ผู้คนทั้งชาวมลายู ไทย และจีน ใน 3 จว. ชายแดนใต้ ต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความตรึงเครียดจากความขัดแย้งและความรุนแรงมานานนับสิบกว่าปี สายบุรีลุคเกอร์ และแว้งที่รัก คือกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองว่าสันติภาพ ต้องเริ่มที่ความรู้สึกและความสัมพันธ์ของคนในชุมชน
ด่านตรวจของทหาร คือสิ่งที่แสดงถึงความไม่ปกติของพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่มันคือส่วนหนึ่งของชีวิตที่เป็นปกติ หรือพยายามทำให้เป็นปกติของคนที่นี่
แผงกั้นวางบนถนน บีบให้รถขับได้แค่เลนเดียว และต้องเบี่ยงไปมาเพื่อหลบแผงกั้น ป้ายใหญ่เขียนไว้ชัดเจนถึงหลักปฏิบัติเมื่อผ่านด่านตรวจ: เปิดไฟในรถ และ ลดกระจกลง ทั้งนี้เพื่อให้เจ้าหน้าที่มองเห็นคนในรถอย่างชัดเจน หากคุณเป็นคนหน้าตาผิวพรรณดูเป็นคนไทย หรือ คนเชื้อสายจีน ทหารจะกวักมือให้คุณผ่านด่านตรวจไปอย่างรวดเร็ว แต่หากคุณเป็นคนมลายูมุสลิม คุณจะต้องหยุดตอบคำถามของเจ้าหน้าที่ เช่น เป็นใคร มาจากไหน จะไปไหน และไปทำอะไร ทั้งนี้เพื่อจับพิรุธว่า เป็น “โจรใต้” หรือไม่
แผงกั้นวางบนถนน บีบให้รถขับได้แค่เลนเดียว เพื่อให้ชะลอผ่านเจ้าหน้าที่ ภาพโดย มูฮำหมัด ดือราแม
ชาวมลายูในสามจังหวัดเป็นคนมีอารมณ์ขันไม่น้อย ไม่เว้นแม้ตอนผ่านด่าน เช่น เพื่อนผู้เขียนคนหนึ่งเล่าว่า เมื่อขับรถผ่านด่านตอนกลางคืนและเพื่อนของเขาหลับอยู่ที่นั่งข้างคนขับ ทหารถามคนขับว่า มากี่คน คนขับตอนว่า มาคนเดียว เขาเล่าว่า พอได้ยินคำตอบ ทหารทำหน้าเหวอ มองไปมา และรีบโบกให้รถผ่านไป
หรืออีกมุขหนึ่ง
ทหาร : ไปไหนคับ
คนขับมลายู : ไปแตแฮบองครับ (พร้อมทำหน้าขึงขังราวกับไปสถานที่นั้นทุกวัน)
ทหาร : อ้อ ครับ เชิญคับ
ซึ่งในภาษามลายู แตแฮ แปลว่า วาง : บอง แปลว่าระเบิด หรืออีกมุขหนึ่ง
ทหาร: ไปไหน
คนขับรถมลายู: ไปบากากอลอฮครับ (พร้อมทำหน้าขึงขังราวกับไปสถานที่นั้นทุกวัน)
ทหาร: ครับๆ เชิญครับ
ในภาษามลายู บากา แปลว่าเผา ส่วน กอลอฮ แปลว่า โรงเรียน รวมกันก็คือ ไปเผาโรงเรียน
เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบรถทุกคัน และพิจารณาว่า มีพิรุธหรือไม่ ถ้าเป็นคนมลายู โดยเฉพาะคนหนุ่ม จะถูกตรวจละเอียดกว่าคนชาติพันธุ์อื่นๆ ภาพโดย มูฮำหมัด ดือราแม
การล้อเล่นกับเจ้าหน้าที่ช่วยคลายความตรึงเครียด และทำให้ลืมเลือนไปชั่วคราวว่า ด่านตรวจแสดงถึงความไม่สงบ ความรุนแรง และความแตกแยกที่ฝังลึกในพื้นที่มาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว และยังมีการถูกเหมารวมว่า ชาวมลายูคือ “โจรใต้” ที่จะไปวางระเบิด หรือไปเผาโรงรียน ซึ่งคนที่นี่ต้องอยู่อย่างชาชินกับมัน
การเหมารวมและเลือกปฏิบัติตามชาติพันธุ์เป็นส่วนสำคัญของปัญหาที่ฝังลึกในสามจังหวัด แม้นโยบายห้ามเรียนและพูดภาษาอื่นนอกจากภาษาไทยในยุคจอมพล ป. พิบูลย์สงครามถูกยกเลิกไปกว่า 70 ปีแล้ว และแม้ปัจจุบัน มีการส่งเสริมด้านภาษาและวัฒนธรรมมลายูโดยรัฐไทยมากขึ้น การเลือกปฏิบัติก็ยังมีอยู่อย่างชัดเจนในระดับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ที่เห็นได้ชัดคือ การเลือกตรวจค้นรถคนลายูที่ด่านตรวจ และการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอในกลุ่มคนมลายูอย่างไร้หลักเกณฑ์ เป็นต้น
ในขณะที่กระบวนการสันติภาพระหว่างแกนนำขบวนการปลดแอกเอกราชปาตานี และรัฐไทยกำลังเริ่มต้น ศัพท์แสงวิชาการยากๆ เกี่ยวกับกระบวนการสันติภาพถูกนำมาพูดเต็มไปหมด แต่การเลือกปฏิบัติและชีวิตที่ไม่ปกติ ที่ชาวบ้านทั้งชาวมลายูมุสลิม ชาวไทยเชื้อสายจีน และชาวไทยพุทธ ยังคงดำเนินต่อไป มีคนรุ่นใหม่ในพื้นที่สามจังหวัดที่มองว่า สันติภาพจะเกิดขึ้นได้ ต้องเริ่มจากชีวิตปกติสุข และความไว้วางใจระหว่างคนในชุมชนระดับรากหญ้า โดยใช้สิ่งใกล้ตัว คือเรื่องราวของบ้านเกิดเป็นเครื่องมือ
นักเฝ้ามองแห่งเมืองสาย: ผู้สานสัมพันธ์ของคนในพื้นที่สีแดง
อำเภอสายบุรี ปรากฎในข่าวล่าสุด เมื่อมีเหตุระเบิดที่ย่านชุมชนคนเชื้อสายจีนเมื่อวันที่ 25 ก.ค. 58 เป็นเหตุให้ทหารชุดคุ้มครองพระเสียชีวิตหนึ่งราย พระสงฆ์มรณภาพหนึ่งรูป พระสงฆ์บาดเจ็บสาหัสหนึ่งรูป ทหารบาดเจ็บสาหัสสองคน และชาวบ้านเจ็บหนักอีกสองคน ก่อนหน้านี้ในปี 2552 ก็มีเหตุระเบิดซึ่งทำร้ายทั้งชาวบ้านไทยพุทธ คนจีน และมุสลิม และเจ้าหน้าที่หลายครั้งในสายบุรี
เกิดเหตุระเบิดที่สายบุรีบ่อยครั้ง จนเซเว่นอีเลฟเว่นที่ สายบุรี ต้องทำบังเกอร์กันระเบิด
จากสถิติของศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ หรือ Deep South Watch อำเภอสายบุรีมีเหตุความไม่สงบมากเป็นอันดับหก จากทั้งหมด 37 อำเภอของสามจังหวัด และสี่อำเภอของจังหวัดสงขลา เหตุการณ์รุนแรงที่ต่อเนื่องทำให้เมืองสายบุรี ซึ่งอดีตเป็นหัวเมืองและเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่งในคาบสมุทรมลายูเปลี่ยนไป ชาวไทยเชื้อสายจีนที่เคยมีอยู่จำนวนมาก และเป็นผู้กุมเศรษฐกิจในพื้นที่ก็ย้ายออก คนจีนหลีกเลี่ยงไม่ไปพื้นที่คนมลายู คนมลายูก็หลีกเลี่ยงไม่เข้าไปเขตคนจีน กลายเป็นความสัมพันธ์ที่หวาดระแวงและเหินห่าง
“การเสนอภาพว่า คนมลายูคือ “โจรใต้” ซ้ำๆ ในข่าว กลายเป็นว่าคนที่นี่ก็เชื่อแบบนั้นไปด้วย เพราะพวกเราก็เสพสื่อกระแสหลักเหมือนกัน ผู้คนคุยกันน้อยลง และหันไปคุยกับทีวี กับอินเทอร์เน็ต แต่ถ้าหากนายสมศักดิ์ หันหน้ามาคุยกับนายมะแอ พวกเราก็จะเข้าใจกันมากขึ้น อคติต่อกันและกันน้อยลง” อานัส พงค์ประเสริฐ หนุ่มมลายูไฟแรงแห่งเมืองสายกล่าว
อานัส พงค์ประเสริฐ ณ ฐานที่มั่นของสายบุรีลุคเกอร์ ซึ่งคือบ้านของเขาเอง
นั่นเป็นที่มาของกลุ่มสายบุรีลุคเกอร์ (Saiburi Looker) ที่อานัสเป็นคนร่วมก่อตั้งในปี 2556 โจทย์ยากของกลุ่มคือ หลังจากที่ความสัมพันธ์ของคนในชุมชนถูกบั่นทอนมาเป็นเวลากว่าสิบปี จะทำอย่างไรให้มันกลับมาดีดังเดิม สายบุรีลุคเกอร์จึงหยิบสิ่งใกล้ตัวมาทำให้คนเปิดใจคุยกันอีกครั้ง
“เราเอานักศึกษาศิลปะมาวาดรูปตรงเมืองเก่า บ้านเก่าสไตล์บริติช มาลายา ด้วยความสงสัย เจ้าของบ้านที่เป็นคนจีนเขาก็เดินมาดู เปิดบ้านมาคุย เอาน้ำมาให้ดื่ม เกิดเป็นบทสนทนากันไปได้ยืดยาว ซึ่งไม่มีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นเลยหลายปีที่ผ่าน พอวาดเสร็จ เราก็เอาภาพนั้นไปจัดนิทรรศการ คนก็มาดูและมาพูดคุยกันอีก” อานัส ประธานสายบุรีลุคเกอร์ วัย 32 ปีกล่าว
ย่านชุมชนชาวจีน (ย่านเมืองเก่า) สายบุรี
กิจกรรมวาดรูปก็ปูทางไปสู่กิจกรรมอื่นๆ อย่างการลงพื้นที่เก็บข้อมูล เรื่องเล่าเกี่ยวกับตึกรามบ้านช่องเก่าๆ สไตล์บริติช มาลายา จากผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนนั้น และนำไปจัดนิทรรศการเรื่องประกอบภาพ และเอาลงเฟซบุ๊กเพจของกลุ่ม เกิดเป็นบทสนทนาไม่รู้จบของคนในพื้นที่
“เดี๋ยวนี้เราสามารถไปบ้านคนจีนได้ ไปจัดกิจกรรมในศาลเจ้าของคนจีนได้ เพราะคนจีนวางใจพวกเรา” อานัสกล่าว
นักศึกษาจาก มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา และ ม.อ. ปัตตานี มาวาดรูปตึกเก่าสไตล์บริติช มาลายา ภาพโดย TEAOOR
อานัสกล่าวว่า เขาเลือกโฟกัสที่คนจีน เพราะตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ไม่สงบ รัฐก็มุ่งให้ความช่วยเหลือคนมลายูเป็นหลัก คนจีนซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยอยู่แล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าถูกกดทับ เกิดความหวาดระแวง และย้ายออก “อย่างเวลาที่หน่วยงานรัฐอยากจะเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ รัฐก็โฟกัสที่คนมลายูอย่างเดียว ตรงนี้ผมว่า คนจีนเขาก็น้อยใจเหมือนกัน”
นักศึกษาจาก มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา และ ม.อ. ปัตตานี มาวาดรูปตึกเก่าสไตล์บริติช มาลายา ภาพโดย TEAOOR
อานัสเล่าว่า ก่อนความรุนแรงจะปะทุขึ้นในปี 2547 คนจีน และคนมลายูสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างไม่มีปัญหา เพราะเคารพในความแตกต่างของกันและกัน เช่น คนจีนจะไม่ใช้หัวหมูไหว้เจ้า ไม่เลี้ยงสุนัข และดื่มแอลกอฮอล์ในบ้านเท่านั้น
สายบุรีลุคเกอร์ต่อยอดกิจกรรมวาดภาพเมืองเก่า โดยจัดกิจกรรม “คืนความสุขสายบุรี” (ซึ่งตั้งชื่อล้อนโยบายของคสช.) โดยการจัดกิจกรรมธีมย้อนอดีตไปยังยุคบริติช มาลายา ยุคที่อังกฤษมีอำนาจและอิทธิพลอย่างสูงต่อคาบสมุทรมลายูในช่วงศตวรรษที่ 18-20 ซึ่งเป็นยุคที่เมืองสายกำลังรุ่งเรืองและรุ่มรวยทางวัฒนธรรม และยังมีอิทธิพลต่อสถาปัตยกรรมของย่านเมืองเก่า เป็นช่วงที่ความเป็นอังกฤษผสมผสานกับวัฒนธรรมมลายูท้องถิ่นอย่างกลมกลืน พวกเขาจัดกิจกรรมโดยให้ผู้ร่วมงานแต่งกายแบบสมัยนิยมในขณะนั้น เช่น ถ้าเป็นชายก็นุ่งโสร่งกับเสื้อนอก ถ้าเป็นหญิงก็นิยมใส่ชุดบานง เป็นต้น
งานคืนความสุข สายบุรี ซึ่งมีธีม บริติช มาลายา
“งานคืนความสุข สายบุรี เป็นงานที่ไฮไลท์ความหลากลายทางวัฒนธรรมของเมืองของเรา ซึ่งเห็นได้ชัดในยุคบริติช มาลายา ซึ่งก็คือกว่า 70 กว่าปีก่อนนี้เอง ตอนนั้นสามจังหวัดได้รับอิทธิพลจากตะวันตก แบบอังกฤษ ทั้งในแง่วิถีชีวิตแบบโมเดิร์น และแนวคิดประชาธิปไตยด้วย ผู้คนฟังวิทยุบีบีซีจากมาเลเซีย ส่งลูกไปเรียนที่ปีนัง คนมลายูตั้งชื่อภาษาอังกฤษให้ลูก ใช้ชีวิตแบบโมเดิร์น และมีการแต่งกายแบบทันสมัย เราไม่ได้จะบอกว่า เราภูมิใจในความเป็นตะวันตก แต่มันคือสิ่งที่เราเคยเป็น” อานัสกล่าว
อานัส เกิดและเติบโต เข้าโรงเรียนไทยมาตั้งแต่เด็กและไปใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯ ประมาณ 10 ปีเพื่อเรียนรัฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง เขาใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นกรุงเทพฯ จนถึงจุดอิ่มตัวกับชีวิตเมือง ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับความไม่สงบทำให้รู้สึกห่างเหินและอยากกลับมาทำความรู้จักบ้านเกิดของตัวเองอีกครั้ง
“ตั้งแต่เล็กจนโต ผมเรียนโรงเรียนไทยมาตลอด ผมเรียนประวัติศาสตร์ชาตินิยมไทยมากมาย แต่กลับไม่รู้จักพื้นที่ของตัวเอง รู้จักแต่ชาติภูมิ แต่ไม่รู้จักมาตุภูมิ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนหลังชนฝา ความเป็นตัวตน อัตลักษณ์ของตัวเองมันหายไป” หนุ่มมาดเข้มกล่าว
งานคืนความสุข สายบุรี ซึ่งมีธีม บริติช มาลายา ผู้ร่วมงานแต่งกายแบบสมัยนิยมในขณะนั้น
เมื่อถามว่า ในขณะที่กระแสคำว่า “ปาตานี” กำลังมาแรง ซึ่งเป็นการพูดถึงพื้นที่แห่งนี้ด้วยความภาคภูมิใจว่า เคยเป็นอาณาจักรอิสลามที่รุ่งเรือง ก่อนตกเป็นเมืองขึ้นของสยามในยุคพุทธศตวรรษที่ 21 ทำไมเขาจึงเลือกพูดถึงประวัติศาสตร์ของเมืองสายบุรีแทนที่จะเป็นปาตานี อานัสกล่าวว่า “ปัญหาในสามจังหวัด คนกลุ่มหนึ่งพยายามโยงไปกับประวัติศาสตร์อายุ 300 กว่าปีก่อน แต่เราพยายามโยงกับประวัติศาสตร์ใกล้ตัวอายุไม่ถึง 100 ปีที่จับต้องได้ ปัญหาไม่ได้มีถึง 300 ปี หรอก แค่ 70 กว่าปีเท่านั้นแหละ และประวัติศาสตร์ใกล้ตัวก็มีความจริงกว่าประวัติศาสตร์ 300 ปี”
“ตอนเป็นปาตานี มันก็มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมอยู่ แต่คนที่พยายามสร้างความรู้สึกชาตินิยมขึ้นมา กลับเลือกหยิบแต่มุมที่ว่าที่นี่มีแต่คนมลายูเพื่อแบ่งเขาแบ่งเรา แต่จริงๆ แล้ว พุทธมลายูก็มี คนจีนก็มี” อานัสกล่าว
คฤหาสน์พิพิธภักดี ของตระกูลเจ้าเมืองสายบุรี แสดงถึงความรุ่งเรือง ในยุคที่สายบุรีเป็นหนึ่งในเจ็ดหัวเมืองในปี พ.ศ. 2428 และต่อมากลายเป็นจังหวัดสายบุรีในปี 2444 ก่อนถูกยุบเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดปัตตานีในปี 2475
ชีวิตที่ 'พยายามปกติ' ของชาวมลายูมุสลิมใน 3 จว. ชายแดนใต้
ด่านตรวจของทหาร คือสิ่งที่แสดงถึงความไม่ปกติของพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่มันคือส่วนหนึ่งของชีวิตที่เป็นปกติ หรือพยายามทำให้เป็นปกติของคนที่นี่
แผงกั้นวางบนถนน บีบให้รถขับได้แค่เลนเดียว และต้องเบี่ยงไปมาเพื่อหลบแผงกั้น ป้ายใหญ่เขียนไว้ชัดเจนถึงหลักปฏิบัติเมื่อผ่านด่านตรวจ: เปิดไฟในรถ และ ลดกระจกลง ทั้งนี้เพื่อให้เจ้าหน้าที่มองเห็นคนในรถอย่างชัดเจน หากคุณเป็นคนหน้าตาผิวพรรณดูเป็นคนไทย หรือ คนเชื้อสายจีน ทหารจะกวักมือให้คุณผ่านด่านตรวจไปอย่างรวดเร็ว แต่หากคุณเป็นคนมลายูมุสลิม คุณจะต้องหยุดตอบคำถามของเจ้าหน้าที่ เช่น เป็นใคร มาจากไหน จะไปไหน และไปทำอะไร ทั้งนี้เพื่อจับพิรุธว่า เป็น “โจรใต้” หรือไม่
ชาวมลายูในสามจังหวัดเป็นคนมีอารมณ์ขันไม่น้อย ไม่เว้นแม้ตอนผ่านด่าน เช่น เพื่อนผู้เขียนคนหนึ่งเล่าว่า เมื่อขับรถผ่านด่านตอนกลางคืนและเพื่อนของเขาหลับอยู่ที่นั่งข้างคนขับ ทหารถามคนขับว่า มากี่คน คนขับตอนว่า มาคนเดียว เขาเล่าว่า พอได้ยินคำตอบ ทหารทำหน้าเหวอ มองไปมา และรีบโบกให้รถผ่านไป
หรืออีกมุขหนึ่ง
ทหาร : ไปไหนคับ
คนขับมลายู : ไปแตแฮบองครับ (พร้อมทำหน้าขึงขังราวกับไปสถานที่นั้นทุกวัน)
ทหาร : อ้อ ครับ เชิญคับ
ซึ่งในภาษามลายู แตแฮ แปลว่า วาง : บอง แปลว่าระเบิด หรืออีกมุขหนึ่ง
ทหาร: ไปไหน
คนขับรถมลายู: ไปบากากอลอฮครับ (พร้อมทำหน้าขึงขังราวกับไปสถานที่นั้นทุกวัน)
ทหาร: ครับๆ เชิญครับ
ในภาษามลายู บากา แปลว่าเผา ส่วน กอลอฮ แปลว่า โรงเรียน รวมกันก็คือ ไปเผาโรงเรียน
การล้อเล่นกับเจ้าหน้าที่ช่วยคลายความตรึงเครียด และทำให้ลืมเลือนไปชั่วคราวว่า ด่านตรวจแสดงถึงความไม่สงบ ความรุนแรง และความแตกแยกที่ฝังลึกในพื้นที่มาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว และยังมีการถูกเหมารวมว่า ชาวมลายูคือ “โจรใต้” ที่จะไปวางระเบิด หรือไปเผาโรงรียน ซึ่งคนที่นี่ต้องอยู่อย่างชาชินกับมัน
การเหมารวมและเลือกปฏิบัติตามชาติพันธุ์เป็นส่วนสำคัญของปัญหาที่ฝังลึกในสามจังหวัด แม้นโยบายห้ามเรียนและพูดภาษาอื่นนอกจากภาษาไทยในยุคจอมพล ป. พิบูลย์สงครามถูกยกเลิกไปกว่า 70 ปีแล้ว และแม้ปัจจุบัน มีการส่งเสริมด้านภาษาและวัฒนธรรมมลายูโดยรัฐไทยมากขึ้น การเลือกปฏิบัติก็ยังมีอยู่อย่างชัดเจนในระดับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ที่เห็นได้ชัดคือ การเลือกตรวจค้นรถคนลายูที่ด่านตรวจ และการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอในกลุ่มคนมลายูอย่างไร้หลักเกณฑ์ เป็นต้น
ในขณะที่กระบวนการสันติภาพระหว่างแกนนำขบวนการปลดแอกเอกราชปาตานี และรัฐไทยกำลังเริ่มต้น ศัพท์แสงวิชาการยากๆ เกี่ยวกับกระบวนการสันติภาพถูกนำมาพูดเต็มไปหมด แต่การเลือกปฏิบัติและชีวิตที่ไม่ปกติ ที่ชาวบ้านทั้งชาวมลายูมุสลิม ชาวไทยเชื้อสายจีน และชาวไทยพุทธ ยังคงดำเนินต่อไป มีคนรุ่นใหม่ในพื้นที่สามจังหวัดที่มองว่า สันติภาพจะเกิดขึ้นได้ ต้องเริ่มจากชีวิตปกติสุข และความไว้วางใจระหว่างคนในชุมชนระดับรากหญ้า โดยใช้สิ่งใกล้ตัว คือเรื่องราวของบ้านเกิดเป็นเครื่องมือ
นักเฝ้ามองแห่งเมืองสาย: ผู้สานสัมพันธ์ของคนในพื้นที่สีแดง
อำเภอสายบุรี ปรากฎในข่าวล่าสุด เมื่อมีเหตุระเบิดที่ย่านชุมชนคนเชื้อสายจีนเมื่อวันที่ 25 ก.ค. 58 เป็นเหตุให้ทหารชุดคุ้มครองพระเสียชีวิตหนึ่งราย พระสงฆ์มรณภาพหนึ่งรูป พระสงฆ์บาดเจ็บสาหัสหนึ่งรูป ทหารบาดเจ็บสาหัสสองคน และชาวบ้านเจ็บหนักอีกสองคน ก่อนหน้านี้ในปี 2552 ก็มีเหตุระเบิดซึ่งทำร้ายทั้งชาวบ้านไทยพุทธ คนจีน และมุสลิม และเจ้าหน้าที่หลายครั้งในสายบุรี
จากสถิติของศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ หรือ Deep South Watch อำเภอสายบุรีมีเหตุความไม่สงบมากเป็นอันดับหก จากทั้งหมด 37 อำเภอของสามจังหวัด และสี่อำเภอของจังหวัดสงขลา เหตุการณ์รุนแรงที่ต่อเนื่องทำให้เมืองสายบุรี ซึ่งอดีตเป็นหัวเมืองและเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่งในคาบสมุทรมลายูเปลี่ยนไป ชาวไทยเชื้อสายจีนที่เคยมีอยู่จำนวนมาก และเป็นผู้กุมเศรษฐกิจในพื้นที่ก็ย้ายออก คนจีนหลีกเลี่ยงไม่ไปพื้นที่คนมลายู คนมลายูก็หลีกเลี่ยงไม่เข้าไปเขตคนจีน กลายเป็นความสัมพันธ์ที่หวาดระแวงและเหินห่าง
“การเสนอภาพว่า คนมลายูคือ “โจรใต้” ซ้ำๆ ในข่าว กลายเป็นว่าคนที่นี่ก็เชื่อแบบนั้นไปด้วย เพราะพวกเราก็เสพสื่อกระแสหลักเหมือนกัน ผู้คนคุยกันน้อยลง และหันไปคุยกับทีวี กับอินเทอร์เน็ต แต่ถ้าหากนายสมศักดิ์ หันหน้ามาคุยกับนายมะแอ พวกเราก็จะเข้าใจกันมากขึ้น อคติต่อกันและกันน้อยลง” อานัส พงค์ประเสริฐ หนุ่มมลายูไฟแรงแห่งเมืองสายกล่าว
นั่นเป็นที่มาของกลุ่มสายบุรีลุคเกอร์ (Saiburi Looker) ที่อานัสเป็นคนร่วมก่อตั้งในปี 2556 โจทย์ยากของกลุ่มคือ หลังจากที่ความสัมพันธ์ของคนในชุมชนถูกบั่นทอนมาเป็นเวลากว่าสิบปี จะทำอย่างไรให้มันกลับมาดีดังเดิม สายบุรีลุคเกอร์จึงหยิบสิ่งใกล้ตัวมาทำให้คนเปิดใจคุยกันอีกครั้ง
“เราเอานักศึกษาศิลปะมาวาดรูปตรงเมืองเก่า บ้านเก่าสไตล์บริติช มาลายา ด้วยความสงสัย เจ้าของบ้านที่เป็นคนจีนเขาก็เดินมาดู เปิดบ้านมาคุย เอาน้ำมาให้ดื่ม เกิดเป็นบทสนทนากันไปได้ยืดยาว ซึ่งไม่มีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นเลยหลายปีที่ผ่าน พอวาดเสร็จ เราก็เอาภาพนั้นไปจัดนิทรรศการ คนก็มาดูและมาพูดคุยกันอีก” อานัส ประธานสายบุรีลุคเกอร์ วัย 32 ปีกล่าว
กิจกรรมวาดรูปก็ปูทางไปสู่กิจกรรมอื่นๆ อย่างการลงพื้นที่เก็บข้อมูล เรื่องเล่าเกี่ยวกับตึกรามบ้านช่องเก่าๆ สไตล์บริติช มาลายา จากผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนนั้น และนำไปจัดนิทรรศการเรื่องประกอบภาพ และเอาลงเฟซบุ๊กเพจของกลุ่ม เกิดเป็นบทสนทนาไม่รู้จบของคนในพื้นที่
“เดี๋ยวนี้เราสามารถไปบ้านคนจีนได้ ไปจัดกิจกรรมในศาลเจ้าของคนจีนได้ เพราะคนจีนวางใจพวกเรา” อานัสกล่าว
อานัสกล่าวว่า เขาเลือกโฟกัสที่คนจีน เพราะตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ไม่สงบ รัฐก็มุ่งให้ความช่วยเหลือคนมลายูเป็นหลัก คนจีนซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยอยู่แล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าถูกกดทับ เกิดความหวาดระแวง และย้ายออก “อย่างเวลาที่หน่วยงานรัฐอยากจะเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ รัฐก็โฟกัสที่คนมลายูอย่างเดียว ตรงนี้ผมว่า คนจีนเขาก็น้อยใจเหมือนกัน”
อานัสเล่าว่า ก่อนความรุนแรงจะปะทุขึ้นในปี 2547 คนจีน และคนมลายูสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างไม่มีปัญหา เพราะเคารพในความแตกต่างของกันและกัน เช่น คนจีนจะไม่ใช้หัวหมูไหว้เจ้า ไม่เลี้ยงสุนัข และดื่มแอลกอฮอล์ในบ้านเท่านั้น
สายบุรีลุคเกอร์ต่อยอดกิจกรรมวาดภาพเมืองเก่า โดยจัดกิจกรรม “คืนความสุขสายบุรี” (ซึ่งตั้งชื่อล้อนโยบายของคสช.) โดยการจัดกิจกรรมธีมย้อนอดีตไปยังยุคบริติช มาลายา ยุคที่อังกฤษมีอำนาจและอิทธิพลอย่างสูงต่อคาบสมุทรมลายูในช่วงศตวรรษที่ 18-20 ซึ่งเป็นยุคที่เมืองสายกำลังรุ่งเรืองและรุ่มรวยทางวัฒนธรรม และยังมีอิทธิพลต่อสถาปัตยกรรมของย่านเมืองเก่า เป็นช่วงที่ความเป็นอังกฤษผสมผสานกับวัฒนธรรมมลายูท้องถิ่นอย่างกลมกลืน พวกเขาจัดกิจกรรมโดยให้ผู้ร่วมงานแต่งกายแบบสมัยนิยมในขณะนั้น เช่น ถ้าเป็นชายก็นุ่งโสร่งกับเสื้อนอก ถ้าเป็นหญิงก็นิยมใส่ชุดบานง เป็นต้น
“งานคืนความสุข สายบุรี เป็นงานที่ไฮไลท์ความหลากลายทางวัฒนธรรมของเมืองของเรา ซึ่งเห็นได้ชัดในยุคบริติช มาลายา ซึ่งก็คือกว่า 70 กว่าปีก่อนนี้เอง ตอนนั้นสามจังหวัดได้รับอิทธิพลจากตะวันตก แบบอังกฤษ ทั้งในแง่วิถีชีวิตแบบโมเดิร์น และแนวคิดประชาธิปไตยด้วย ผู้คนฟังวิทยุบีบีซีจากมาเลเซีย ส่งลูกไปเรียนที่ปีนัง คนมลายูตั้งชื่อภาษาอังกฤษให้ลูก ใช้ชีวิตแบบโมเดิร์น และมีการแต่งกายแบบทันสมัย เราไม่ได้จะบอกว่า เราภูมิใจในความเป็นตะวันตก แต่มันคือสิ่งที่เราเคยเป็น” อานัสกล่าว
อานัส เกิดและเติบโต เข้าโรงเรียนไทยมาตั้งแต่เด็กและไปใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯ ประมาณ 10 ปีเพื่อเรียนรัฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง เขาใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นกรุงเทพฯ จนถึงจุดอิ่มตัวกับชีวิตเมือง ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับความไม่สงบทำให้รู้สึกห่างเหินและอยากกลับมาทำความรู้จักบ้านเกิดของตัวเองอีกครั้ง
“ตั้งแต่เล็กจนโต ผมเรียนโรงเรียนไทยมาตลอด ผมเรียนประวัติศาสตร์ชาตินิยมไทยมากมาย แต่กลับไม่รู้จักพื้นที่ของตัวเอง รู้จักแต่ชาติภูมิ แต่ไม่รู้จักมาตุภูมิ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนหลังชนฝา ความเป็นตัวตน อัตลักษณ์ของตัวเองมันหายไป” หนุ่มมาดเข้มกล่าว
เมื่อถามว่า ในขณะที่กระแสคำว่า “ปาตานี” กำลังมาแรง ซึ่งเป็นการพูดถึงพื้นที่แห่งนี้ด้วยความภาคภูมิใจว่า เคยเป็นอาณาจักรอิสลามที่รุ่งเรือง ก่อนตกเป็นเมืองขึ้นของสยามในยุคพุทธศตวรรษที่ 21 ทำไมเขาจึงเลือกพูดถึงประวัติศาสตร์ของเมืองสายบุรีแทนที่จะเป็นปาตานี อานัสกล่าวว่า “ปัญหาในสามจังหวัด คนกลุ่มหนึ่งพยายามโยงไปกับประวัติศาสตร์อายุ 300 กว่าปีก่อน แต่เราพยายามโยงกับประวัติศาสตร์ใกล้ตัวอายุไม่ถึง 100 ปีที่จับต้องได้ ปัญหาไม่ได้มีถึง 300 ปี หรอก แค่ 70 กว่าปีเท่านั้นแหละ และประวัติศาสตร์ใกล้ตัวก็มีความจริงกว่าประวัติศาสตร์ 300 ปี”
“ตอนเป็นปาตานี มันก็มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมอยู่ แต่คนที่พยายามสร้างความรู้สึกชาตินิยมขึ้นมา กลับเลือกหยิบแต่มุมที่ว่าที่นี่มีแต่คนมลายูเพื่อแบ่งเขาแบ่งเรา แต่จริงๆ แล้ว พุทธมลายูก็มี คนจีนก็มี” อานัสกล่าว