พระสมัยก่อนก็ให้ของขลังวัตถุมงคล พระสมัยนี้ก็ให้ต่างกันอย่างไร และสรุปแล้วคนไทยนับถือพระพุทธศาสนาเป็นหลัก หรือไสยศาสตร์เป็นหลักเรื่องการทำของขลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ชาวบ้าน หลายท่านพิจารณาแล้วก็บอกว่า พระเก่า ๆ สมัยก่อนก็เป็นเหมือนกันนี่ ท่านก็ให้เหมือนกัน ก็เลยต้องขอโอกาสพูดว่าไม่เหมือนกันพระสมัยก่อนของเราก็มีการให้ของขลังเหมือนกัน มีพระที่เรานับถือว่าศักดิ์สิทธิ์ อาจจะเรียกว่าเก่างทางไสยศาสตร์ก็ได้ ท่านมีเวทมนต์อะไรต่างๆ แต่ความนับถือสมัยก่อนพร้อมทั้งพฤติกรรมของพระสงฆ์เหล่านั้นกับสมัยนี้ ไม่เหมือนกัน ถอยหลังไปแค่สัก ๔๐ ๕๐ ปีเท่านั้น จะต่างจากสมัยนี้
จะขอเล่าเรื่องตัวบุคคลมาเป็นตัวอย่างก็แล้วกัน ตัวอย่างนี้ขอนำเรื่องหลวงพ่อของกระผมเองมาเล่า คือ หลวงพ่อวัดบ้านกร่าง วัดบ้านกร่างนั้นเป็นวัดหนึ่งที่มีชื่อในเรื่องพระขลัง หลายท่านรู้จักพระขุนแผนวัดบ้านกร่าง หลวงพ่อวัดบ้านกร่างที่ผมจะเล่านี้เป็นอุปัชฌาย์ตอนกระผมบวชเณร ถ้าท่านอยู่บัดนี้ก็อายุเกินร้อยไปแล้ว แต่ท่านถึงมรณภาพไปแล้วเมื่ออายุประมาณ ๙๐ ปี ท่านเป็นที่นับถืออย่างกว้างขวางว่าเป็นผู้ที่ขลังมาก ชาวบ้านมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ ถูกผีเข้า ถูกทำคุณไสย์ ก็มาหาท่าน ท่านก็ช่วยแก้ไขให้ หลวงพ่อวัดบ้านกร่างเป็นที่นับถือมาก จนกระทั่งว่าเวลาท่านจะทำอะไร คนก็พร้อมเพรียงกันมาให้แรงงานเต็มที่ แม้กระทั่งจะย้ายวัด คือย้ายเสนาสนะอาคารทั้งวัดไปตั้งในที่ใหม่ ก็ไม่ต้องรื้อออก แต่ใช้กำลังคนมือเปล่ายกกุฏิและหอสวดมนต์เป็นต้น เดินไปวางในที่ที่ต้องการ เช่น ยกหอสวดมนต์ใหญ่ ญาติโยมก็ให้ช่างมาตัดเสาให้ แล้วก็เอาไม้ไผ่ขันขนาบเสา และผูกเพิ่มในระหว่างให้ถี่ พอให้คนลงไปยืนยกไม้ไผ่ช่องละคน พอถึงวันนัดประชาชนก็มาเต็มหมด เมื่อพร้อมกันแล้วก็ให้สัญญาณ คนจำนวนพันก็ยกหอสวดมนต์ ยกหอระฆัง ยกกุฏิไปทั้งหลัง เดินไปเลยเหมือน หอสวดมนต์และกุฏิเป็นต้นเดินได้ ก็สำเร็จ นี่ก็เพราะความเชื่อความศรัทธา ทีนี้ที่ว่าท่านมีชื่อในเรื่องขลังนั้น จริยวัตรของท่านเป็นอย่างไร ปรากฏว่า ในชีวิตประจำวัน ท่านไม่เคยพูดถึงเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของขลังเลย มนต์คาถาไม่เคยพูดถึง สิ่งที่ท่านทำคืออะไร คือ สอนธรรมะ
สอนชาวบ้านว่าควรจะประพฤติตัวอย่างไร ดำเนินชีวิตอย่างไร ทำมาหากินอย่างไร อยู่ร่วมกันอย่างไร สอนลูกศิษย์ฝ่ายพระสงฆ์ว่าควรจะตั้งตนอยู่ในธรรมวินัยอย่างไร สิ่งที่ท่านทำก็คือการสอนธรรมะ แต่เวลามีชาวบ้านหรือลูกศิษย์คนไหนเกิดเหตุร้าย ผีเข้า ถูกทำคุณไสย์ อย่างที่ว่าเมื่อกี้ มาหาท่านท่านก็ทำให้เฉพาะตัวเฉพาะราย แก้ไขบำบัดปัดเป่า ให้เขาพ้นจากภัยอันตรายเหล่านั้นไปได้ ก็จบเท่านั้น อันนี้เป็นสิ่งที่น่าสังเกต ขอเล่าต่ออีกนิดหนึ่ง ของดีของท่านเช่นพระเครื่องนี่ อย่าว่าแต่จะเอาปัจจัยไปถวายเลย ไปขอก็ไม่ให้ ถ้าท่านจะให้ ท่านให้เอง ท่านพิจารณา ก็คงเหมือนกับพระโบราณทั้งหลาย เวลาลูกศิษย์เติบโต เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา จะย้ายถิ่นฐาน ไปทำมาหาเลี้ยงชีพ ถ้าเป็นคนดีท่านพิจารณาแล้วท่านก็เรียกมาเฉพาะตัวแล้วก็บอกว่า เธอนะเป็นคนดี ตอนนี้เธอจะไปอยู่ในถิ่นฐานอื่น ฉันจะให้ของดีไว้คุ้มครอง เอานะพระองค์นี้เอาไปรักษาไว้ แล้วขอให้ประพฤติตัวให้ดีตั้งใจขยันหมั่นเพียรทำมาหากินโดยสุจริต ดำเนินชีวิตอยู่ในศีลในธรรม จงทำความดีอย่างนี้ ๆ อย่าทำความชั่วอย่างนั้น ๆ กำกับศีลธรรมไปเสร็จ ของดีนั้นเมื่อลูกศิษย์รับไปแล้วก็เก็บไว้เป็นของสำคัญเพราะอุปัชฌาย์อาจารย์ให้มา เก็บรักษาไว้อย่างดีจนกระทั่งถึงรุ่นลูก ตัวเองแก่แล้วหรือลูกโตแล้วก็มอบให้ลูก แล้วก็จะกำกับ และกำชับแบบเดียวกัน
เช่นว่า พระนี้อุปัชฌาย์ของตนให้มา (หรือปู่ให้มา) พ่อเคารพบูชาเก็บรักษไว้อย่างดีที่สุด เวลานี้ลูกโตแล้วพ่อจะให้ลูกไว้คุ้มครองตัว ขอให้ตั้งใจประพฤติดี ตั้งใจทำมาหากิน และเก็บรักษาพระนี้ไว้ให้ดี จากนั้นลูกก็มอบให้ลูกของลูกต่อไปอีก พระหรือของดีนั้น ก็จะสืบทอดกันไป ทั้งเป็นของที่หาได้ยากและสืบสายไปในวงศ์ตระกูล เท่าที่เล่ามานี้ทำให้มองเห็นความหมายอย่างไรบ้าง แล้วลองนำมาเทียบกับสมัยปัจจุบัน สิ่งที่ต้องการพูดในที่นี้ก็คือ เราจะเห็นว่า การนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของขลังสมัยก่อนนั้น ยังมีพระพุทธศาสนาเป็นหลัก ตัวแกนที่ปรากฏเด่นชัดก็คือธรรมะ หรือคำสอนศีลธรรม การทำความดี เว้นจากความชั่ว อันนี้เป็นหลัก ส่วนของขลังไสยศาสตร์เป็นของที่พ่วงแอบอยู่ และเป็นสื่อหรือเป็นสะพานทอดเปิดทางให้แก่ธรรม ลักษณะสำคัญที่ควรสังเกต ๓ ประการ คือ
ประการที่หนึ่ง ของขลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์และไสยศาสตร์เหล่านี้ พระสมัยก่อนท่านรู้ไว้ มีไว้ และให้เพื่ออะไร ขอใช้คำว่า มีไว้สำหรับปิดช่องความหวั่นใจพุทธศาสนิกชนชาวบ้านทั้งหลายนี้ โดยทั่วไปก็เป็นปุถุชนสภาพจิตของปุถุชนย่อมมีจุดอ่อนอย่างหนึ่งคือ ควาไม่มั่นใจเกี่ยวกับความเป็นไปในชีวิต ความที่ยังหวดในอำนาจเร้นลับที่มองไม่เห็น ถึงแม้มาเป็นพุทธศาสนิกชนและเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ยังอดหวาดกังวลไม่ได้ มาหาหลวงพ่อท่านสอนธรรมะให้ ตัวเองฟังแล้วในใจก็ยังหวั่นอยู่นั่นแหละ เวลาเกิดเหตุการณ์ร้าย ๆ ขึ้นมาก็ยังห่วงยังหวาดอยู่ว่าจะมีอะไรเร้นลับที่บันดาล มีเทพเจ้าหรือผีสางกลั่นแกล้ง หรืออาจถูกผู้นั้นผู้นี้ทำคุณไสย์ให้ เพราะฉะนั้นก็กังวลไม่สบายใจ ทีนี้ถ้ามาหาพระแล้วพระได้แต่สอนเอา ๆ ให้ธรรมะไป ตัวเองก็เชื่อตามนั้น แต่ความหวั่นใจ หรือความหวาดก็ยังมีอยู่ ไม่แน่ใจเต็มที่ กลับไปบ้านแล้วคิดกลับไปกลับมา ดีไม่ดีก็นึกขึ้นว่า เอ! เราเอาอะไรประกันตัวปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า ก็เลยตอดไปหาหมอผี ไปหาหมอไสยศาสตร์ พอไปหาแล้ว หมอผีหรือหมอไสยศาสตร์ก็อาจเรียกร้องเงินทองมาก และบางทีเรื่องไม่หยุดแค่นั้น หมอผีไสยศาสตร์อาจจะบอกให้ทำอะไรต่ออะไรต่อไปอีก ดีไม่ดีก็ชักจูงออกจากพระศาสนาไปหลงติดในเรื่องอย่างนั้น หรืออาจจะให้ทำสิ่งที่เป็นเรื่องเลวร้ายที่เป็นเรื่องของกิเลส โลภะ โทสะ เช่นบอกว่า คนนี้เขาทำเธอมานะ ต้องแก้แค้น ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ไปกันใหญ่ เพราะฉะนั้นพระของเราจึงต้องมีไว้บ้าง บางองค์ต้องเป็นผู้ที่เก่งกว่าพวกหมอผีคุณไสย์เหล่านั้น แกทำได้ฉันก็ทำได้ แต่ฉันทำในแง่ดีอย่างเดียว เป็นเรื่องคุณอย่างเดียว แก้ไขอย่างเดียว แกทำมาฉันแก้ได้ ให้เก่งกว่าพวกผีไสย์เหล่านั้น ตามแนวที่ว่ามีฤทธิ์ไว้ปราบฤทธิ์ เพราะฉะนั้น มีเรื่องอะไร พอมาที่พระแล้วท่านปิดช่องให้เสร็จ มาแล้วสบายใจไม่ต้องไปหาหมอผีอีกก็หมดเรื่องกันไป แล้วยังสอนธรรมหรือหลักศีลธรรมขมวดท้ายไปด้วย จึงเป็นการปิดช่องความหวั่นใจให้แก่พุทธศาสนิกชน แต่ท่านใช้แค่เป็นเครื่องปิดช่องความหวั่นใจเท่านั้น เข้าทำนองคติที่ว่าเอาฤทธิ์ปราบฤทธิ์ ปราบเสร็จแล้วก็เอาธรรมให้ เพราะฉะนั้นเรื่องผีสางคุณไสย์จึงไม่สามารถเกลื่อนกลาดดาษดาไปแน่นอน เพราะว่าตัวหลักยังคุมอยู่ คือธรรมวินัย ได้แก่หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นตัวหลักเป็นตัวปรากฏเด่น อนึ่ง ยังมีเหตุผลสำคัญที่พระของเราสมัยก่อนต้องใช้วิธีนี้ และการที่เรื่องเหล่านี้ยังมีอยู่ ทั้งที่คนไทยแทบทั้งหมดนับถือพระพุทธศาสนา เหตุผลประการแรก ก็คือ ความเชื่อผีสางสิ่งศักดิ์สิทธิ์และการนับถือศาสนาพราหมณ์นั้น มีอยู่ในสังคมไทยก่อนพระพุทธศาสนาจะเข้ามาด้วยซ้ำไป ความเชื่อเหล่านี้ยังไม่หมดไป ก็อยู่คู่กันมากับพระพุทธศาสนา
เหตุผลใหญ่ข้อต่อไปก็คือ พระพุทธศาสนาไม่มีการบังคับศรัทธา ไม่ใช้กำลังหรือวิธีการบีบบังคับให้เขาเปลี่ยนความนับถือ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา และปัญญาเป็นสิ่งที่บังคับยัดเยียดใส่ให้กันไม่ได้ ต้องค่อย ๆ สอนค่อย ๆ แนะนำกันไป พระสงฆ์จึงต้องยอมรับคนเหล่านี้ตามที่เขาเป็นอยู่แล้ว เข้าไปสั่งสอนแนะนำเขาด้วยเมตตากรุณา ค่อย ๆ ช่วยให้เขาพัฒนากำลังใจและปัญญาขึ้นมา เมื่อเขาพัฒนาขึ้น เขาก็จะละเลิกความเชื่อถือเหล่านั้นไปได้เอง ข้อสำคัญอยู่ที่พระจะต้องยอมเหนื่อยยอมอดทน มีเมตตากรุณา ตั้งใจคอยให้ธรรม ไม่ละทิ้งหน้าที่ธรรมทานนี้ ในระหว่างนั้น ก็คอยปิดช่องความหวั่นใจให้เขาไปตามความจำเป็น พระบางองค์อาจจะสอนเก่งจริงจนทำให้คนจำนวนมากมีกำลังใจเข้าถึงปัญญา ชนิดข้ามพ้นสิ่งเหล่านี้ไปได้ทีเดียวเลย แต่ในหมู่ชาวบ้าน ก็ยังจะมีคนที่อ่อนกำลังใจอ่อนปัญญา ที่ต้องปิดช่องหวั่นใจอยู่นั่นแหละ เรื่องฤทธิ์เดชก็จึงยังมีอยู่ เพียงแต่ว่าตัวพระเองจะต้องไม่เสียหลัก ฤทธิ์เดชจะต้องถูกมองเป็นเรื่องเบ็ดเตล็ด และต้องเป็นเครื่องสื่อธรรม จะให้เด่นขึ้นมาบังธรรมไม่ได้เด็ดขาด
ประการที่สอง ก็คือ พระเครื่องของขลังวัตถุมงคลเหล่านั้นสมัยก่อนไม่มีราคา ไม่มีค่าเป็นเงินทอง จะให้ก็ให้ยากอย่างที่ว่า เช่นให้ต่อเมื่อเห็นว่าประพฤติดี แล้วก็ให้เปล่า ๆ ข้อนี้มาเทียบกับปัจจุบันจะเห็นว่าเป็นอย่างไร ปัจจุบันนี้มีราคาเป็นเงินเป็นทองจนบางทีกลายเป็นสินค้า
ประการที่สาม ก็คือ เป็นสิ่งเรียกร้องข้อกำหนดทางศีลธรรม เวลาจะให้ท่านจะบอกว่า เธอต้องเว้นความชั่วอันนั้น ต้องเว้นความชั่วอันนี้ ต้องประพฤติปฏิบัติตัวให้ดีอย่างนั้น ๆ พระจึงจะคุ้มครอง
เมื่อประมาณ ๕๐ ปีมาแล้ว ที่อำเภอศรีประจันต์ มีท่านขุนผู้หนึ่งเก่งมากในการปราบโจร ชื่อขุนศรีประจันต์รักษา เลื่องลือกันว่าท่านขุนมีของดีหนังเหนียวอยู่ยงคงกระพัน วันหนึ่งท่านขุนศรีฯ ไปปราบโจรแต่ถูกยิงตาย อ้าว! ทำไมล่ะ ชาวบ้านลือกันแซ่ดว่า ตอนนั้นไม่ทราบเกิดอะไรขึ้นท่านศรีฯ โกรธโจรขึ้นมาก็เผลอไปด่าแม่โจร พอด่าแม่โจรปั๊บ โจรยิงมาปังเดียว ตายเลย เขาบอกว่าอย่างนั้น อันนี้เป็นตัวอย่าง
ความเชื่อในของขลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องมากับคุณธรรมความดี ต้องเรียกร้องศีลธรรม เวลานี้เป็นอย่างไร ไม่มีการเรียกร้องศีลธรรม มีแต่เรียกร้องโชคลาภอย่างเดียว ต้องการโชคลาภก็เอาเงินไปเช่า/ซื้อเอามา เป็นอันว่าแค่นี้ก็จะได้โชคลาภ ก็หมดเรื่องกัน ศีลธรรมไม่ต้องประพฤติ กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ซื้อได้ด้วยเงิน แล้วแถมไม่มีคุณค่าทางศีลธรรม จริยธรรม ตรงกันข้ามกับสมัยก่อนหมดเลยวิปริตผันแปรกันไป
ของขลัง
จะขอเล่าเรื่องตัวบุคคลมาเป็นตัวอย่างก็แล้วกัน ตัวอย่างนี้ขอนำเรื่องหลวงพ่อของกระผมเองมาเล่า คือ หลวงพ่อวัดบ้านกร่าง วัดบ้านกร่างนั้นเป็นวัดหนึ่งที่มีชื่อในเรื่องพระขลัง หลายท่านรู้จักพระขุนแผนวัดบ้านกร่าง หลวงพ่อวัดบ้านกร่างที่ผมจะเล่านี้เป็นอุปัชฌาย์ตอนกระผมบวชเณร ถ้าท่านอยู่บัดนี้ก็อายุเกินร้อยไปแล้ว แต่ท่านถึงมรณภาพไปแล้วเมื่ออายุประมาณ ๙๐ ปี ท่านเป็นที่นับถืออย่างกว้างขวางว่าเป็นผู้ที่ขลังมาก ชาวบ้านมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ ถูกผีเข้า ถูกทำคุณไสย์ ก็มาหาท่าน ท่านก็ช่วยแก้ไขให้ หลวงพ่อวัดบ้านกร่างเป็นที่นับถือมาก จนกระทั่งว่าเวลาท่านจะทำอะไร คนก็พร้อมเพรียงกันมาให้แรงงานเต็มที่ แม้กระทั่งจะย้ายวัด คือย้ายเสนาสนะอาคารทั้งวัดไปตั้งในที่ใหม่ ก็ไม่ต้องรื้อออก แต่ใช้กำลังคนมือเปล่ายกกุฏิและหอสวดมนต์เป็นต้น เดินไปวางในที่ที่ต้องการ เช่น ยกหอสวดมนต์ใหญ่ ญาติโยมก็ให้ช่างมาตัดเสาให้ แล้วก็เอาไม้ไผ่ขันขนาบเสา และผูกเพิ่มในระหว่างให้ถี่ พอให้คนลงไปยืนยกไม้ไผ่ช่องละคน พอถึงวันนัดประชาชนก็มาเต็มหมด เมื่อพร้อมกันแล้วก็ให้สัญญาณ คนจำนวนพันก็ยกหอสวดมนต์ ยกหอระฆัง ยกกุฏิไปทั้งหลัง เดินไปเลยเหมือน หอสวดมนต์และกุฏิเป็นต้นเดินได้ ก็สำเร็จ นี่ก็เพราะความเชื่อความศรัทธา ทีนี้ที่ว่าท่านมีชื่อในเรื่องขลังนั้น จริยวัตรของท่านเป็นอย่างไร ปรากฏว่า ในชีวิตประจำวัน ท่านไม่เคยพูดถึงเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของขลังเลย มนต์คาถาไม่เคยพูดถึง สิ่งที่ท่านทำคืออะไร คือ สอนธรรมะ
สอนชาวบ้านว่าควรจะประพฤติตัวอย่างไร ดำเนินชีวิตอย่างไร ทำมาหากินอย่างไร อยู่ร่วมกันอย่างไร สอนลูกศิษย์ฝ่ายพระสงฆ์ว่าควรจะตั้งตนอยู่ในธรรมวินัยอย่างไร สิ่งที่ท่านทำก็คือการสอนธรรมะ แต่เวลามีชาวบ้านหรือลูกศิษย์คนไหนเกิดเหตุร้าย ผีเข้า ถูกทำคุณไสย์ อย่างที่ว่าเมื่อกี้ มาหาท่านท่านก็ทำให้เฉพาะตัวเฉพาะราย แก้ไขบำบัดปัดเป่า ให้เขาพ้นจากภัยอันตรายเหล่านั้นไปได้ ก็จบเท่านั้น อันนี้เป็นสิ่งที่น่าสังเกต ขอเล่าต่ออีกนิดหนึ่ง ของดีของท่านเช่นพระเครื่องนี่ อย่าว่าแต่จะเอาปัจจัยไปถวายเลย ไปขอก็ไม่ให้ ถ้าท่านจะให้ ท่านให้เอง ท่านพิจารณา ก็คงเหมือนกับพระโบราณทั้งหลาย เวลาลูกศิษย์เติบโต เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา จะย้ายถิ่นฐาน ไปทำมาหาเลี้ยงชีพ ถ้าเป็นคนดีท่านพิจารณาแล้วท่านก็เรียกมาเฉพาะตัวแล้วก็บอกว่า เธอนะเป็นคนดี ตอนนี้เธอจะไปอยู่ในถิ่นฐานอื่น ฉันจะให้ของดีไว้คุ้มครอง เอานะพระองค์นี้เอาไปรักษาไว้ แล้วขอให้ประพฤติตัวให้ดีตั้งใจขยันหมั่นเพียรทำมาหากินโดยสุจริต ดำเนินชีวิตอยู่ในศีลในธรรม จงทำความดีอย่างนี้ ๆ อย่าทำความชั่วอย่างนั้น ๆ กำกับศีลธรรมไปเสร็จ ของดีนั้นเมื่อลูกศิษย์รับไปแล้วก็เก็บไว้เป็นของสำคัญเพราะอุปัชฌาย์อาจารย์ให้มา เก็บรักษาไว้อย่างดีจนกระทั่งถึงรุ่นลูก ตัวเองแก่แล้วหรือลูกโตแล้วก็มอบให้ลูก แล้วก็จะกำกับ และกำชับแบบเดียวกัน
เช่นว่า พระนี้อุปัชฌาย์ของตนให้มา (หรือปู่ให้มา) พ่อเคารพบูชาเก็บรักษไว้อย่างดีที่สุด เวลานี้ลูกโตแล้วพ่อจะให้ลูกไว้คุ้มครองตัว ขอให้ตั้งใจประพฤติดี ตั้งใจทำมาหากิน และเก็บรักษาพระนี้ไว้ให้ดี จากนั้นลูกก็มอบให้ลูกของลูกต่อไปอีก พระหรือของดีนั้น ก็จะสืบทอดกันไป ทั้งเป็นของที่หาได้ยากและสืบสายไปในวงศ์ตระกูล เท่าที่เล่ามานี้ทำให้มองเห็นความหมายอย่างไรบ้าง แล้วลองนำมาเทียบกับสมัยปัจจุบัน สิ่งที่ต้องการพูดในที่นี้ก็คือ เราจะเห็นว่า การนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของขลังสมัยก่อนนั้น ยังมีพระพุทธศาสนาเป็นหลัก ตัวแกนที่ปรากฏเด่นชัดก็คือธรรมะ หรือคำสอนศีลธรรม การทำความดี เว้นจากความชั่ว อันนี้เป็นหลัก ส่วนของขลังไสยศาสตร์เป็นของที่พ่วงแอบอยู่ และเป็นสื่อหรือเป็นสะพานทอดเปิดทางให้แก่ธรรม ลักษณะสำคัญที่ควรสังเกต ๓ ประการ คือ
ประการที่หนึ่ง ของขลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์และไสยศาสตร์เหล่านี้ พระสมัยก่อนท่านรู้ไว้ มีไว้ และให้เพื่ออะไร ขอใช้คำว่า มีไว้สำหรับปิดช่องความหวั่นใจพุทธศาสนิกชนชาวบ้านทั้งหลายนี้ โดยทั่วไปก็เป็นปุถุชนสภาพจิตของปุถุชนย่อมมีจุดอ่อนอย่างหนึ่งคือ ควาไม่มั่นใจเกี่ยวกับความเป็นไปในชีวิต ความที่ยังหวดในอำนาจเร้นลับที่มองไม่เห็น ถึงแม้มาเป็นพุทธศาสนิกชนและเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ยังอดหวาดกังวลไม่ได้ มาหาหลวงพ่อท่านสอนธรรมะให้ ตัวเองฟังแล้วในใจก็ยังหวั่นอยู่นั่นแหละ เวลาเกิดเหตุการณ์ร้าย ๆ ขึ้นมาก็ยังห่วงยังหวาดอยู่ว่าจะมีอะไรเร้นลับที่บันดาล มีเทพเจ้าหรือผีสางกลั่นแกล้ง หรืออาจถูกผู้นั้นผู้นี้ทำคุณไสย์ให้ เพราะฉะนั้นก็กังวลไม่สบายใจ ทีนี้ถ้ามาหาพระแล้วพระได้แต่สอนเอา ๆ ให้ธรรมะไป ตัวเองก็เชื่อตามนั้น แต่ความหวั่นใจ หรือความหวาดก็ยังมีอยู่ ไม่แน่ใจเต็มที่ กลับไปบ้านแล้วคิดกลับไปกลับมา ดีไม่ดีก็นึกขึ้นว่า เอ! เราเอาอะไรประกันตัวปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า ก็เลยตอดไปหาหมอผี ไปหาหมอไสยศาสตร์ พอไปหาแล้ว หมอผีหรือหมอไสยศาสตร์ก็อาจเรียกร้องเงินทองมาก และบางทีเรื่องไม่หยุดแค่นั้น หมอผีไสยศาสตร์อาจจะบอกให้ทำอะไรต่ออะไรต่อไปอีก ดีไม่ดีก็ชักจูงออกจากพระศาสนาไปหลงติดในเรื่องอย่างนั้น หรืออาจจะให้ทำสิ่งที่เป็นเรื่องเลวร้ายที่เป็นเรื่องของกิเลส โลภะ โทสะ เช่นบอกว่า คนนี้เขาทำเธอมานะ ต้องแก้แค้น ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ไปกันใหญ่ เพราะฉะนั้นพระของเราจึงต้องมีไว้บ้าง บางองค์ต้องเป็นผู้ที่เก่งกว่าพวกหมอผีคุณไสย์เหล่านั้น แกทำได้ฉันก็ทำได้ แต่ฉันทำในแง่ดีอย่างเดียว เป็นเรื่องคุณอย่างเดียว แก้ไขอย่างเดียว แกทำมาฉันแก้ได้ ให้เก่งกว่าพวกผีไสย์เหล่านั้น ตามแนวที่ว่ามีฤทธิ์ไว้ปราบฤทธิ์ เพราะฉะนั้น มีเรื่องอะไร พอมาที่พระแล้วท่านปิดช่องให้เสร็จ มาแล้วสบายใจไม่ต้องไปหาหมอผีอีกก็หมดเรื่องกันไป แล้วยังสอนธรรมหรือหลักศีลธรรมขมวดท้ายไปด้วย จึงเป็นการปิดช่องความหวั่นใจให้แก่พุทธศาสนิกชน แต่ท่านใช้แค่เป็นเครื่องปิดช่องความหวั่นใจเท่านั้น เข้าทำนองคติที่ว่าเอาฤทธิ์ปราบฤทธิ์ ปราบเสร็จแล้วก็เอาธรรมให้ เพราะฉะนั้นเรื่องผีสางคุณไสย์จึงไม่สามารถเกลื่อนกลาดดาษดาไปแน่นอน เพราะว่าตัวหลักยังคุมอยู่ คือธรรมวินัย ได้แก่หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นตัวหลักเป็นตัวปรากฏเด่น อนึ่ง ยังมีเหตุผลสำคัญที่พระของเราสมัยก่อนต้องใช้วิธีนี้ และการที่เรื่องเหล่านี้ยังมีอยู่ ทั้งที่คนไทยแทบทั้งหมดนับถือพระพุทธศาสนา เหตุผลประการแรก ก็คือ ความเชื่อผีสางสิ่งศักดิ์สิทธิ์และการนับถือศาสนาพราหมณ์นั้น มีอยู่ในสังคมไทยก่อนพระพุทธศาสนาจะเข้ามาด้วยซ้ำไป ความเชื่อเหล่านี้ยังไม่หมดไป ก็อยู่คู่กันมากับพระพุทธศาสนา
เหตุผลใหญ่ข้อต่อไปก็คือ พระพุทธศาสนาไม่มีการบังคับศรัทธา ไม่ใช้กำลังหรือวิธีการบีบบังคับให้เขาเปลี่ยนความนับถือ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา และปัญญาเป็นสิ่งที่บังคับยัดเยียดใส่ให้กันไม่ได้ ต้องค่อย ๆ สอนค่อย ๆ แนะนำกันไป พระสงฆ์จึงต้องยอมรับคนเหล่านี้ตามที่เขาเป็นอยู่แล้ว เข้าไปสั่งสอนแนะนำเขาด้วยเมตตากรุณา ค่อย ๆ ช่วยให้เขาพัฒนากำลังใจและปัญญาขึ้นมา เมื่อเขาพัฒนาขึ้น เขาก็จะละเลิกความเชื่อถือเหล่านั้นไปได้เอง ข้อสำคัญอยู่ที่พระจะต้องยอมเหนื่อยยอมอดทน มีเมตตากรุณา ตั้งใจคอยให้ธรรม ไม่ละทิ้งหน้าที่ธรรมทานนี้ ในระหว่างนั้น ก็คอยปิดช่องความหวั่นใจให้เขาไปตามความจำเป็น พระบางองค์อาจจะสอนเก่งจริงจนทำให้คนจำนวนมากมีกำลังใจเข้าถึงปัญญา ชนิดข้ามพ้นสิ่งเหล่านี้ไปได้ทีเดียวเลย แต่ในหมู่ชาวบ้าน ก็ยังจะมีคนที่อ่อนกำลังใจอ่อนปัญญา ที่ต้องปิดช่องหวั่นใจอยู่นั่นแหละ เรื่องฤทธิ์เดชก็จึงยังมีอยู่ เพียงแต่ว่าตัวพระเองจะต้องไม่เสียหลัก ฤทธิ์เดชจะต้องถูกมองเป็นเรื่องเบ็ดเตล็ด และต้องเป็นเครื่องสื่อธรรม จะให้เด่นขึ้นมาบังธรรมไม่ได้เด็ดขาด
ประการที่สอง ก็คือ พระเครื่องของขลังวัตถุมงคลเหล่านั้นสมัยก่อนไม่มีราคา ไม่มีค่าเป็นเงินทอง จะให้ก็ให้ยากอย่างที่ว่า เช่นให้ต่อเมื่อเห็นว่าประพฤติดี แล้วก็ให้เปล่า ๆ ข้อนี้มาเทียบกับปัจจุบันจะเห็นว่าเป็นอย่างไร ปัจจุบันนี้มีราคาเป็นเงินเป็นทองจนบางทีกลายเป็นสินค้า
ประการที่สาม ก็คือ เป็นสิ่งเรียกร้องข้อกำหนดทางศีลธรรม เวลาจะให้ท่านจะบอกว่า เธอต้องเว้นความชั่วอันนั้น ต้องเว้นความชั่วอันนี้ ต้องประพฤติปฏิบัติตัวให้ดีอย่างนั้น ๆ พระจึงจะคุ้มครอง
เมื่อประมาณ ๕๐ ปีมาแล้ว ที่อำเภอศรีประจันต์ มีท่านขุนผู้หนึ่งเก่งมากในการปราบโจร ชื่อขุนศรีประจันต์รักษา เลื่องลือกันว่าท่านขุนมีของดีหนังเหนียวอยู่ยงคงกระพัน วันหนึ่งท่านขุนศรีฯ ไปปราบโจรแต่ถูกยิงตาย อ้าว! ทำไมล่ะ ชาวบ้านลือกันแซ่ดว่า ตอนนั้นไม่ทราบเกิดอะไรขึ้นท่านศรีฯ โกรธโจรขึ้นมาก็เผลอไปด่าแม่โจร พอด่าแม่โจรปั๊บ โจรยิงมาปังเดียว ตายเลย เขาบอกว่าอย่างนั้น อันนี้เป็นตัวอย่าง
ความเชื่อในของขลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องมากับคุณธรรมความดี ต้องเรียกร้องศีลธรรม เวลานี้เป็นอย่างไร ไม่มีการเรียกร้องศีลธรรม มีแต่เรียกร้องโชคลาภอย่างเดียว ต้องการโชคลาภก็เอาเงินไปเช่า/ซื้อเอามา เป็นอันว่าแค่นี้ก็จะได้โชคลาภ ก็หมดเรื่องกัน ศีลธรรมไม่ต้องประพฤติ กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ซื้อได้ด้วยเงิน แล้วแถมไม่มีคุณค่าทางศีลธรรม จริยธรรม ตรงกันข้ามกับสมัยก่อนหมดเลยวิปริตผันแปรกันไป