Casino (1995) : หักเหลี่ยมคาสิโน , Directed by Martin Scorsese
.
เป็นเรื่องราวชีวิตของผู้มีอิทธิพลใน Las Vegas ยุค 70 . . Sam 'Ace' Rothstein (รับบทโดย Robert De Niro) เจ้าพ่อธุรกิจและมือเซียนวงการพนัน ที่ได้รับการเชื้อเชิญจากมาเฟียรายใหญ่ แห่ง Kansas City ให้มาดูแลกิจการและหาเงินให้ที่บ่อนการพนันใน Las Vegas ทั้งยังส่ง Nicky Santoro (รับบทโดย Joe Pesci) อันธพาลจอมวางกล้าม มาคอยดูแลเขาอีกด้วย . . เมื่อธุรกิจกำลังไปได้สวย Sam 'Ace' Rothstein ตัดสินใจแต่งงานและมีครอบครัวกับหญิงสาว ที่มากด้วยเล่ห์กลและเป็นเซียนพนันอย่าง Ginger McKenna (Sharon Stone) เรื่องราวทั้งหมดเหมือนกำลังจะไปได้สวย แต่เมื่อ Nicky Santoro หวังที่จะครอบครอง Las Vegas และไม่เกรียงกลัวใครหน้าไหนทั้งสิ้น Sam 'Ace' Rothstein จึงมักโดนปัญหาที่ Nicky ก่อตามมาด้วยเสมอ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงเริ่มออกห่างกันเข้าไปทุกที ในขณะที่ชีวิตคู่ของเขา(Sam) ก็มีปัญหาตามมาด้วยเช่นกัน
.
ผลงานกำกับภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องที่ 15 ของ Martin Scorsese ที่เคยโด่งดังมาแล้วจาก Taxi Driver (1976) , Raging Bull (1980) , After Hours (1985) , The Age of Innocence (1993) และภาพยนตร์ Gangster แนวเดียวกัน Goodfellas (1990) ที่ทั้งยังได้สองนักแสดงนำอย่าง Robert De Niro และ Joe Pesci มาร่วมงานอีกด้วย
.
Casino สามารถเปรียบกับ Goodfellas ได้อย่างชัดเจน ทั้งแนวทางของภาพยนตร์ กรรมวิธี และวัตถุดิบหลักที่เลือกใช้ ต่างกันก็เพียงเป็นการเล่าเรื่องคนละแก๊ง และหันมาอยู่ในขอบเขตของ Casino เป็นหลักนั้นเอง แน่นอนว่าส่วนหนึ่งที่คล้ายกันนั้น เพราะมันถูกสร้างมาจากหนังสือของ Nicholas Pileggi นักเขียนที่ช่ำชองเรื่องราวของ Gangster ที่เขียนทั้ง Goodfellas และ Casino อันเป็นเรื่องที่ผู้กำกับ Martin Scorsese นำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์นั่นเอง
.
หนังเล่าผ่านมุมมองของบุคคล 2 คน อย่าง Sam 'Ace' Rothstein และ Nicky Santoro เพื่อนสนิทสองคนที่มารู้จักกันเพราะเรื่องงาน แต่ความคิดของทั้งคู่ต่างกันสุดขั้ว การเล่าผ่านมุมมองของทั้งสอง เราจึงได้เห็นเหตุผลและวิธีการคิดที่แตกต่างของพวกเขา อันเป็นสิ่งที่ทำให้เข้าใจอย่างง่ายๆ และไม่มีข้อกังขาหรืออันใด อีกทั้งการใช้เทคนิคการเล่าเรื่องแบบนี้ ก็ทำให้เราสามารถรับรู้ถึงคาแรคเตอร์ นิสัยใจคอของตัวละครควบคู่กันไป เรียกได้ว่าการใช้เทคนิคเดียว ได้ประโยชน์หลายช่องทางเลยทีเดียว
.
หนังเริ่มต้นอธิบายรายละเอียดภายในอย่างเร่งรีบ ให้เห็นถึงทุกกระบวนการอย่างชัดเจน นำพาคนดูซึมซับไปกับทุกซอกทุกมุมของวงการธุรกิจที่ Sam 'Ace' Rothstein เป็นผู้ร่วมดูแลกรรมสิทธิ์ แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่ามันเสร็จสิ้นภายในเวลาไม่กี่นาที เพราะทั้งหมดใช้เวลาถึง 1 ชั่วโมงในการปูเรื่องเลยทีเดียว ก่อนจะมาเริ่มต้นหลักอย่างจริงจัง และเล่าเรื่องราวอันเป็นประหนึ่งปัจจุบัน ต่อในเวลาที่เหลืออีก 2 ชั่วโมง แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ดีด้วยเช่นกัน กับการอธิบายรายละเอียดต้นเรื่อง 1 ชั่วโมง นั้นเพราะถึงแม้หนังจะเป็นแบบนั้น แต่การเล่าทุกอย่างที่มีมาในช่วงต้นนั้น ก็เป็นไปได้อย่างเพลินเพลินและสนุกสนาน เรียกได้ว่าอาจมันส์กว่าการเล่าเรื่องหลักส่วนที่เหลือจริงๆซะด้วยซ้ำ
.
หนังค่อยๆให้เราเรียนรู้ตัวละครไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ความเป็นมาและการดำเนินต่อไปว่าจะเป็นไปยังไง โดยรวมแล้วการเล่าผ่านมุมมองของ Sam 'Ace' Rothstein และ Nicky Santoro ทั้งหมดก็คือชีวิตและความสัมพันธ์ของพวกเขาในสังคม Las Vegas ไม่เว้นแม้แต่ Casino โดยมี Ginger McKenna (ภรรยา) เป็นประเด็นเสริมที่ติดตาม Sam มาด้วยอีกคน จนกลายเป็นผลต่อเนื่องที่นำไปสู่ Nicky ในที่สุด
.
จากการใช้เทคนิคเล่าเรื่องที่กล่าวมาข้างต้น ว่ามันเป็นประโยชน์และไอเดียที่ดีเลิศเลยทีเดียว นั้นเพราะประหนึ่งเราได้รู้จักตัวละครอย่างใกล้ชิดและแบบจริงๆจังๆ ราวกับว่าเป็นเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก หรือแม่ที่เคยเลี้ยงดูพวกเขามาเลย ส่งผลให้ตลอดระยะเวลาการดำเนินเรื่อง เราอยากจะเอาใจช่วยและคิดแทนต่อการกระทำของตัวละครอยู่เสมอ ว่าทำไมไม่ทำอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างงี้ เพราะในเมื่อหนังเผยรู้ก่อนตั้งแต่ต้นแล้วว่า ชีวิตน่าเศร้าฉากหนึ่งของตัวละครจะเป็นอย่างไร ก่อนที่จะถึงช่วงสุดท้ายและเฉลยความจริง ว่ามันไม่ใช่แบบที่เราคิดในที่สุด
.
ด้านดนตรีประกอบและเพลงประกอบนั้น เรียกได้ว่าชอบมาก กับการเปิดเพลงยุค 70 เกือบตลอดทั้งเรื่องเลยก็ว่าได้ ไม่เว้นแม้แต่ช่วงที่ตัวละครมีบทสนทนา หรือฉากตึงเครียดต่างๆ ก็จะเลือกใช้ไม่เพียงแต่ดนตรีประกอบ แต่เป็นเพลงประกอบที่มีคำร้องแซกเข้ามาเลยทีเดียว ส่วนหนึ่งเลยทำให้เรารู้สึกว่ามันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง ที่ชื่นชอบมากเลยทีเดียว
.
สรุปแล้ว Casino ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานที่โดดเด่นด้านการเล่าเรื่องที่เป็นเลิศ และน่าประทับใจอย่างยิ่ง กับเทคนิคต่างๆที่หนังเลือกใช้และถูกใส่เข้ามาในเรื่อง อันนำไปสู่เรื่องราวที่สนุกสนาน และเพลิดเพลินตลอดระยะเวลา 3 ชั่วโมงมากมายทีเดียว . . น่าเสียดายที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ ยังไม่อาจเรียกได้ว่าเทพขั้นสุด หรือเป็นผลงาน Masterpiece ของผู้กำกับ Martin Scorsese ซะทีเดียว เนื่องจากยังติดปัญหาเล็กๆน้อยๆ ต่อองค์ประกอบที่ยังไม่สมบูรณ์นั้นเอง

ผู้เขียน C. Non