อื่น ๆ มักจะคิด 100 บาทค่ะ (แต่แอบคิดว่า หรือเราไปวันธรรมดาหรือเปล่าเลยได้ส่วนลด อันนี้ไม่ได้ถามเจ้าหน้าที่เขาเสียด้วย เดาเอาล้วน ๆ นะคะ แต่ต่อให้ 100 บาท เราก็โอเค เพราะสิ่งที่ได้ มันเกินร้อยทั้งนั้นเลย)
First Stop
ปั่นมั่ว ๆ ประมาณครึ่งชั่วโมงค่ะ (เป็นการมั่วที่กินเวลานานอยู่ ><)
ถึงแล้วค่ะ "สวนสาธารณะและสวนพฤกษศาสตร์ ศรีนครเขื่อนขันธ์"
วันที่ไปนั้น ฟ้าครึ้ม ไม่มีแดดเลย ซึ่งเป็นข้อดีอย่างยิ่ง ก็คือ ไม่ร้อน (เราเริ่มปั่นตอนเที่ยงตรงเป๊ะ แต่แบบว่า หาแดดไม่เจอค่ะ) ส่วนข้อเสียก็คือ ฟ้าก็เป็นแบบที่เห็นนี่ล่ะ ขาว ๆ ซีด ๆ ตามสภาพอากาศ
ข้ามสะพานเข้าสู่ตัวสวน
คือจักรยาน ขี่เอง ไม่มีใครมาลากไป ทางเดินของใครของมัน
คือจักรยานสีแดงงงงงงงงง (และถังขยะสีเขียว) ><
ตะลึงพรึงเพริดกับทางเดินยาวกลางน้ำ ประหนึ่งว่าไปอุทยานแห่งชาติที่ไหนสักแห่ง แต่ไม่ใช่เลย มันคือบางกะเจ้า
อัศจรรย์ใจไปทุกทิศทาง
มีจุดจอดจักรยาน อย่างดี
ตลอดทาง จะมีจุดศึกษาธรรมชาติ ส่วนอันนี้ คือต้นจากและลูกของมันค่ะ
ธรรมชาติสวยงามในตัวของมันเอง
มีจุดบอกตำแหน่งด้วย
และแล้วก็มาถึง หอคอย อันลือเลื่อง
มีหรือจะพลาด
และนี่ก็ไม่พลาด กับมุมมหาชน
จุ๊ ๆ เบา ๆ ค่ะ สองต้นนี้เขาจีบกันอยู่ ^^
นอกจากทางลาดอย่างดีแล้ว ที่นี่ยังมีทางหินขรุขระไว้ให้ด้วย แต่เลือกได้นะ จะไม่ปั่นทางนี้ก็ได้ แต่เราลองปั่นดู ระยะทางก็ยาวประมาณนึง ไม่ถึงกับโหดร้ายค่ะ
เราปั่นไปทั่ว บางทีเห็นทางแปลก ๆ ก็เลยลองปั่นเข้าไปดู แต่ก็ต้องถอยออกมา เพราะเจอสิ่งนี้
นอกจากต้นไม้ ก็ยังมีตึกด้วย
ปั่นอยู่ในสวนฯ จนเกือบบ่ายสอง ก็ครบรอบ และเลี้ยวออกมาทางซ้ายมือ ระยะทางไม่ไกลมาก จะเจอกับร้าน ๆ หนึ่ง ตัวร้านอยู่ขวามือ
ร้านนี้คือที่สุดของแจ้ ที่เราประสบพบเจอโดยบังเอิญ เพราะในระหว่างปั่น ๆ อยู่ สายตาอันว่องไวต่อภักษาหารก็เหลือบไปเห็นตู้ไอติม เลยว่าจะแวะกินแก้เหนื่อย แต่ไป ๆ มา ๆ กลับสั่งน้ำแตงโมปั่นแทน
สิ่งที่ร้านนี้นำเสนอ คือ น้ำแตงโมปั่น ที่ใส่แตงโมแบบกระหน่ำ ไม่คิดชีวิต ตอนแรกที่เห็น นึกว่าเขาจะทำสองแก้วหรือเปล่า แต่ไม่ใช่ค่ะ ทำให้เราคนเดียว น้ำแตงโมปั่นแก้วนี้ ใส่จนล้นขึ้นมาจนเต็มฝาครอบที่มันนูน ๆ อ่ะค่ะ ไม่ค่อยเคยพบเคยเจอนะ
แต่ที่มึนงงยิ่งกว่าเดิม คือ ราคา ตอนแรกเราเห็นปริมาณ ก็กะเอาไว้ในใจว่า น่าจะสักแก้วละ 40 บาท แต่ผิดไปไกลค่ะ เพราะมันแค่ 25 บาท เท่านั้น
เห็นคนอื่น รีวิวร้านกาแฟไปเยอะแล้ว เราขอแหวกมารีวิวร้านน้ำปั่นและไอติมแทนค่ะ ร้านนี้แนะนำเลยนะคะ ราคาไม่แพง รสชาติอร่อยแบบว่า ซื้อจากซอย 33 แล้วปั่นไปกินที่ซอย 1 ยังอร่อยอยู่เลยอ่ะ ไม่รู้จะพูดยังไง ไปลองเอาเองนะจ๊ะ
ปั่นออกจากซอยเพชรหึงษ์ 33 ไปเข้าซอย 26 แล้วปั่น ๆ ๆ ไปอีกเรื่อย ๆ จะเจอวัดบางน้ำผึ้งในอยู่ทางซ้าย อันนี้คือทางเข้าด้านหน้าวัดค่ะ (เราหยุดถ่ายรูปและเอาแก้วน้ำแตงโมปั่นไปทิ้งถังขยะ คือแบบปริมาณเยอะมาก ไม่สามารถกินหมดในซอยเดียวได้จริง ๆ)
เลยวัดบางน้ำผึ้งในไปนิดหน่อย จะเจอสะพานสูง ก็ให้เลี้ยวขวาลงคลองก่อนขึ้นสะพาน เอ้ย ลงข้างคลองไปเลยค่ะ ทางลงเล็กนะคะ ดูให้ดีเดี๋ยวจะเลย
เจอแล้ววววว ทางปั่นสายมรกต
ถ้าอากาศหนาวหน่อยนะ มันจะโรแมนติกมากทีเดียวเชียว
ตอนนี้คงเป็นฤดูใบไม้ร่วงสินะ
ปั่นมาเรื่อย ๆ ด้วยระยะทางก็ไกลประมาณนึง แต่ธรรมชาติรอบตัวมันทำให้เราไม่รู้สึกเลยว่าไกล ว่าเหนื่อย
จนกระทั่งมาถึงสุดทาง จะเจอป้ายนี้ค่ะ
มันคือทางแยกที่ต้องเลือก ระหว่างซ้าย-ขวา หรือไม่ก็พุ่งหลาวลงแม่น้ำไปโลด ซึ่งแน่นอน เราเลือกซ้ายค่ะ
วิวฝั่งตรงข้าม ซูมไป ซูมไป
ปั่นไปเจอเป้าหมายบอกทางของเราแล้วค่ะ เพราะสถานที่ต่อไปคือ Bangkok Tree House
ปั่นไปเรื่อย ๆ ตามทาง โดยพยายามยึดฝั่งรั้วเป็นสรณะ พอถึงทางเลี้ยวที ก็เอาขาดัน ๆ ที ไม่กล้าเลี้ยวโดยไม่เอาขาแตะพื้น เพราะกลัวจะร่วงลงไปทั้งรถทั้งคน
ต้นจากพวกนี้คือสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์ของธรรมชาติ หวังว่ามันจะคงอยู่ไปนานเท่านานนะ
และแล้วก็มาถึงค่ะ Bangkok Tree House
เราเคยคิดนะว่า คนที่บอกว่าจุดหมายไม่สำคัญ แต่ระหว่างทางที่จะไปถึงจุดหมายนั้นสำคัญกว่า ซึ่งแบบว่า โลกสวยไปมะ ทำไมจุดหมายจะไม่สำคัญล่ะ ไม่งั้นจะมีจุดหมายไว้ทำไม
แต่วันนี้คือ เข้าใจละ กับคำพูดสวยเก๋คำนี้ เพราะจุดหมายของเราคือสถานที่ด้านบน ซึ่งพอไปถึงเราก็กลัว ๆ กล้า ๆ ที่จะเข้าไปถ่ายรูปเพื่ออวดคนว่า ชั้นได้มาที่นี่แล้วนะ ดูสิ มีรูปด้วยอ่ะ ระหว่างถ่ายรูปไป ก็กลัวไปว่าเขาจะมาไล่เราปะวะ เขาให้ถ่ายรูปไหม เดินไปที่ท่าน้ำได้ไหม ก็รีบ ๆ ถ่าย แล้วทำเหมือนไม่ได้ถ่าย 555555 (ตลกตัวเองเหมือนกัน)
แต่ระหว่างทางนี่สิ มันสวยตื่นตาตื่นใจไปหมด และเรารู้สึกว่า เห้ย เราก็เป็นเจ้าของธรรมชาติพวกนี้อยู่เหมือนกันนะ เราหยุดถ่ายรูปตลอดทาง ขี่ไป จอดไป ประกอบกับไม่มีคนอื่นให้เห็นเลย เพราะเราไปวันพฤหัส มันเลยเหมือนว่าสถานที่นี้เป็นของเราคนเดียว จะทำอะไรก็ได้ จะนอนกลิ้งบนใบไม้ที่ร่วงลงมา จะจอดเปลี่ยนล้อจักรยานยังได้เลยอ่ะ คือมันฟินสุด ๆ อากาศก็สดชื่น ก็สูดหายใจเข้าไปลึก ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้วคนเราน่าจะมีระบบกักเก็บอากาศบริสุทธิ์นะ เหมือนลิงที่เก็บอาหารไว้ในแก้มไง
วันนี้เราเลยเข้าใจคำคมเก๋ ๆ ด้านบนแล้ว แจ่มแจ้งเลยจ้าาาา
เสร็จแล้วเราก็ปั่นกลับวัดบางน้ำผึ้งในเพื่อเอาจักรยานไปคืน ก็ได้เก็บภาพบรรยากาศตลาดน้ำในวันธรรมดามาให้ชมกัน
เงียบสงบดี ทำความเร็วระดับ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้สบาย ๆ ค่ะ
ถ่ายรูปวัดสักหน่อย ก่อนเดินทางกลับ
ลาไปด้วยภาพนี้นะคะ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาชมค่ะ
[CR] หนึ่งวันกับบางกะเจ้า
เราขี่มอเตอร์ไซต์จากบ้าน ไปจอดในวัดบางน้ำผึ้งใน จอดติดกับกำแพงร้านเช่าจักรยานเลยค่ะ สรุปก็เลยได้จักรยานเช่ามา โดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้ขอบัตรประชาชนเอาไว้เลยสักนิด (หุ หุ ก็รถเราจอดอยู่ข้างร้านเขาขนาดนั้นอ่ะนะ) แต่เจ้าหน้าที่ก็อัธยาศัยดีมากค่ะ ให้ข้อมูลเส้นทางเป็นอย่างดี
เล็งเอาไว้จากบ้านเลยและจากการอ่านรีวิวลายแทงของเพื่อน ๆ ในพันทิพย์ ซึ่งสรุปได้ว่า จะไปเช่าจักรยานในวัดบางน้ำผึ้งในค่ะ
เรทที่ได้ ถูกกว่าที่ทราบมาด้วยนะ ทั้งวัน 80 บาท แต่ที่อื่น ๆ มักจะคิด 100 บาทค่ะ (แต่แอบคิดว่า หรือเราไปวันธรรมดาหรือเปล่าเลยได้ส่วนลด อันนี้ไม่ได้ถามเจ้าหน้าที่เขาเสียด้วย เดาเอาล้วน ๆ นะคะ แต่ต่อให้ 100 บาท เราก็โอเค เพราะสิ่งที่ได้ มันเกินร้อยทั้งนั้นเลย)
First Stop
ปั่นมั่ว ๆ ประมาณครึ่งชั่วโมงค่ะ (เป็นการมั่วที่กินเวลานานอยู่ ><)
ถึงแล้วค่ะ "สวนสาธารณะและสวนพฤกษศาสตร์ ศรีนครเขื่อนขันธ์"
วันที่ไปนั้น ฟ้าครึ้ม ไม่มีแดดเลย ซึ่งเป็นข้อดีอย่างยิ่ง ก็คือ ไม่ร้อน (เราเริ่มปั่นตอนเที่ยงตรงเป๊ะ แต่แบบว่า หาแดดไม่เจอค่ะ) ส่วนข้อเสียก็คือ ฟ้าก็เป็นแบบที่เห็นนี่ล่ะ ขาว ๆ ซีด ๆ ตามสภาพอากาศ
ข้ามสะพานเข้าสู่ตัวสวน
คือจักรยาน ขี่เอง ไม่มีใครมาลากไป ทางเดินของใครของมัน
คือจักรยานสีแดงงงงงงงงง (และถังขยะสีเขียว) ><
ตะลึงพรึงเพริดกับทางเดินยาวกลางน้ำ ประหนึ่งว่าไปอุทยานแห่งชาติที่ไหนสักแห่ง แต่ไม่ใช่เลย มันคือบางกะเจ้า
อัศจรรย์ใจไปทุกทิศทาง
มีจุดจอดจักรยาน อย่างดี
ตลอดทาง จะมีจุดศึกษาธรรมชาติ ส่วนอันนี้ คือต้นจากและลูกของมันค่ะ
ธรรมชาติสวยงามในตัวของมันเอง
มีจุดบอกตำแหน่งด้วย
และแล้วก็มาถึง หอคอย อันลือเลื่อง
มีหรือจะพลาด
และนี่ก็ไม่พลาด กับมุมมหาชน
จุ๊ ๆ เบา ๆ ค่ะ สองต้นนี้เขาจีบกันอยู่ ^^
นอกจากทางลาดอย่างดีแล้ว ที่นี่ยังมีทางหินขรุขระไว้ให้ด้วย แต่เลือกได้นะ จะไม่ปั่นทางนี้ก็ได้ แต่เราลองปั่นดู ระยะทางก็ยาวประมาณนึง ไม่ถึงกับโหดร้ายค่ะ
เราปั่นไปทั่ว บางทีเห็นทางแปลก ๆ ก็เลยลองปั่นเข้าไปดู แต่ก็ต้องถอยออกมา เพราะเจอสิ่งนี้
นอกจากต้นไม้ ก็ยังมีตึกด้วย
ปั่นอยู่ในสวนฯ จนเกือบบ่ายสอง ก็ครบรอบ และเลี้ยวออกมาทางซ้ายมือ ระยะทางไม่ไกลมาก จะเจอกับร้าน ๆ หนึ่ง ตัวร้านอยู่ขวามือ
ร้านนี้คือที่สุดของแจ้ ที่เราประสบพบเจอโดยบังเอิญ เพราะในระหว่างปั่น ๆ อยู่ สายตาอันว่องไวต่อภักษาหารก็เหลือบไปเห็นตู้ไอติม เลยว่าจะแวะกินแก้เหนื่อย แต่ไป ๆ มา ๆ กลับสั่งน้ำแตงโมปั่นแทน
สิ่งที่ร้านนี้นำเสนอ คือ น้ำแตงโมปั่น ที่ใส่แตงโมแบบกระหน่ำ ไม่คิดชีวิต ตอนแรกที่เห็น นึกว่าเขาจะทำสองแก้วหรือเปล่า แต่ไม่ใช่ค่ะ ทำให้เราคนเดียว น้ำแตงโมปั่นแก้วนี้ ใส่จนล้นขึ้นมาจนเต็มฝาครอบที่มันนูน ๆ อ่ะค่ะ ไม่ค่อยเคยพบเคยเจอนะ
แต่ที่มึนงงยิ่งกว่าเดิม คือ ราคา ตอนแรกเราเห็นปริมาณ ก็กะเอาไว้ในใจว่า น่าจะสักแก้วละ 40 บาท แต่ผิดไปไกลค่ะ เพราะมันแค่ 25 บาท เท่านั้น
เห็นคนอื่น รีวิวร้านกาแฟไปเยอะแล้ว เราขอแหวกมารีวิวร้านน้ำปั่นและไอติมแทนค่ะ ร้านนี้แนะนำเลยนะคะ ราคาไม่แพง รสชาติอร่อยแบบว่า ซื้อจากซอย 33 แล้วปั่นไปกินที่ซอย 1 ยังอร่อยอยู่เลยอ่ะ ไม่รู้จะพูดยังไง ไปลองเอาเองนะจ๊ะ
ปั่นออกจากซอยเพชรหึงษ์ 33 ไปเข้าซอย 26 แล้วปั่น ๆ ๆ ไปอีกเรื่อย ๆ จะเจอวัดบางน้ำผึ้งในอยู่ทางซ้าย อันนี้คือทางเข้าด้านหน้าวัดค่ะ (เราหยุดถ่ายรูปและเอาแก้วน้ำแตงโมปั่นไปทิ้งถังขยะ คือแบบปริมาณเยอะมาก ไม่สามารถกินหมดในซอยเดียวได้จริง ๆ)
เลยวัดบางน้ำผึ้งในไปนิดหน่อย จะเจอสะพานสูง ก็ให้เลี้ยวขวาลงคลองก่อนขึ้นสะพาน เอ้ย ลงข้างคลองไปเลยค่ะ ทางลงเล็กนะคะ ดูให้ดีเดี๋ยวจะเลย
เจอแล้ววววว ทางปั่นสายมรกต
ถ้าอากาศหนาวหน่อยนะ มันจะโรแมนติกมากทีเดียวเชียว
ตอนนี้คงเป็นฤดูใบไม้ร่วงสินะ
ปั่นมาเรื่อย ๆ ด้วยระยะทางก็ไกลประมาณนึง แต่ธรรมชาติรอบตัวมันทำให้เราไม่รู้สึกเลยว่าไกล ว่าเหนื่อย
จนกระทั่งมาถึงสุดทาง จะเจอป้ายนี้ค่ะ
มันคือทางแยกที่ต้องเลือก ระหว่างซ้าย-ขวา หรือไม่ก็พุ่งหลาวลงแม่น้ำไปโลด ซึ่งแน่นอน เราเลือกซ้ายค่ะ
วิวฝั่งตรงข้าม ซูมไป ซูมไป
ปั่นไปเจอเป้าหมายบอกทางของเราแล้วค่ะ เพราะสถานที่ต่อไปคือ Bangkok Tree House
ปั่นไปเรื่อย ๆ ตามทาง โดยพยายามยึดฝั่งรั้วเป็นสรณะ พอถึงทางเลี้ยวที ก็เอาขาดัน ๆ ที ไม่กล้าเลี้ยวโดยไม่เอาขาแตะพื้น เพราะกลัวจะร่วงลงไปทั้งรถทั้งคน
ต้นจากพวกนี้คือสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์ของธรรมชาติ หวังว่ามันจะคงอยู่ไปนานเท่านานนะ
และแล้วก็มาถึงค่ะ Bangkok Tree House
เราเคยคิดนะว่า คนที่บอกว่าจุดหมายไม่สำคัญ แต่ระหว่างทางที่จะไปถึงจุดหมายนั้นสำคัญกว่า ซึ่งแบบว่า โลกสวยไปมะ ทำไมจุดหมายจะไม่สำคัญล่ะ ไม่งั้นจะมีจุดหมายไว้ทำไม
แต่วันนี้คือ เข้าใจละ กับคำพูดสวยเก๋คำนี้ เพราะจุดหมายของเราคือสถานที่ด้านบน ซึ่งพอไปถึงเราก็กลัว ๆ กล้า ๆ ที่จะเข้าไปถ่ายรูปเพื่ออวดคนว่า ชั้นได้มาที่นี่แล้วนะ ดูสิ มีรูปด้วยอ่ะ ระหว่างถ่ายรูปไป ก็กลัวไปว่าเขาจะมาไล่เราปะวะ เขาให้ถ่ายรูปไหม เดินไปที่ท่าน้ำได้ไหม ก็รีบ ๆ ถ่าย แล้วทำเหมือนไม่ได้ถ่าย 555555 (ตลกตัวเองเหมือนกัน)
แต่ระหว่างทางนี่สิ มันสวยตื่นตาตื่นใจไปหมด และเรารู้สึกว่า เห้ย เราก็เป็นเจ้าของธรรมชาติพวกนี้อยู่เหมือนกันนะ เราหยุดถ่ายรูปตลอดทาง ขี่ไป จอดไป ประกอบกับไม่มีคนอื่นให้เห็นเลย เพราะเราไปวันพฤหัส มันเลยเหมือนว่าสถานที่นี้เป็นของเราคนเดียว จะทำอะไรก็ได้ จะนอนกลิ้งบนใบไม้ที่ร่วงลงมา จะจอดเปลี่ยนล้อจักรยานยังได้เลยอ่ะ คือมันฟินสุด ๆ อากาศก็สดชื่น ก็สูดหายใจเข้าไปลึก ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้วคนเราน่าจะมีระบบกักเก็บอากาศบริสุทธิ์นะ เหมือนลิงที่เก็บอาหารไว้ในแก้มไง
วันนี้เราเลยเข้าใจคำคมเก๋ ๆ ด้านบนแล้ว แจ่มแจ้งเลยจ้าาาา
เสร็จแล้วเราก็ปั่นกลับวัดบางน้ำผึ้งในเพื่อเอาจักรยานไปคืน ก็ได้เก็บภาพบรรยากาศตลาดน้ำในวันธรรมดามาให้ชมกัน
เงียบสงบดี ทำความเร็วระดับ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้สบาย ๆ ค่ะ
ถ่ายรูปวัดสักหน่อย ก่อนเดินทางกลับ
ลาไปด้วยภาพนี้นะคะ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาชมค่ะ