แชร์เรื่องราวของหายระหว่างทริปท่องเที่ยวกันค่ะ

เพื่อนๆ เคยไปเที่ยวที่ไหนแล้วทำของหายกันบ้างคะ แล้วได้คืนไหม จขกท.มีประสบการณ์ 2 ครั้ง จาก 2 เมืองฮิปสเตอร์ยอดฮิตคือวังเวียงและปีนังค่ะ

เรื่องแรก : มิถุนายน 2013 จขกท.รวมเพือน 5 คน ไปเที่ยวหลวงพระบาง-วังเวียง-เวียงจันทน์กันค่ะ  ก็สนุกสนานกันตามประสา พอวันที่ 3 ของทริป นั่งรถจากหลวงพระบางมาถึงวังเวียง ช่วงเย็นๆ ก็ไปเที่ยวถ้ำจัง ก็เดินถ่ายรูปกันไป จำได้ว่ามีเก้าอี้ม้าหิน กลุ่มเราก็ไปนั่งพักเหนื่อยกัน แล้วเดินเข้าไปดูน้ำตกข้างใน จะถ่ายรูปถึงได้รู้ว่ากล้องไม่มี เดินกลับมาที่ม้าหินก็ไม่เห็นแล้ว มาย้อนดูรูปในกล้องอื่นๆ ก็เห็นว่ากล้องวางไว้ที่โต๊ะม้าหินนั่นจริงๆ ถามวัยรุ่นที่เล่นน้ำอยู่แถวนั้นก็บอกไม่เห็น เดินหาๆ ถามๆ ก็ไม่มีใครเจอ เห้อ!!! ทำใจ เดินเป็นหมาหงอยกลับมา แล้วยังเหลือทริปอีกตั้ง 2 วัน ที่เสียดายที่สุดคือรูปภาพสวยๆ จากทั้งสองวันที่หลวงพระบางอยู้ในนั้นหมดเลย เจ็บแสบกว่าคือยังต้องกลับมาผ่อนอีก 2 เดือน ร้องไห้ร้องไห้ร้องไห้   จำได้ว่าเป็นกล้องที่มี wifi รุ่นแรกๆ ที่โพสต์ภาพขึ้น Social Media จากตัวกล้องได้เลย   (ขอบคุณภาพจาก google ค่ะ)



เรื่องที่สอง : 8-11 สิงหาคม 2015  จกขท.กับเพื่อนรวม 4 คน ไปเที่ยวมาเลเซียกัน ก็อยู่กัวลาลัมเปอร์ 2 วัน วันที่ 3 บินมาปีนังก็ปกติดี จนวันที่ 4 เที่ยวจนเหนื่อย จะกลับบ้านอยู่แล้วเชียว มาพักกิน KFC ตรงแถวๆ Komtar กินเสร็จเดินมารอรถ 401E ไปสนามบิน นั่งไปได้สัก 15 นาที เพื่อนถามว่า "เห็นโทรศัพท์ไหม" (ไอโฟน 4S) ก็หาๆๆๆ กันทุกคนทุกกระเป๋า ไม่เจอ จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นคือที่ KFC  เลยตกลงกันว่าเรากับเจ้าของโทรศัพท์จะกลับไปหาโทรศัพท์ที่ KFC อีก 2 คนจะเอากระเป๋าไปรอสนามบินก่อน เราไปบอกคนขับให้จอดรถให้เรา ในที่ที่สามารถข้ามถนนไปขึ้นรถเพื่อกลับ Komtar ได้  จำได้ว่าตรงนั้นเป็นถนนแถบชายทะเลแล้ว พอลงรถข้ามถนนมารอรถอยู่สักพัก ไม่มีรถเมล์ ไม่มีแท็กซี่ เลยเดินย้อนกลับมาหน่อย สักพักนังเพื่อนบอก "เมิงวิ่ง!!!"

เราวิ่งตามเพื่อนมา เพิ่งเห็นว่าเพื่อนโบกรถตำรวจ 5555 นางใจกล้ามาก   (รถตำรวจบ้านเค้าเป็นรถเก๋งสีขาวตัดดำ ตอนมันบอกให้วิ่ง เราก็ยังงงอยู่ว่าให้วิ่งตามอะไร มโนว่ารถตำรวจบ้านเค้าจะสีเหมือนบ้านเรา)   เราเล่าเรื่องโทรศัพท์หายให้ตำรวจฟัง บอกว่าเราต้องการจะไป Komtar แต่เราไม่เจอรถเลย และเราต้องรีบไปและกลับให้ทันเพราะเราต้องกลับวันนี้ คุณตำรวจน่ารักมาก ทั้งสองให้เราขึ้นรถบอกว่าจะพาไปส่งที่ที่สามารถต่อรถไปได้ เราสองคนก็เลยขึ้นรถไป คุยกันไป นั่งประมาณ 5 นาที คุณตำรวจก็จอดที่ป้ายรถเมล์

คุณตำรวจลงรถ ถนนตรงนั้นเป็นถนนใหญ่ 4 หรือ 5 เลน เราไม่แน่ใจ คุณตำรวจเดินไปเกือบกลางถนน โบกรถเมล์คันที่เห็นมาไกลๆ รถคันนั้นขับเกือบจะเลนขวาสุด (เหมือนไม่ได้ขับรับคน เพราะรถว่างและใช้ความเร็ว)  คนขับจอดรถอย่างงงๆ คุณตำรวจเดินไปพูดกับคนขับให้ และบอกให้เราขึ้นรถ เราสองคนไหว้ขอบคุณคุณตำรวจเป็นภาษาไทย และขึ้นรถไป รถเมล์พาเราไปส่งหลัง Komtar เหมือนเขาไม่ได้มาทางนี้แต่เขามาเพื่อส่งเรา ระหว่างทางก็คุยกันมาและไหว้ขอบคุณพี่เค้า ลงรถวิ่งไป KFC ถามพนักงานบอกไม่เห็น เดินตามรอยมาขึ้นรถไม่เจอ วนอยู่สักพัก เพื่อนเราถอดใจ นางดูนาฬิกาแล้วบอกไปกันเถอะ เด่วไม่ทันขึ้นเครื่อง

เรารู้ว่านั่งรถเมล์ค่ารถ 2.7 ริงกิต ประมาณ 27 บาท ใช้เวลา 1ชม. แต่ตัดสินใจนั่งแท็กซี่เพราะรีบแล้ว บอกคนขับให้รีบ ลุงแกก็ Ok. I fast driver for you แต่คุณลุงแก Fast ด้วย 60 km/hr.  หัวเราะFacepalm  แต่ก็เร็วกว่านั่งรถเมล์ล่ะวะ ถึงสนามบินทันเวลา โดนไป 40 กว่าริงกิต ถือว่าซื้อเวลากันไป และเหมือนเดิม เพื่อนบอกว่าโทรศัพท์ไม่เสียดายเท่ารูปถ่ายในนั้น (ดราม่าอีกแล้ว)

เราจะไปเที่ยวต่างประเทศกันปีละครั้งกับแก๊งนี้ ก็คุยกันว่า เราโดนแล้ว เพื่อนอีกคนโดนแล้ว ปีหน้าวางแพลนว่าไม่เวียดนามก็สิงคโปร์ ให้คิดไว้เลยว่าใครจะไปทิ้งความทรงจำไว้ที่ไหนอีก 55555  คุยกันกลายเป็นเรื่องโจ๊กตลกขำๆไปแล้วว่าสงสัยคงต้องไปซ่อม เขาคงอยากให้เรากลับมาอีก มาตามรอยรูปถ่ายที่หายไปกับกล้องหรือโทรศัพท์ อิอิ  ใครมีประสบการณ์ลักษณะนี้มาแชร์กันบ้างนะคะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่