ของฝากจากเมือง Compton
Dr.Dre แร็พเปอร์และโปรดิวซ์เซอร์มือทองกลับมาอีกครั้งในอัลบั้มที่มีชื่อว่า
Compton เป็นการกลับมาในรอบ 16 ปีทิ้งช่วงจากอัลบั้มที่ชื่อว่า
2001 เมื่อปี 1999 เวลาผ่านไปไวอะไรเยี่ยงนี้ 16 ปีผ่านไปเราได้ฟังผลงานชุดใหม่ของ
Dr.Dre แล้วหรอเนี่ย ก่อนหน้านี้มีโปรเจ็ค Detox ซึ่งมีซิงเกิ้ลนำร่องอย่าง
I Need A Doctor และ Kush มาเรียกน้ำย่อยแต่ตอนนี้โดนยกเลิกไปแล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่พึงพอใจโปรเจ็คนี้ จนกระทั่งเดรได้ทำหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์หนังอัตชีวประวัติของวงตัวเองอย่าง Straight Outta Compton (กำลังฉายในอเมริกา ณ ตอนนี้) จึงเกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาจนก่อให้เกิดโปรเจ็ค Compton ส่งท้ายอาชีพแร็พเปอร์ของเฮียเดร เพื่อไปทำงานเบื้องหลังแบบเต็มตัวต่อไป
Dr.Dre เป็นบุคคลที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของวงการฮิพฮอพเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นหนึ่งบุคคลสำคัญที่ทำให้แนวเพลงฮิพฮอพเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เริ่มตั้งแต่การเป็นสมาชิก N.W.A แก๊งสเตอร์ฮิพฮอพกรุ๊ปแรกของโลก อัลบั้ม
The Chronic ต้นกำเนิดฮิพฮอพจังหวะ G-Funk อันเป็นเอกลักษณ์
Nutting But A G Thang เท่โคตรๆ หน้าปกก็คลาสสิคเป็นเทรนด์ฮิตของแร็พเปอร์มาจนถึงทุกวันนี้ หลังจากที่
2Pac เสียชีวิตไปอย่างน่าใจหาย ค่ายเพลงเก่า
Death Rows Record ก็ตายไปจากวงการพร้อมๆกับ 2Pac ถึงจะวงการฮิพฮอพจะมีการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ แต่เฮียเดรก็ยังไม่ล้มเลิกที่จะสานต่อแนวเพลงฮิพฮอพไปตั้งค่ายเพลง
Aftermath Entertainment ดันแร็พเปอร์หน้าใหม่จนแจ้งเกิดกันได้ถ้วนหน้า โดยเฉพาะการเป็นป๋าดันให้แร็พเปอร์ผิวขาว
Eminem จนทำให้ดังผลุแตก เป็นที่ยอมรับในสายดนตรีของคนผิวสีได้สำเร็จ ตอกย้ำความสำเร็จให้กับตัวเองอีกครั้งด้วยอัลบั้ม
2001 ที่มีซิงเกิ้ล Still D.R.E , The Watcher , The Next Episode , Forget About เป็นเพลงฮิตตลอดกาลที่ไม่มีแฟนเพลงฮิพฮอพคนไหนไม่รู้จัก ถึงแม้ว่าผลงานของดร.เดรออกไปทาง Compilation แร็พน้อย แต่แขกเยอะ แต่ตัวเพลงที่มีจังหวะเป็นเอกลักษณ์มากบวกกับโปรดักชั่นที่ดีเยี่ยม ผลงานสองอัลบั้มที่ผ่านมาของเฮียเดรเป็นอะไรที่คลาสิคยากเกินจะถูกลืมจริงๆ
หลังจากนั้นก็ไปทำงานเบื้องหลังมากกว่า เป็นป๋าดันให้ศิลปินอื่นๆนอกเหนือเอมิเนมไม่ว่าจะเป็น 50 Cent , The Game , Kendrick Lamar และอื่นๆอีกมากมากมาย นอกจากนี้ยังเป็นนักธุรกิจมหาเศรษฐีจากการขายหูฟัง Beats และขายหุ้นส่วนนึงให้กับ Apple ด้วย จนมีรายการวิทยุ Beats1 เป็นส่วนนึงของ Apple Music อีกด้วย เก่งด้านดนตรีแล้วยังเก่งเรื่องธุรกิจอีกโคตรนับถือเลยล่ะ สิ่งเหล่านี้ทำให้ Dr.Dre ยังมีบารมีในวงการเพลงจนถึงทุกวันนี้ ต่อให้ในยุคนี้มีแร็พเปอร์หน้าใหม่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ผลงานชุดสุดท้ายจึงเป็นอะไรที่น่าจับตามองจากแฟนเพลงทั่วโลกอยู่ดีครับ
ส่วนแขกรับเชิญในอัลบั้มชุดนี้เฮียเดรแกรวบรวมเพื่อนเก่าและศิลปินในสังกัดหน้าใหม่ๆมาร่วมงานกันเพียบ ล้วนแต่มาจากเมือง
Compton แทบทั้งสิ้น มาตั้งแต่ฮิพฮอพยุคแรกๆ
Ice Cube , Snoop Dogg , Xzibit , COLD 187um , Eminem , DJ Premier , The Game และศิลปินหน้าใหม่อีกมากมาย รวมถึงศิษย์โปรด
Kendrick Lamar ได้แจมถึง 3 เพลงด้วยกัน อย่างน้อยอัลบั้มชุดนี้ทำให้คนฟังได้เห็นแร็พเปอร์ยุคแรกๆกลับคืนสู่เหย้าอีกครั้งให้หายคิดถึง และได้เห็นศิลปินหน้าใหม่ๆที่ต่างปล่อยของออกมาแบบไม่กั๊กไปพร้อมๆกัน
(ซ้าย: Justus กลาง : Dr.Dre ขวา: King Mez)
เริ่มอินโทรให้ความรู้เกี่ยวกับเมือง Compton ที่มีแต่คนผิวสีอาศัยอยู่ขึ้นชื่อเรื่องอาชญากรรม ให้อารมณ์เหมือนดูเพลงโลโก้ค่ายหนัง
Talk About It (Ft. King Mez & Justus) เพลงเปิดอัลบั้มสไตล์แก๊งส์เตอร์ชวนโยกหัวอีกเช่นเคย เป็นการเริ่มต้นที่ดีไม่น้อย เป็นการบอกสถานะตัวเองจากคนที่อยู่ในย่านสลัม จนตอนนี้มาถึงจุดสูงสุดของอาชีพได้แล้ว เป็นการให้แรงบันดาลใจไปในตัวด้วย ตอนผมฟังท่อนฮุกผมนึกว่าคนดำร้อง ดูจากรูปข้าพเจ้ายังไม่เชื่อเลย 5555
Dr.Dre & Candice Pillay
ซ้าย Marsha Ambrosius
First Impression ที่โดนใจตั้งแต่แรกฟังหนีไม่พ้น แทร็คที่สาม
Genocide ชอบตั้งแต่บีทขึ้นเพลงโคตรเท่ห์ vibe เพลงมันได้ แขกรับเชิญถึงผมไม่รู้จักมักคุ้นเลย แต่แย่งซีนได้อยู่หมัด ตั้งแต่ท่อนฮุกที่โคตรติดหู และประชดประชันสุดๆ
Call 9-1-1, emergency
Hands up in the air for the world to see
It's murder, it's murder, murder, murder (Murder)
ท่อนแร็พเปอร์หญิง
Candice Pillay โคตรแย่งซีนเลยล่ะ สำเนียงแอฟริกันนิดๆมีส่วนทำให้เพลงนี้เด่นขึ้นมาทันที โดยไม่ต้องอาศัยเดรหรือ Kendrick แต่อย่างใด มันเป็นเพลงที่มีจังหวะเท่ห์ก็จริง แต่แอบแฝงความน่ากลัว มันไม่ใช่เพลงที่ฟังเอาเท่ห์เลยล่ะ
Anderson Paak
2 เพลงต่อมาดูเหมือนจะป็อบแร็พมากที่สุดในชุดนี้เลยล่ะ
It's All On Me (Ft. Justus & BJ The Chicago Kid) ดูเหมือนจะติดหูสุด ส่วน
All In A Day's Work (Ft. Anderson Paak) ฟังได้เรื่อยๆครับผม
Darkside/Gone (Ft. King Mez, Marsha Ambrosius & Kendrick Lamar) เป็นแทร็คที่น่าสนใจ ตัวเพลงแบ่งออกเป็นสองพาร์ท พาร์ทแรก จะออกไปในทาง Trap Rap
King Mez เล่าถึงการใช้ชีวิตแบบแก๊งค์อันธพาลในอดีต ตอนหลังค้นพบว่าชีวิตแบบนี้มันไม่ใช่ตัวเองเลย ส่วนพาร์ทสองเดรก็เสียดสีชีวิตที่เคยหลงระเริงชื่อเสียงในอดีต จนถึงขั้นทะเลาะกับเพื่อนรักร่วมวง
Easy-E (จะเห็นได้ว่าเดรเคยเปิดศึกกับ
Easy-E ตั้งแต่แยกวง N.W.A มาทำ The Chronic จนกลายเป็นคู่ Beef แห่งประวัติศาสตร์ฮิพฮอพ) จนกระทั่ง
Easy-E ตายด้วยโรคเอดส์ แต่ก็สายเกินไปแล้วที่จะเอาเพื่อนเก่าเขากลับมา เป็นพาร์ทที่ฟังแล้วสะเทือนใจอยู่ไม่น้อย เปียโนหลอนๆ ส่วน
Kendrick ก็แร็พถึงชีวิตที่ต้องรับมือกับชื่อเสียงของตัวเองเหมือนกันครับ เพื่อไม่ให้ตัวเองใช้ชื่อเสียงไปในทางที่ผิดนั่นเอง ท่อนนี้ทำให้ผมนึกถึงเพลงในอัลบั้ม To Pimp A Butterfly อยู่เหมือนกัน
Loose Cannons (Ft. Xzibit & COLD 187um) ดิบ เถื่อน และโรคจิตโคตรๆ มันทำให้ผมนึกถึงเพลงสไตล์เอมิเน็มในอัลบั้มชุดแรกๆเลย Xzibit แร็พแบบกระแทกๆ COLD 187um

เรื้อนได้ใจ คนโลกสวยที่ฟังเพลงนี้อาจรับไม่ได้ โดยเฉพาะช่วงท้ายเพลง มี Skit เล็กน้อยๆที่เกี่ยวกับการฆาตกรรมด้วย 5555
[CR] [รีวิวอัลบั้ม] Compton A Soundtrack By Dr.Dre -Dr.Dre (2015)
Dr.Dre แร็พเปอร์และโปรดิวซ์เซอร์มือทองกลับมาอีกครั้งในอัลบั้มที่มีชื่อว่า Compton เป็นการกลับมาในรอบ 16 ปีทิ้งช่วงจากอัลบั้มที่ชื่อว่า 2001 เมื่อปี 1999 เวลาผ่านไปไวอะไรเยี่ยงนี้ 16 ปีผ่านไปเราได้ฟังผลงานชุดใหม่ของ Dr.Dre แล้วหรอเนี่ย ก่อนหน้านี้มีโปรเจ็ค Detox ซึ่งมีซิงเกิ้ลนำร่องอย่าง I Need A Doctor และ Kush มาเรียกน้ำย่อยแต่ตอนนี้โดนยกเลิกไปแล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่พึงพอใจโปรเจ็คนี้ จนกระทั่งเดรได้ทำหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์หนังอัตชีวประวัติของวงตัวเองอย่าง Straight Outta Compton (กำลังฉายในอเมริกา ณ ตอนนี้) จึงเกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาจนก่อให้เกิดโปรเจ็ค Compton ส่งท้ายอาชีพแร็พเปอร์ของเฮียเดร เพื่อไปทำงานเบื้องหลังแบบเต็มตัวต่อไป
Dr.Dre เป็นบุคคลที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของวงการฮิพฮอพเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นหนึ่งบุคคลสำคัญที่ทำให้แนวเพลงฮิพฮอพเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เริ่มตั้งแต่การเป็นสมาชิก N.W.A แก๊งสเตอร์ฮิพฮอพกรุ๊ปแรกของโลก อัลบั้ม The Chronic ต้นกำเนิดฮิพฮอพจังหวะ G-Funk อันเป็นเอกลักษณ์ Nutting But A G Thang เท่โคตรๆ หน้าปกก็คลาสสิคเป็นเทรนด์ฮิตของแร็พเปอร์มาจนถึงทุกวันนี้ หลังจากที่ 2Pac เสียชีวิตไปอย่างน่าใจหาย ค่ายเพลงเก่า Death Rows Record ก็ตายไปจากวงการพร้อมๆกับ 2Pac ถึงจะวงการฮิพฮอพจะมีการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ แต่เฮียเดรก็ยังไม่ล้มเลิกที่จะสานต่อแนวเพลงฮิพฮอพไปตั้งค่ายเพลง Aftermath Entertainment ดันแร็พเปอร์หน้าใหม่จนแจ้งเกิดกันได้ถ้วนหน้า โดยเฉพาะการเป็นป๋าดันให้แร็พเปอร์ผิวขาว Eminem จนทำให้ดังผลุแตก เป็นที่ยอมรับในสายดนตรีของคนผิวสีได้สำเร็จ ตอกย้ำความสำเร็จให้กับตัวเองอีกครั้งด้วยอัลบั้ม 2001 ที่มีซิงเกิ้ล Still D.R.E , The Watcher , The Next Episode , Forget About เป็นเพลงฮิตตลอดกาลที่ไม่มีแฟนเพลงฮิพฮอพคนไหนไม่รู้จัก ถึงแม้ว่าผลงานของดร.เดรออกไปทาง Compilation แร็พน้อย แต่แขกเยอะ แต่ตัวเพลงที่มีจังหวะเป็นเอกลักษณ์มากบวกกับโปรดักชั่นที่ดีเยี่ยม ผลงานสองอัลบั้มที่ผ่านมาของเฮียเดรเป็นอะไรที่คลาสิคยากเกินจะถูกลืมจริงๆ
หลังจากนั้นก็ไปทำงานเบื้องหลังมากกว่า เป็นป๋าดันให้ศิลปินอื่นๆนอกเหนือเอมิเนมไม่ว่าจะเป็น 50 Cent , The Game , Kendrick Lamar และอื่นๆอีกมากมากมาย นอกจากนี้ยังเป็นนักธุรกิจมหาเศรษฐีจากการขายหูฟัง Beats และขายหุ้นส่วนนึงให้กับ Apple ด้วย จนมีรายการวิทยุ Beats1 เป็นส่วนนึงของ Apple Music อีกด้วย เก่งด้านดนตรีแล้วยังเก่งเรื่องธุรกิจอีกโคตรนับถือเลยล่ะ สิ่งเหล่านี้ทำให้ Dr.Dre ยังมีบารมีในวงการเพลงจนถึงทุกวันนี้ ต่อให้ในยุคนี้มีแร็พเปอร์หน้าใหม่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ผลงานชุดสุดท้ายจึงเป็นอะไรที่น่าจับตามองจากแฟนเพลงทั่วโลกอยู่ดีครับ
ส่วนแขกรับเชิญในอัลบั้มชุดนี้เฮียเดรแกรวบรวมเพื่อนเก่าและศิลปินในสังกัดหน้าใหม่ๆมาร่วมงานกันเพียบ ล้วนแต่มาจากเมือง Compton แทบทั้งสิ้น มาตั้งแต่ฮิพฮอพยุคแรกๆ Ice Cube , Snoop Dogg , Xzibit , COLD 187um , Eminem , DJ Premier , The Game และศิลปินหน้าใหม่อีกมากมาย รวมถึงศิษย์โปรด Kendrick Lamar ได้แจมถึง 3 เพลงด้วยกัน อย่างน้อยอัลบั้มชุดนี้ทำให้คนฟังได้เห็นแร็พเปอร์ยุคแรกๆกลับคืนสู่เหย้าอีกครั้งให้หายคิดถึง และได้เห็นศิลปินหน้าใหม่ๆที่ต่างปล่อยของออกมาแบบไม่กั๊กไปพร้อมๆกัน
เริ่มอินโทรให้ความรู้เกี่ยวกับเมือง Compton ที่มีแต่คนผิวสีอาศัยอยู่ขึ้นชื่อเรื่องอาชญากรรม ให้อารมณ์เหมือนดูเพลงโลโก้ค่ายหนัง Talk About It (Ft. King Mez & Justus) เพลงเปิดอัลบั้มสไตล์แก๊งส์เตอร์ชวนโยกหัวอีกเช่นเคย เป็นการเริ่มต้นที่ดีไม่น้อย เป็นการบอกสถานะตัวเองจากคนที่อยู่ในย่านสลัม จนตอนนี้มาถึงจุดสูงสุดของอาชีพได้แล้ว เป็นการให้แรงบันดาลใจไปในตัวด้วย ตอนผมฟังท่อนฮุกผมนึกว่าคนดำร้อง ดูจากรูปข้าพเจ้ายังไม่เชื่อเลย 5555
First Impression ที่โดนใจตั้งแต่แรกฟังหนีไม่พ้น แทร็คที่สาม Genocide ชอบตั้งแต่บีทขึ้นเพลงโคตรเท่ห์ vibe เพลงมันได้ แขกรับเชิญถึงผมไม่รู้จักมักคุ้นเลย แต่แย่งซีนได้อยู่หมัด ตั้งแต่ท่อนฮุกที่โคตรติดหู และประชดประชันสุดๆ
Call 9-1-1, emergency
Hands up in the air for the world to see
It's murder, it's murder, murder, murder (Murder)
ท่อนแร็พเปอร์หญิง Candice Pillay โคตรแย่งซีนเลยล่ะ สำเนียงแอฟริกันนิดๆมีส่วนทำให้เพลงนี้เด่นขึ้นมาทันที โดยไม่ต้องอาศัยเดรหรือ Kendrick แต่อย่างใด มันเป็นเพลงที่มีจังหวะเท่ห์ก็จริง แต่แอบแฝงความน่ากลัว มันไม่ใช่เพลงที่ฟังเอาเท่ห์เลยล่ะ
2 เพลงต่อมาดูเหมือนจะป็อบแร็พมากที่สุดในชุดนี้เลยล่ะ It's All On Me (Ft. Justus & BJ The Chicago Kid) ดูเหมือนจะติดหูสุด ส่วน All In A Day's Work (Ft. Anderson Paak) ฟังได้เรื่อยๆครับผม
Darkside/Gone (Ft. King Mez, Marsha Ambrosius & Kendrick Lamar) เป็นแทร็คที่น่าสนใจ ตัวเพลงแบ่งออกเป็นสองพาร์ท พาร์ทแรก จะออกไปในทาง Trap Rap King Mez เล่าถึงการใช้ชีวิตแบบแก๊งค์อันธพาลในอดีต ตอนหลังค้นพบว่าชีวิตแบบนี้มันไม่ใช่ตัวเองเลย ส่วนพาร์ทสองเดรก็เสียดสีชีวิตที่เคยหลงระเริงชื่อเสียงในอดีต จนถึงขั้นทะเลาะกับเพื่อนรักร่วมวง Easy-E (จะเห็นได้ว่าเดรเคยเปิดศึกกับ Easy-E ตั้งแต่แยกวง N.W.A มาทำ The Chronic จนกลายเป็นคู่ Beef แห่งประวัติศาสตร์ฮิพฮอพ) จนกระทั่ง Easy-E ตายด้วยโรคเอดส์ แต่ก็สายเกินไปแล้วที่จะเอาเพื่อนเก่าเขากลับมา เป็นพาร์ทที่ฟังแล้วสะเทือนใจอยู่ไม่น้อย เปียโนหลอนๆ ส่วน Kendrick ก็แร็พถึงชีวิตที่ต้องรับมือกับชื่อเสียงของตัวเองเหมือนกันครับ เพื่อไม่ให้ตัวเองใช้ชื่อเสียงไปในทางที่ผิดนั่นเอง ท่อนนี้ทำให้ผมนึกถึงเพลงในอัลบั้ม To Pimp A Butterfly อยู่เหมือนกัน
Loose Cannons (Ft. Xzibit & COLD 187um) ดิบ เถื่อน และโรคจิตโคตรๆ มันทำให้ผมนึกถึงเพลงสไตล์เอมิเน็มในอัลบั้มชุดแรกๆเลย Xzibit แร็พแบบกระแทกๆ COLD 187um