[CR] Big Journey - ดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูเขาไฟโบรโม่ไม่ง้อทัวร์ ประเทศอินโดนิเซีย

มีคนเคยบอกผมว่าการเดินทางมันทำให้สมองเรากลับเป็นเด็กอีกครั้ง เพราะตอนเด็กทุกอย่างมันน่าตื่นตาตื่นใจไปหมด อยากรู้ อยากลอง อยากสัมผัส สมองเลยตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา แต่พอเราโตขึ้น ทำงาน ทุกอย่างมันก็เริ่มเป็นกิจวัตรประจำวัน ที่เราทำซ้ำไปซ้ำมาจนเป็นรูปแบบเดิมๆ ผมเลยต้องมีช่วงพักเบรคจากงานด้วยการออกเดินทางไปสถานที่ใหม่ๆ เรียนรู้วิถีชีวิตและสิ่งปลูกสร้างใหม่ๆ เห็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันทำให้สมองผมกลับเป็นเด็กอีกครั้งและทำให้ผมอดคิดถึง การเดินทางไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูเขาไฟโบรโม่ไม่ได้ เป็นทริปที่ผมมีข้อมูลจำกัดเป็นเพียงแผนที่คราวๆใบนึงกับความกล้าที่ต้องพกมาเยอะๆ

สำหรับเพื่อนๆที่สนใจติดตามการผจญภัยของผมหรือมีคำถามก็เข้ามาพูดคุยกันได้ที่ http://www.facebook.com/BigJourney


                ความตื่นเต้นของทริปนี้ มันเริ่มจากผมอยากเดินสัมผัสวิถีชีวิตชาวภูเขาไฟแบบใกล้ๆ ไม่รีบร้อน เบื่อการไปเที่ยวกับทัวร์ที่รีบเร่งและวุ่นวาย ประกอบกับอยากดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วย ผมเลยตัดสิ้นใจในคืนนั้นว่าพรุ่งนี้ผมจะเดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้นเองที่จุดชมวิวจุดแรก ด้วยแผนที่คราวๆใบนึงที่ผมเจอในอินเตอร์เน็ต แถมต้องเดินคนเดียวด้วย  

                 เส้นทางที่ผมใช้เป็นเส้นทางเดินผ่านหมู่บ้านเซโมโร่ลาวัง ส่วนใหญ่จะมีเฉพาะพวกฝรั่งแบ็คแพ็คเกอร์กับคนท้องถิ่นใช้กัน เช้าวันนั้นผมออกจากที่พัก Cenera Indah ประมาณตีสี่กว่าๆ ที่นี้พระอาทิตย์ขึ้นค่อนข้างเร็วประกอบกับไม่รู้ว่าต้องเดินนานเท่าไร ผมเลยออกเช้าหน่อย สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับทริปนี้คือ ไฟฉาย น้ำหนึ่งขวด และของกินให้พลังงานเป็นช็อคกาแล็ตหนึ่งแท่ง เมื่อพร้อมแล้วเราก็ออกเดินกันเลย มันเป็นเช้าที่อากาศหนาวนิดหน่อย แต่มืดมาก เพราะตลอดสองข้างทางไม่มีไฟ ระยะการมองเห็นของผมแค่ประมาณสามถึงสี่เมตร เพราะไฟฉายผมไม่ได้สว่างมาก ตอนแรกก็นึกว่าจะมีฝรั่งหัวแดงมาเดินเป็นเพื่อนหรือใกล้ๆกันก็ยังดี แต่ที่ไหนได้เช้านี้ไม่มีใครเลย เดินคนเดียวซะอย่างนั้น ยิ่งเดินไกลจากที่พักมากเท่าไร ความเงียบและความมืด มันทำให้ใจผมหดเล็กลง..เล็กลง.. ความกล้าที่ผมพกมาอย่างเยอะ มันค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆ ความกลัวมันค่อยๆเข้ามาแทนที่ กลัวทั้ง...ทั้งคน และก็หมา ใจนึงมันก็กลัวอยากจะกลับให้ได้ แต่อีกใจนึงมันก็อยากไปดูพระอาทิตย์แทบขาดใจ พยายามเดินเร็วสุดชีวิต แต่ยิ่งเดินมันดูเหมือนยิ่งไกล เดินเท่าไรก็ไม่ถึงสักที ผมเดินอยู่พักใหญ่ แล้วก็ได้ยินเสียงเหมือนอะไรสักอย่างกำลังเข้ามาหาเรา ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แบบว่าลุ้นสุดตัว นึกว่าจะเจอดีต่างแดนสักแล้ว หัวใจจะวาย ที่ไหนได้เป็นคุณลุงปั่นจักรยานเอื่อยๆ ถอนหายใจยาวๆทีนึงแล้วเดินต่อ สักพักเริ่มเห็นแสงไฟเล็ดลอดออกมาจากบ้านของชาวภูเขาไฟ คงเริ่มเตรียมตัวจะออกจากบ้านไปบริการนักท่องเที่ยวกันแล้ว จากจุดนี้ความกล้าเริ่มกลับมาเรื่อยๆ และแล้วฟ้าเริ่มสว่างขึ้นผมมาถึงจุดชมวิวแรก ประมาณตีห้ากว่า มันดูเหมือนเป็นลานจอดรถซะมากกว่า ผมเลือกที่จะหยุดตรงจุดนี้ และรอพระอาทิตย์ขึ้น แต่ดูเหมือนโชคไม่เข้าข้างผมเอาซะเลย มันเป็นเช้าที่หมอกเยอะเอามากๆ ทุกอย่างดูขาวโพลนไปหมด มันเหมือนตาผมกำลังอยู่ในโหมดขาวดำ

ธรรมชาติมันก็แบบนี้ มันเป็นงานศิลปะที่มีชีวิต เอาแน่นอนอะไรไม่ได้ สิ่งที่ทำได้คือ อดทนรอ รอและก็รอ พอพระอาทิตย์เริ่มขึ้น หมอกก็เริ่มจางลง แต่ผมก็ยังมองไม่เห็นทั้งภูเขาไฟโบรโม่และบาต๊อก เห็นแต่ยอดของภูเขาไฟสุเมรุโผล่พ้นหมอกขึ้นมา

ผมรอประมาณครึ่งชั่วโมง และแล้วโชคก็เข้าข้างผม มันเป็นภาพของภูเขาไฟโบรโม่(ซ้าย)ยืนคู่กับบาต๊อก(ขวา) แล้วมีสุเมรุ(ด้านหลัง)กำลังจะพ่นควันท้ามกลางทะเลหมอก ทุกอย่างมันถูกจัดฉากโดยธรรมชาติได้อย่างลงตัว

สุเมรุพ่นควันออกมาแล้ว ตูม!!!

ในระหว่างที่ผมถ่ายโบรโม่เป็นสิบๆรูปอยู่นั้น ผมก็เหลือบไปเห็นทะเลหมอกซัดใส่หมู่บ้านเซโมโร่ลาวัง มันเป็นอีกภาพที่ผมประทับใจมากในทริปนี้

มาดูความหนาของทะเลหมอกที่ซดใส่หมู่บ้านเซโมโร่ลาวังกัน ธรรมชาตินี้มันอะเมซิ่งจริงๆ

โบรโม่ใกล้ๆอีกสักรูปก่อนเดินลง ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้รูปพระอาทิตย์สักรูป แต่ความงามของทะเลหมอกมันก็สุดยอดไม่แพ้กัน

และแล้วก็ถึงเวลาเดินเที่ยวหมู่บ้านเซโมโร่ลาวังกัน มาเดินดูวิถีชีวิตของชาวบ้านที่อยู่กับภูเขาไฟกัน

ผมก็อดอิจฉาชาวบ้านที่นี่ไม่ได้ ที่ได้เห็นวิวแบบนี้ทุกวัน
  
ที่นี่มันเหมือนสวรรค์สำหรับการเพาะปลูก มีดินที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุจากขี้เถ้าภูเขาไฟ มองไปทางไหนก็เขียวไปหมด

อาชีพหลักของคนที่นี่คือการเพาะปลูกกับการให้บริการนักท่องเที่ยว หนึ่งในงานบริการนั้นคือ มีม้าคอยบริการไปรับส่งจากจุดจอดรถจี๊บโบรโม่ไปตีนภูเขาไฟโบรโม่

เดินลงมาสักพักแล้วหมอกยังหนาอยู่เลย

รูปนี้น่าจะอธิบายได้อย่างดีว่า หนึ่งในอาชีพหลักของที่นี่คือการเพาะปลูก


พอสายๆ ชาวบ้านที่มีม้าก็จะพาม้าลงไปให้บริการนักท่องเที่ยวที่ตีนภูเขาไฟโบรโม่

นอกจากมีดินที่ดีเป็นทุนแล้ว ยังใช้วิธีการปลูกพืชสลับไปมาด้วย ไม่แปลกใจเลยที่มองไปทางไหนก็เขียวไปหมด

มาถึงโบรโม่แล้ว ต้องมาเดินเที่ยวหมู่บ้านเซโมโร่ลาวังตอนเช้า แล้วคุณจะหลงรักโบรโม่ในมุมแบบผม

จากจุดนี้หมอกเริ่มจางแล้ว


พอสายๆหน่อย เริ่มเห็นชาวบ้านออกมาทำสวนกัน

วิวตลอดสองข้างทาง มันไม่ธรรมดาจริงๆ

และแล้วผมก็กลับมาถึงหน้าที่พัก วิวตรงนี้ก็สวยเหมือนกัน


เป็นทริปนที่ใช้เวลาแค่สามชั่วโมง ไม่เสียตังสักบาท แถมประทับใจสุดๆ มาถึงโบรโม่แล้วต้องห้ามพลาดครับ!!!
ส่วนใครสนใจการเดินทางก่อนน้านี้ของผม Big Journey ก็ติดตามกันได้จาก link ด้านล่างครับ
Big Journey - พิชิตภูเขาไฟรินจานี่ ประเทศอินโดนิเซีย : http://pantip.com/topic/33879270
ชื่อสินค้า:   โบรโม่
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่