คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
อ่านแล้ว ผมว่าหลายคนเข้าใจผิดนะครับเนี่ย
แฟริ่ง จริงๆแล้ว วัตถุประสงค์แท้จริงเพื่อช่วยเรื่อง aero dynamics ให้รถแหวกอากาศได้ดีขึ้น ไม่ต้านลม ทำความเร็วได้สูงขึ้น พวกรถสปอร์ตแท้ๆถึงหุ้ม fairing ทั้งคันไงครับ เรียกว่า full fairing รถพวกนี้ ทดสอบในอุโมงค์ลมเลยทีเดียว
แต่แฟริ่งในรถพวก naked ชิ้นเล็กๆน้อยๆ ถ้าไม่ติดไว้เพื่อความสวยงาม ปิดบังสายไฟ ก็แค่ช่วยบังคับให้ลมพัดไปทิศทางที่ต้องการเช่น ให้เข้าหม้อน้ำ ออยคูล ไม่ได้ช่วยแหวกอากาศเท่าไหร่
หรืออย่างรถแนว touring หรือสกูตเตอร์ แฟริ่งยังออกแบบมาเพื่อกันลมประทะคนขับ ให้ขี่สบายขึ้น เรื่องแหวกอากาศให้ทำความเร็วสูงๆ อาจไม่สำคัญเท่าความสบายของคนขี่ ก็แล้วแต่วัตถุประสงค์ของรถประเภทนั้น
ทีนี้ที่พวกแวนซ์มันถอดออกเหลือแต่โครง ไม่ใช่ให้ช่วยเรื่องแหวกลม คนละเรื่องเลย ที่ถอดออกเพราะต้องการลดน้ำหนักรถให้มากที่สุด เพราะพวกนี้เน้นอัตราเร่งตีนต้น วิ่งเกินร้อยลมตีนานๆ ก็ไม่ไหว ทำความเร็ว แป้ปๆ ไม่ได้กะแช่ความเร็วสูงนาน หลักการเดียวกับพวกแต่งรถคาเฟ่ ที่หั่นเฟรม ถอดแฟริ่ง ลดน้ำหนักให้มากที่สุด
ช่องที่เจาะตามแฟริ่ง เค้าก็ออกแบบมาเพื่อให้ลมมัน flow ผ่านแฟริ่งได้ ไม่เป็นกระแสวนติดขัดในจุดต่างๆ แล้วก็ช่วยเรื่องระบายความร้อนด้วย
ไม่งี้นแทนที่แฟริ่งจะช่วยแหวกลม อาจกลายเป็นต้านลมแทน
พวกรถ naked ที่ออกแบบมาขี่ในเมือง เลยไม่จำเป็นต้องมีแฟริ่งคลุม ส่วนใหญ่ในเมืองวิ่งไม่เกินร้อย แล้วยังดูแลง่ายกว่า ไม่ต้องรื้อแฟริ่งเวลาบำรุงรักษา นอกจากนี้จะได้โชว์เครื่องสวยๆด้วย ไม่มีแฟริ่ง ก็ช่วยให้ระบาย ความร้อนไม่สะสมด้วยครับ
แต่ถ้าเป็นรถที่ใช้ความเร็วสูง แฟริ่งจำเป็นมากครับ ลองไปดูพวกที่แข่งจับเวลาทำสถิติที่ bonneville วิ่งกัน 300 km/h ขึ้น ต้องหุ้มแฟริ่งคลุมทั้งคันทั้งนั้น ไม่งั้นขึ้นสองร้อยก็ไม่ไหวแล้ว สั่นสะท้านแทบจะปลิวจากรถ
ขี่แช่เกิน 120 ขึ้นไป รถมีแฟริ่งขี่สบายกว่าชัดเจน แหวกอากาศได้ดีกว่า ช่วยในเรื่องอัตราเร่งตีนปลายด้วยครับ แลกกับน้ำหนักรถที่มากขึ้น ส่วนเรื่องแฟริ่งสวยไม่สวย ก็แล้วแต่คน ส่วนตัวผมไม่ชอบรถที่แฟนิ่งเยอะ เพราะขี้เกียจต้องมารื้อออกทุกครั้ง เวลาบำรุงรักษา เช็คหัวเทียน เช็ควาล์ว


แฟริ่ง จริงๆแล้ว วัตถุประสงค์แท้จริงเพื่อช่วยเรื่อง aero dynamics ให้รถแหวกอากาศได้ดีขึ้น ไม่ต้านลม ทำความเร็วได้สูงขึ้น พวกรถสปอร์ตแท้ๆถึงหุ้ม fairing ทั้งคันไงครับ เรียกว่า full fairing รถพวกนี้ ทดสอบในอุโมงค์ลมเลยทีเดียว
แต่แฟริ่งในรถพวก naked ชิ้นเล็กๆน้อยๆ ถ้าไม่ติดไว้เพื่อความสวยงาม ปิดบังสายไฟ ก็แค่ช่วยบังคับให้ลมพัดไปทิศทางที่ต้องการเช่น ให้เข้าหม้อน้ำ ออยคูล ไม่ได้ช่วยแหวกอากาศเท่าไหร่
หรืออย่างรถแนว touring หรือสกูตเตอร์ แฟริ่งยังออกแบบมาเพื่อกันลมประทะคนขับ ให้ขี่สบายขึ้น เรื่องแหวกอากาศให้ทำความเร็วสูงๆ อาจไม่สำคัญเท่าความสบายของคนขี่ ก็แล้วแต่วัตถุประสงค์ของรถประเภทนั้น
ทีนี้ที่พวกแวนซ์มันถอดออกเหลือแต่โครง ไม่ใช่ให้ช่วยเรื่องแหวกลม คนละเรื่องเลย ที่ถอดออกเพราะต้องการลดน้ำหนักรถให้มากที่สุด เพราะพวกนี้เน้นอัตราเร่งตีนต้น วิ่งเกินร้อยลมตีนานๆ ก็ไม่ไหว ทำความเร็ว แป้ปๆ ไม่ได้กะแช่ความเร็วสูงนาน หลักการเดียวกับพวกแต่งรถคาเฟ่ ที่หั่นเฟรม ถอดแฟริ่ง ลดน้ำหนักให้มากที่สุด
ช่องที่เจาะตามแฟริ่ง เค้าก็ออกแบบมาเพื่อให้ลมมัน flow ผ่านแฟริ่งได้ ไม่เป็นกระแสวนติดขัดในจุดต่างๆ แล้วก็ช่วยเรื่องระบายความร้อนด้วย
ไม่งี้นแทนที่แฟริ่งจะช่วยแหวกลม อาจกลายเป็นต้านลมแทน
พวกรถ naked ที่ออกแบบมาขี่ในเมือง เลยไม่จำเป็นต้องมีแฟริ่งคลุม ส่วนใหญ่ในเมืองวิ่งไม่เกินร้อย แล้วยังดูแลง่ายกว่า ไม่ต้องรื้อแฟริ่งเวลาบำรุงรักษา นอกจากนี้จะได้โชว์เครื่องสวยๆด้วย ไม่มีแฟริ่ง ก็ช่วยให้ระบาย ความร้อนไม่สะสมด้วยครับ
แต่ถ้าเป็นรถที่ใช้ความเร็วสูง แฟริ่งจำเป็นมากครับ ลองไปดูพวกที่แข่งจับเวลาทำสถิติที่ bonneville วิ่งกัน 300 km/h ขึ้น ต้องหุ้มแฟริ่งคลุมทั้งคันทั้งนั้น ไม่งั้นขึ้นสองร้อยก็ไม่ไหวแล้ว สั่นสะท้านแทบจะปลิวจากรถ
ขี่แช่เกิน 120 ขึ้นไป รถมีแฟริ่งขี่สบายกว่าชัดเจน แหวกอากาศได้ดีกว่า ช่วยในเรื่องอัตราเร่งตีนปลายด้วยครับ แลกกับน้ำหนักรถที่มากขึ้น ส่วนเรื่องแฟริ่งสวยไม่สวย ก็แล้วแต่คน ส่วนตัวผมไม่ชอบรถที่แฟนิ่งเยอะ เพราะขี้เกียจต้องมารื้อออกทุกครั้ง เวลาบำรุงรักษา เช็คหัวเทียน เช็ควาล์ว


แสดงความคิดเห็น
มอเตอร์ไซค์มีแฟริ่งกับไม่มีส่งผลต่อการขี่ยังไงครับ
ปล.แล้วอย่าง Versys, V-Strom, F800GS นี่ถือว่ามีแฟริ่งหรือไม่มีครับ