หน้าแรก
คอมมูนิตี้
ห้อง
แท็ก
คลับ
ห้อง
แก้ไขปักหมุด
ดูทั้งหมด
เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง
ลองใหม่
แท็ก
แก้ไขปักหมุด
ดูเพิ่มเติม
เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง
ลองใหม่
{room_name}
{name}
{description}
กิจกรรม
แลกพอยต์
อื่นๆ
ตั้งกระทู้
เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก
เว็บไซต์ในเครือ
Bloggang
Pantown
PantipMarket
Maggang
ติดตามพันทิป
ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้
เกี่ยวกับเรา
กฎ กติกา และมารยาท
คำแนะนำการโพสต์แสดงความเห็น
นโยบายเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล
สิทธิ์การใช้งานของสมาชิก
ติดต่อทีมงาน Pantip
ติดต่อลงโฆษณา
ร่วมงานกับ Pantip
Download App Pantip
Pantip Certified Developer
[CR] "ก่อนเปิดเทอมเราจะไม่ไปไหนกันหรอ?" จัดไป กาญจนบุรี 3 วัน 2 คืน แบบเรื่อยๆเมื่อยก็พัก (รูปเยอะ)
กระทู้รีวิว
จังหวัดกาญจนบุรี
เที่ยวไทย
บันทึกนักเดินทาง
ชีวิตวัยรุ่น
สวัสดีเพื่อนๆชาวพันทิปทุกคนครับ ครั้งนี้จะเป็นกระทู้ที่ 2 ที่ผมเขียนขึ้นเพื่อแชร์ประสบการณ์การท่องเที่ยวกับเพื่อนๆของผม จะเป็นยังไงมาชมกันเลยครับ
ทริปนี้เกิดขึ้นจากที่ว่าพวกเรามีความว่างสูงและอยากมีทริปสักทริปนึงก่อนจะไปเผชิญชะตากรรมเด็กมหาลัยตอนเปิดเทอม เลยตัดสินใจกันไปเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งถือเป็นครั้งแรกสำหรับผมที่มาเที่ยวจังหวัดนี้ครับ
** ภาพที่ใช้จะเป็นภาพผสมระหว่างกล้อง DLSR / กล้องฟิล์ม / กล้องไอโฟน นะครับ ผมประมาทไปหน่อยที่ไม่เอาที่ชาจแบตกล้องไปเพราะคิดว่าแบตยังเต็มอยู่ สรุปแบตหมดวันที่ 2 ครับ ผมเสียดายมาก
การเดินทางเริ่มต้นที่เดิมเหมือนกับหลายๆทริปคืออนุสาวรีย์ครับ ผมขึ้นคิวรถตู้ตรงที่เลยหัวมุม7-11 เป็นร้านกาแฟ แล้วเป็นซอยมีคิวรถตู้อยู่ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชัวโมงกว่าๆก็มาถึงจังหวัดกาญจนบุรีครับ
ตอนอยู่บนรถพวกเราก็คุยกันว่าจะไปลงที่ไหนยังไง บลาๆ แล้วลุงคนขับได้ยินเลยถามว่าจะไปลงไหนกัน เพราะปกติสุดสายจะอยู่ที่ขนส่งกาญจนบุรี พวกเราจะไปลงที่สถานีรถไฟกาญจนบุรี คุณลุงคนขับเลยบอกว่าเดียวไปส่ง แต่ขอคิดเงินเพิ่มอีกนิดหน่อยพวกเราก็โอเค เพราะบวกนิดเดียวและสะดวก ฮ่าๆ
มาถึงที่สถานีรถไฟกันแล้วครับ จะบอกว่าพวกผมโชคดีมากๆเพราะมาถึงแล้วมีรถไฟจอดรอรับผู้โดยสารอยู่ พวกเราก็รีบกุลีกุจอกันใหญ่ รับซื้อตั๋วรถไฟแล้วขึ้นเพราะกลัวว่าจะตกรถไฟ โดยสถานที่แรกที่เราจะไปคือถ้ำกระแสครับ คือพวกเรายังไม่เข้าที่พักกันครับแต่จะไปเที่ยวทางรถไฟสายมรณะกันก่อน
บนรถไฟจะมีคุณป้าขายน้ำขายอาหารเดินขายของอยู่บนรถไฟ ภาพความทรงจำวัยเด็กของผมนี่ย้อนกลับมาเลยฮ่าๆ คิดถึงสมัยเด็กจริงๆ
เราใช้เวลาเดินทางราวๆ 2 ชั่วโมงครับ เมื่อยมากเพราะยืนตลอดทางเลยเนืองจากมีผู้โดยสารขึ้นเยอะมากๆ จากสถานีกาญจบุรีมาลงสถานีถ้ำกระแซ (ประมาณ 40 กิโล แต่เดินทางนานมากกกกกก)
ด้วยความที่พวกเราออกเดินทางแต่เช้าและยังไม่ได้ทานอะไรเลยแวะทานอาหารกันก่อนครับ เป็นร้านอาหารของรีสอร์ทที่อยู่ติดกับสถานีรถไฟ บรรยากาศโดยรอบรีสอร์ทดีมากครับ สวนทางกับรสชาติอาหาร โดยผมแอบผิดหวังในต้มยำมาก ชิมคำแรกคือใช่เลยคนอน์ก้อนรสต้มยำเพราะผมคาดหวังว่าราคานี้ควรจะปรุงสดมากกว่า ส่วนข้าวพริกแกงหมูอร่อยปกติดีครับ พอท้องอิ่มแล้วก็ลุยกันต่อเลย
หลังจากถ่ายรูปและเยี่ยมชมสถานที่เสร็จแล้วพวกเราก็มานั่งรอรถไฟครับ และโชคก้เข้าข้างพวกเราอีกแล้วครับที่ตามตารางบอกว่ารถไฟจะมาประมาณ 15.30 น.และรถไฟมาตรงเวลาพอดี และโชคดีอีกที่มีที่นั่งให้พวกเราได้นั่งกลับไปยังสถานีสะพานแควใหญ่เพื่อไปยังที่พักครับ
ที่พักคืนแรกเราพักกันที่ Bure Homestay เป็นอาคารตึกแถวครับ คุณป้าเจ้าของใจดีมากๆ คือตอนแรกพวกเราโทรถามทางเพื่อไปทีพัก ไปๆมาๆไม่น่ารอดคุณป้าเลยมารับพวกเราไปยังที่พักครับ เย้ จากนั้นก็เก็บของให้เสร็จสับแล้วออกไปหาข้าวเย็นกินกัน แน่นอนว่าจะเดินไปก็ไกลอยู่ พวกเราเลยเช่าจักรยานกับทางที่พัก ปั่นกันไปเลยครับยาวๆ
แนะนำว่าให้ปั่นกันระวังๆหน่อยก็ดีครับ คนไม่เร็สแต่ว่ารถค่อนข้างเยอะ ประกอบกับมีรถจอดริมทางและทางก็ไม่กว้างมากด้วย อาจจะลำบากคนปั่นจักรยานหน่อย แต่ยังดีที่คนขับรถยนต์ที่นั่นก็ใจดีกับจักรยานอยู่เหมือนกันครับ
พวกเราไปหาข้าวกินกันที่ร้านนี้ครับชื่อร้านแซ่บ แซ่บ โดยคุณป้าที่พักเป็นคนแนะนำมา เป็นร้านส้มตำอาหารอีสาน รสชาติแซ่บจริง ปริมาณกลางๆและราคาน่าคบครับ ใครแวะไปแนะนำให้ไปลองกันดู สั่งกันไปประมาณ 5-6 อย่างเสียแค่ 200 กว่าๆเองครับ จบจากข้าวเย็นก็กลับที่พัก กลับมาอัพรูปอวดเพื่อนๆและเม้ามอยกันยาวๆ ปล.wi-fi ที่พักไวมาก ปลื้มมากๆครับ
วันที่ 2 พวกเราตื่นแต่เช้าครับเพื่อที่จะไปถ่ายรูปที่ สะพานแควใหญ่หรือสะพานข้ามแม่น้ำแคว ครับ เพราะเช้าๆคนยังน้อยอยู่และแสงกำลังดี ฮ่าๆ ถ่ายรูปกันรัวๆ
แล้วก็ไปต่อกันที่สุสานดอนรักครับ ถ่ายมานิดเดียวจริงๆ .___.
แล้วเพื่อนที่น่ารักคนนึงก็บอกว่าอยากไปกินคาเฟ่ร้านหนึ่งชื่อร้านสิทธิสังข์ ขนมอร่อยมาก ด้วยความอยากก็อดทนครับปั่นกันไปเกือบๆ 3 กิโล และเมนูที่เพื่อนบอกคือ ไมโลภูเขาไฟ พวกผมนี่ลั่นเลย แต่รสชาติก็ดีครับ ราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับรสชาติและปริมาณ
นั่งกันไปนานอยู่ครับ คุยกัน กินขนม วางแผนการเที่ยวต่อ ไปๆมาๆก็เกือบเที่ยง พวกเราเริ่มหิวเลยข้ามฝั่งไปร้านตรงข้ามครับ ร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อว่าทัคซัง เป็นอีกร้านนึงเช่นกันที่ดูรีวิวมาว่าอร่อย ทานกันไปก็หลายก็เฉยๆครับไม่ได้อร่อยมากหรือแย่ แต่ราคาไม่แพง ของค่อนข้างสด ส่วนตัวผมโอเคครับ
หลังจากอิ่มกันเต็มที่พวกเราก็กลับที่พักเพื่อเตรียมเดินทางไปไทรโยคกันต่อครับ โดยหลังจากเชคเอ้าท์คุณป้าใจดีกับพวกเราอีกแล้วครับพาไปส่งที่ขนส่งให้อีกแล้ว แถมมีขนมปังกรอบมาให้ด้วย บอกว่ากลัวพวกเราจะหิวระหว่างเดินทาง น่ารักมากๆ
การเดินทางไปยังไทรโยคนั้นพวกเราขึ้นรถประจำทางที่เขียนว่าไปสังขละบุรีครับ โดยบอกเขาว่าลงไทรโยค ถ้าหาไม่เจอถามพี่ๆแถวนั้นก็ได้ครับ เสียค่าโดยสารคนละ 40 บาทใช้เวลาเดินทางราวๆ 1 ชั่วโมงก็มาถึงไทรโยคครับ
แวะถ่ายรูปกับน้ำตกหน่อย (ไหนละน้ำ)
จากนั้นพวกเราก็หาทางไปที่พักครับ พวกเราพักกันที่บ้านภูฟ้ารีสอร์ท โทรไปกับทางรีสอร์ทแล้วพบว่าจะเสียค่าใช้จ่ายในการมารับพวกเราโดยพี่เขาบอกว่ารีสอร์ทอยู่ลึกเข้าไปจากถนนใหญ่ประมาณ 2-3 กิโลเมตร ด้วยความที่พวกเราไม่รีบ อากาศกำลังสบายๆ และที่สำคัญคือไม่อยากเสียเงิน พวกเราตงลงเดินกันเข้าไปครับ
เดินกันไปได้สักเกือบกิโลก็พบด่านเต็มเลยครับ ด่านที่ว่าคือฝูงหมาที่ยิ้มให้พร้อมส่งเสียงประมาณว่า ผ่านมาโดนกัดแน่นอน พวกเราทำอะไรไม่ถูกแล้วตัดสินใจว่ายอมเสียตังแล้วกัน สู้กับหมาไม่ไหวจริงๆ แต่โชคก็เข้าข้างเราอีกแล้วคือมีลุงขับมอไซต์พ่วงผ่านมาพร้อมถามพวกเราว่าจะไปไหนกัน (สงสัยลุงเห็นหมากำลังจะลุม) พวกเราก็บอกไป ลุงก็บอกว่าเดียวไปส่งให้ แต่ขอค่าน้ำมันนิดหน่อยแล้วแต่พวกเราจะให้ พวกเราก็ตกลงครับ ด้วยตอนนั้นกลัวหมามาก
มาถึงที่พักกันแล้วครับ พวกเราเลือกนอนที่แพริมน้ำกันครับ บรรยากาศสงบ มีความเป็นส่วนตัว อากาศเย็น แต่เสียดาย wi-fi ไม่มีครับ มีแค่ตรงบริเวณส่วนกลาง เก็บของเสร็จก็มานั่งเล่นกันริมแพเลย ตอนแรกจะไปล่องแพกันต่อครับแต่ว่าฝนตก บวกกับตอนนั้นเย็นแล้วด้วย เลยเลื่อนไปล่องแพกันตอนเช้าครับ
วันต่อมาตื่นเช้ามาพวกเรารีบไปทานอาหารกันแต่เช้าเลยครับ มีความหลากหลาย พนักงานดูแลดีครับ เติมอาหารตลอดชอบมาก ฮ่าๆ ทานเสร็จก็เตรียมตัวไปล่องแพกันครับ ต้องขอโทษด้วยครับที่ไม่มีรูปตอนล่องแพ เพราะว่าไม่ได้พกอะไรกันไปเลยกลัวตกน้ำ แต่บนแพจะมีที่วางของครับไม่เปียก ถ้าใครอยากเอากล้องไปได้ครับ การล่องแพคือการที่มีเรือมารับพวกเราที่รีสอร์ทแล้วพาเราทวนน้ำไปยังต้นน้ำ ซึ่งจะมีแพลอยอยู่ครับให้พวกเราขึ้นไปนั่ง จากนั้นก็ปล่อยแพให้ไหลไปตามกระแสน้ำครับ พวกเราก็กระโดนน้ำเล่นกันได้เลย มีค่าใช้จ่ายคนละ 200 บาทครับ
กลับจากล่องแพชมธรรมชาติและเล่นน้ำ พวกเราเก็บของแล้วเชคเอาท์ออกจากโรงแรมครับ ไปยังสถานที่ต่อไปคือ ช่องเขาขาด โดยใช้บริการคุณลุงคนเดิมที่มาเจอพวกเราโดนหมาลุม (แอบแลกเบอร์ไว้ตอนลุงมาส่ง) โดยลุงมาส่งที่ป้ายรอรถประจำทางที่ถนนใหญ่เพื่อให้พวกเราขึ้นรถไปต่อครับ โดยขึ้นรถสายเดิมกับตอนมาครั้งแรกและโชคดีอีกแล้ว ผมไม่ได้พูดเล่นนะครับโชคดีจริงๆคือมารอรถไม่นาน แปปเดียวรถมาแล้วครับ ขึ้นไปบอกกับกระเป๋ารถว่าไปช่องเขาขาด เสียค่าเดินทาง 50 บาท (มารู้ทีหลังครับว่าโดนโกง เดียวจะเล่าตอนหลัง) ใช้เวลาเดินทางไม่นานครับ ประมาณ 20 นาทีก็ถึง
การจะไปที่จะไปยังพิพิธภัณฑ์ต้องเข้าไปอีกครับครับประมาณ 1 กิโลจากข้างนอกที่พวกผมลงเป็นเหมือนกรมเกษตรอะไรสักอย่างครับ โดยข้างในพิพิธภัณฑ์จะเป็นประวัติของช่องเขาขาด ความเป็นมาของทางรถไฟสายมรณะ อ่านแล้วก็ขนลุกครับ ที่ในอดีตเคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น
การที่จะไปยังช่องเขาขาดจริงๆตอนเดินไปอีกครับ ราวๆ 500 เมตรจากนั้นก็ถ่ายรูปกันรัวๆ
ที่จริงมีรูปอีกครับแต่ว่าอยู่ในฟิล์มม้วนที่ 2 ซึ่งยังถ่ายไม่หมดเลยยังไม่ได้นำไปล้างครับ
ชื่อสินค้า:
กาญจนบุรี ไทรโยค ช่องเขาขาด
คะแนน:
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น
แก้ไขข้อความเมื่อ
▼
กำลังโหลดข้อมูล...
▼
แสดงความคิดเห็น
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
รบกวนเข้ามาช่วยจัดตารางท่องเที่ยวกาญจนบุรี2วัน1คืน โดยรถไฟฟรี
ช่วงวันหยุดนี้เรามีแพลนจะนั่งรถไฟฟรีไปกาญจนบุรีกับเพื่อนกันสองคนคะ แต่เรายังจัดตารางการท่องเที่ยวไม่ได้เลย ไม่รู้จะเดินทางไปแต่ละที่ได้ยังไงคะ โดยอันดับแรกเราจะนั่งรถไฟฟรีจากสถานีธนบุรีเวลา7.50คะ คาด
สมาชิกหมายเลข 1147088
โรงแรม The OneFive Sendai เซนได โรงแรมราคา(ไม่แพง)ใกล้แหล่งช้อปปิ้ง
โรงแรม The OneFive Sendai เซนได โรงแรมราคา(ไม่แพง)ใกล้แหล่งช้อปปิ้ง- เดินจากสถานีรถไฟ JR และ สถานีรถไฟ Shinkanzen(ชินคันเซ็น) ประมาน 5นาที ร้านอาหารและร้านสะดวกซื้อตลอดทั้งเส้นโรงแรมน่ารัก ตรงปก ที่นอ
สมาชิกหมายเลข 8576338
รีสอร์ทแถวไทรโยคน้อยรีสอร์ทไหนมีบ้างคะ
คือประเด็น เรา อยากไปเที่ยวที่น้ำตกไทรโยคน้อยนั่งรถไฟไป จากสถานีหนองปลาดุกถึงสถานีน้ำตก อยากหา รีสอร์ทที่ใกล้ใกล้หรือติดน้ำตกไทรโยคน้อย มีบริการรับส่งจากสถานีรถไฟไปที่รีสอร์ท แล้วก็มีมอเตอร์ไซค์ให้เช่
สมาชิกหมายเลข 6330119
กาญจนบุรี - ไทรโยค - สังขละบุรี 3 วัน 2 คืน ไม่ง้อรถส่วนตัว
แบกกระเป๋าเที่ยวมาก็หลายที่ มี Pantip เป็น Travel Guide อยากจะเขียนรีวิวการเดินทาง แต่ก็ดองไว้จนที่สุดก็ไม่ได้เขียน พึ่งไปกาญจนบุรีมาเมื่อ 9-11 กันยายน 2559 ที่ผ่านมา เลยลองหยิบทริปสั้นๆ มาเขียนเป็นกร
ProudHatsaya
รบกวนแนะนำเส้นทางเที่ยวกาญฯ ทีครับ
เริ่มต้นเดินทางจากกรุงเทพวันศุกร์ กลับวันอาทิตย์ พักที่ รีสอร์ท เรือนริมแคว ต.ท่าเสา อ.ไทรโยค แต่ยังไม่แน่ใจว่า จะต้องวางแผนการเดินทางไปตรงไหนดีบ้าง ที่คิดว่าอยากแวะไปก็มีตามนี้ครับ -วัดถ้ำกระแซะ (
หิมะ
กาญจนบุรี - ช่วยแนะนำร้านอาหารแถวๆน้ำตกไทรโยคน้อย หรือ ช่องเขาขาด ให้หน่อยครับ
กำลังวางทริปเที่ยวเมืองกาญอยู่ครับ ในแพลน จะมีอยู่ 1 วันที่ตอนเที่ยง น่าจะอยู่แถวๆ น้ำตกไทรโยคน้อย หรือไม่ก็ ช่องเขาขาด ไม่ทราบ เพื่อนๆ พอจะแนะนำร้านอาหาร อร่อยๆแถวนั้นได้ไหมครับ ถ้าไม่มีแบบร้านอาหาร
อัยเรศ
การเดินทางจากสถานีกาญจนบุรี ไปน้ำตกเอราวัณ
ขอสอบถามครับผมกับเพื่อนมีทริปไปเที่ยวกาญจนบุรี จะนั่งรถไฟจากกรุงเทพไปลงที่สถานีกาญจนบุรี ผมมีแพลนว่าจะไปเที่ยวที่น้ำตกเอราวัณ แล้วก็ไปพักที่แพ เดอะวอเตอร์ปาร์ครีสอร์ท(ตรงเขื่อนศรีนครินทร์) อยากทราบว่
สมาชิกหมายเลข 8768235
กาญจนบุรี แม่น้ำแควน้อย แควใหญ่ หมู่บ้านมอญ และ อนุสรณ์ช่องเขาขาด
กาญจนบุรี หนึ่งในเมืองท่องเที่ยวที่น่าสนใจใกล้กรุงเทพไม่กี่ชั่วโมง มีประวัติศาสตร์มากมายช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ที่น่าเศร้าและน่าสนใจ เราไปเที่ยวกัน เลยค่ะ ทุ่งทานตะวัน หมู่บ้านญี่ปุ่น
สมาชิกหมายเลข 8658249
จากไทรโยคจะไปเขื่อนศรีนครินทร์ยังไงครับ? ไม่มีรถส่วนตัว
พอดีมีแพลนจะไปกาญครับ วันแรกพักที่ โก๋ เมืองกาญ แถวๆไทรโยคครับ วันที่สองจะไปพักแถวเขื่อนศรีนครินทร์ แต่ไม่รู้ว่ามีวิธีการเดินทางยังไงบ้างครับ จากกรุงเทพอยากไปลงที่สถานีรถไฟน้ำตก แล้วหาที่เช่ามอเตอร์ไ
สมาชิกหมายเลข 5112512
ช่วยจัดแพลนลำดับจุดเที่ยวเมืองกาญจน์
รบกวนเพื่อน ๆ ที่เคยไปเที่ยวเมืองกาญจ์หรือคนพื้นที่ช่วยแนะนำจัดลำดับสถานที่เที่ยวให้ด้วยครับ เดินทางจากกรุงเทพ ขับรถไปเองครับ คืนแรกจะพักที่รีสอร์ทแพใน อ. ศรีสวัสดิ์ คื
สมาชิกหมายเลข 7006515
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
จังหวัดกาญจนบุรี
เที่ยวไทย
บันทึกนักเดินทาง
ชีวิตวัยรุ่น
บนสุด
ล่างสุด
อ่านเฉพาะข้อความเจ้าของกระทู้
หน้า:
หน้า
จาก
แชร์ :
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน
อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
ยอมรับ
[CR] "ก่อนเปิดเทอมเราจะไม่ไปไหนกันหรอ?" จัดไป กาญจนบุรี 3 วัน 2 คืน แบบเรื่อยๆเมื่อยก็พัก (รูปเยอะ)
ทริปนี้เกิดขึ้นจากที่ว่าพวกเรามีความว่างสูงและอยากมีทริปสักทริปนึงก่อนจะไปเผชิญชะตากรรมเด็กมหาลัยตอนเปิดเทอม เลยตัดสินใจกันไปเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งถือเป็นครั้งแรกสำหรับผมที่มาเที่ยวจังหวัดนี้ครับ
** ภาพที่ใช้จะเป็นภาพผสมระหว่างกล้อง DLSR / กล้องฟิล์ม / กล้องไอโฟน นะครับ ผมประมาทไปหน่อยที่ไม่เอาที่ชาจแบตกล้องไปเพราะคิดว่าแบตยังเต็มอยู่ สรุปแบตหมดวันที่ 2 ครับ ผมเสียดายมาก
การเดินทางเริ่มต้นที่เดิมเหมือนกับหลายๆทริปคืออนุสาวรีย์ครับ ผมขึ้นคิวรถตู้ตรงที่เลยหัวมุม7-11 เป็นร้านกาแฟ แล้วเป็นซอยมีคิวรถตู้อยู่ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชัวโมงกว่าๆก็มาถึงจังหวัดกาญจนบุรีครับ
ตอนอยู่บนรถพวกเราก็คุยกันว่าจะไปลงที่ไหนยังไง บลาๆ แล้วลุงคนขับได้ยินเลยถามว่าจะไปลงไหนกัน เพราะปกติสุดสายจะอยู่ที่ขนส่งกาญจนบุรี พวกเราจะไปลงที่สถานีรถไฟกาญจนบุรี คุณลุงคนขับเลยบอกว่าเดียวไปส่ง แต่ขอคิดเงินเพิ่มอีกนิดหน่อยพวกเราก็โอเค เพราะบวกนิดเดียวและสะดวก ฮ่าๆ
มาถึงที่สถานีรถไฟกันแล้วครับ จะบอกว่าพวกผมโชคดีมากๆเพราะมาถึงแล้วมีรถไฟจอดรอรับผู้โดยสารอยู่ พวกเราก็รีบกุลีกุจอกันใหญ่ รับซื้อตั๋วรถไฟแล้วขึ้นเพราะกลัวว่าจะตกรถไฟ โดยสถานที่แรกที่เราจะไปคือถ้ำกระแสครับ คือพวกเรายังไม่เข้าที่พักกันครับแต่จะไปเที่ยวทางรถไฟสายมรณะกันก่อน
บนรถไฟจะมีคุณป้าขายน้ำขายอาหารเดินขายของอยู่บนรถไฟ ภาพความทรงจำวัยเด็กของผมนี่ย้อนกลับมาเลยฮ่าๆ คิดถึงสมัยเด็กจริงๆ
ด้วยความที่พวกเราออกเดินทางแต่เช้าและยังไม่ได้ทานอะไรเลยแวะทานอาหารกันก่อนครับ เป็นร้านอาหารของรีสอร์ทที่อยู่ติดกับสถานีรถไฟ บรรยากาศโดยรอบรีสอร์ทดีมากครับ สวนทางกับรสชาติอาหาร โดยผมแอบผิดหวังในต้มยำมาก ชิมคำแรกคือใช่เลยคนอน์ก้อนรสต้มยำเพราะผมคาดหวังว่าราคานี้ควรจะปรุงสดมากกว่า ส่วนข้าวพริกแกงหมูอร่อยปกติดีครับ พอท้องอิ่มแล้วก็ลุยกันต่อเลย
หลังจากถ่ายรูปและเยี่ยมชมสถานที่เสร็จแล้วพวกเราก็มานั่งรอรถไฟครับ และโชคก้เข้าข้างพวกเราอีกแล้วครับที่ตามตารางบอกว่ารถไฟจะมาประมาณ 15.30 น.และรถไฟมาตรงเวลาพอดี และโชคดีอีกที่มีที่นั่งให้พวกเราได้นั่งกลับไปยังสถานีสะพานแควใหญ่เพื่อไปยังที่พักครับ
ที่พักคืนแรกเราพักกันที่ Bure Homestay เป็นอาคารตึกแถวครับ คุณป้าเจ้าของใจดีมากๆ คือตอนแรกพวกเราโทรถามทางเพื่อไปทีพัก ไปๆมาๆไม่น่ารอดคุณป้าเลยมารับพวกเราไปยังที่พักครับ เย้ จากนั้นก็เก็บของให้เสร็จสับแล้วออกไปหาข้าวเย็นกินกัน แน่นอนว่าจะเดินไปก็ไกลอยู่ พวกเราเลยเช่าจักรยานกับทางที่พัก ปั่นกันไปเลยครับยาวๆ
แนะนำว่าให้ปั่นกันระวังๆหน่อยก็ดีครับ คนไม่เร็สแต่ว่ารถค่อนข้างเยอะ ประกอบกับมีรถจอดริมทางและทางก็ไม่กว้างมากด้วย อาจจะลำบากคนปั่นจักรยานหน่อย แต่ยังดีที่คนขับรถยนต์ที่นั่นก็ใจดีกับจักรยานอยู่เหมือนกันครับ
พวกเราไปหาข้าวกินกันที่ร้านนี้ครับชื่อร้านแซ่บ แซ่บ โดยคุณป้าที่พักเป็นคนแนะนำมา เป็นร้านส้มตำอาหารอีสาน รสชาติแซ่บจริง ปริมาณกลางๆและราคาน่าคบครับ ใครแวะไปแนะนำให้ไปลองกันดู สั่งกันไปประมาณ 5-6 อย่างเสียแค่ 200 กว่าๆเองครับ จบจากข้าวเย็นก็กลับที่พัก กลับมาอัพรูปอวดเพื่อนๆและเม้ามอยกันยาวๆ ปล.wi-fi ที่พักไวมาก ปลื้มมากๆครับ
วันที่ 2 พวกเราตื่นแต่เช้าครับเพื่อที่จะไปถ่ายรูปที่ สะพานแควใหญ่หรือสะพานข้ามแม่น้ำแคว ครับ เพราะเช้าๆคนยังน้อยอยู่และแสงกำลังดี ฮ่าๆ ถ่ายรูปกันรัวๆ
แล้วก็ไปต่อกันที่สุสานดอนรักครับ ถ่ายมานิดเดียวจริงๆ .___.
แล้วเพื่อนที่น่ารักคนนึงก็บอกว่าอยากไปกินคาเฟ่ร้านหนึ่งชื่อร้านสิทธิสังข์ ขนมอร่อยมาก ด้วยความอยากก็อดทนครับปั่นกันไปเกือบๆ 3 กิโล และเมนูที่เพื่อนบอกคือ ไมโลภูเขาไฟ พวกผมนี่ลั่นเลย แต่รสชาติก็ดีครับ ราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับรสชาติและปริมาณ
นั่งกันไปนานอยู่ครับ คุยกัน กินขนม วางแผนการเที่ยวต่อ ไปๆมาๆก็เกือบเที่ยง พวกเราเริ่มหิวเลยข้ามฝั่งไปร้านตรงข้ามครับ ร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อว่าทัคซัง เป็นอีกร้านนึงเช่นกันที่ดูรีวิวมาว่าอร่อย ทานกันไปก็หลายก็เฉยๆครับไม่ได้อร่อยมากหรือแย่ แต่ราคาไม่แพง ของค่อนข้างสด ส่วนตัวผมโอเคครับ
หลังจากอิ่มกันเต็มที่พวกเราก็กลับที่พักเพื่อเตรียมเดินทางไปไทรโยคกันต่อครับ โดยหลังจากเชคเอ้าท์คุณป้าใจดีกับพวกเราอีกแล้วครับพาไปส่งที่ขนส่งให้อีกแล้ว แถมมีขนมปังกรอบมาให้ด้วย บอกว่ากลัวพวกเราจะหิวระหว่างเดินทาง น่ารักมากๆ
การเดินทางไปยังไทรโยคนั้นพวกเราขึ้นรถประจำทางที่เขียนว่าไปสังขละบุรีครับ โดยบอกเขาว่าลงไทรโยค ถ้าหาไม่เจอถามพี่ๆแถวนั้นก็ได้ครับ เสียค่าโดยสารคนละ 40 บาทใช้เวลาเดินทางราวๆ 1 ชั่วโมงก็มาถึงไทรโยคครับ
แวะถ่ายรูปกับน้ำตกหน่อย (ไหนละน้ำ)
จากนั้นพวกเราก็หาทางไปที่พักครับ พวกเราพักกันที่บ้านภูฟ้ารีสอร์ท โทรไปกับทางรีสอร์ทแล้วพบว่าจะเสียค่าใช้จ่ายในการมารับพวกเราโดยพี่เขาบอกว่ารีสอร์ทอยู่ลึกเข้าไปจากถนนใหญ่ประมาณ 2-3 กิโลเมตร ด้วยความที่พวกเราไม่รีบ อากาศกำลังสบายๆ และที่สำคัญคือไม่อยากเสียเงิน พวกเราตงลงเดินกันเข้าไปครับ
เดินกันไปได้สักเกือบกิโลก็พบด่านเต็มเลยครับ ด่านที่ว่าคือฝูงหมาที่ยิ้มให้พร้อมส่งเสียงประมาณว่า ผ่านมาโดนกัดแน่นอน พวกเราทำอะไรไม่ถูกแล้วตัดสินใจว่ายอมเสียตังแล้วกัน สู้กับหมาไม่ไหวจริงๆ แต่โชคก็เข้าข้างเราอีกแล้วคือมีลุงขับมอไซต์พ่วงผ่านมาพร้อมถามพวกเราว่าจะไปไหนกัน (สงสัยลุงเห็นหมากำลังจะลุม) พวกเราก็บอกไป ลุงก็บอกว่าเดียวไปส่งให้ แต่ขอค่าน้ำมันนิดหน่อยแล้วแต่พวกเราจะให้ พวกเราก็ตกลงครับ ด้วยตอนนั้นกลัวหมามาก
มาถึงที่พักกันแล้วครับ พวกเราเลือกนอนที่แพริมน้ำกันครับ บรรยากาศสงบ มีความเป็นส่วนตัว อากาศเย็น แต่เสียดาย wi-fi ไม่มีครับ มีแค่ตรงบริเวณส่วนกลาง เก็บของเสร็จก็มานั่งเล่นกันริมแพเลย ตอนแรกจะไปล่องแพกันต่อครับแต่ว่าฝนตก บวกกับตอนนั้นเย็นแล้วด้วย เลยเลื่อนไปล่องแพกันตอนเช้าครับ
วันต่อมาตื่นเช้ามาพวกเรารีบไปทานอาหารกันแต่เช้าเลยครับ มีความหลากหลาย พนักงานดูแลดีครับ เติมอาหารตลอดชอบมาก ฮ่าๆ ทานเสร็จก็เตรียมตัวไปล่องแพกันครับ ต้องขอโทษด้วยครับที่ไม่มีรูปตอนล่องแพ เพราะว่าไม่ได้พกอะไรกันไปเลยกลัวตกน้ำ แต่บนแพจะมีที่วางของครับไม่เปียก ถ้าใครอยากเอากล้องไปได้ครับ การล่องแพคือการที่มีเรือมารับพวกเราที่รีสอร์ทแล้วพาเราทวนน้ำไปยังต้นน้ำ ซึ่งจะมีแพลอยอยู่ครับให้พวกเราขึ้นไปนั่ง จากนั้นก็ปล่อยแพให้ไหลไปตามกระแสน้ำครับ พวกเราก็กระโดนน้ำเล่นกันได้เลย มีค่าใช้จ่ายคนละ 200 บาทครับ
กลับจากล่องแพชมธรรมชาติและเล่นน้ำ พวกเราเก็บของแล้วเชคเอาท์ออกจากโรงแรมครับ ไปยังสถานที่ต่อไปคือ ช่องเขาขาด โดยใช้บริการคุณลุงคนเดิมที่มาเจอพวกเราโดนหมาลุม (แอบแลกเบอร์ไว้ตอนลุงมาส่ง) โดยลุงมาส่งที่ป้ายรอรถประจำทางที่ถนนใหญ่เพื่อให้พวกเราขึ้นรถไปต่อครับ โดยขึ้นรถสายเดิมกับตอนมาครั้งแรกและโชคดีอีกแล้ว ผมไม่ได้พูดเล่นนะครับโชคดีจริงๆคือมารอรถไม่นาน แปปเดียวรถมาแล้วครับ ขึ้นไปบอกกับกระเป๋ารถว่าไปช่องเขาขาด เสียค่าเดินทาง 50 บาท (มารู้ทีหลังครับว่าโดนโกง เดียวจะเล่าตอนหลัง) ใช้เวลาเดินทางไม่นานครับ ประมาณ 20 นาทีก็ถึง
การจะไปที่จะไปยังพิพิธภัณฑ์ต้องเข้าไปอีกครับครับประมาณ 1 กิโลจากข้างนอกที่พวกผมลงเป็นเหมือนกรมเกษตรอะไรสักอย่างครับ โดยข้างในพิพิธภัณฑ์จะเป็นประวัติของช่องเขาขาด ความเป็นมาของทางรถไฟสายมรณะ อ่านแล้วก็ขนลุกครับ ที่ในอดีตเคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น
การที่จะไปยังช่องเขาขาดจริงๆตอนเดินไปอีกครับ ราวๆ 500 เมตรจากนั้นก็ถ่ายรูปกันรัวๆ
ที่จริงมีรูปอีกครับแต่ว่าอยู่ในฟิล์มม้วนที่ 2 ซึ่งยังถ่ายไม่หมดเลยยังไม่ได้นำไปล้างครับ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น