สู่เวียงสีปันจา(1)
เจ้าของร่างบอบบางวิ่งลงมาถึงบริเวณชายป่าได้อย่างไรไม่รู้ กังสดาลเริ่มรู้สึกว่าทุกอย่างเงียบสงบ แตกต่างจากภาพที่เธอเห็นเมื่อครู่มากนัก
ยามเช้าดวงตะวันสาดส่องแสงจ้า บ้านที่สร้างด้วยไม้ มุงด้วยหญ้าคาและใบตองรวมกันอยู่ตรงนั้นตรงนี้ บนทางเดินเต็มไปด้วยดินลูกรังฝุ่นฟุ้งกระจาย ดงหญ้าป่าไม้รายรอบยังดูอุดมสมบูรณ์มาก อย่างที่หญิงสาวไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต อีกทั้งไม่มีความโกลาหลหรือสงครามเกิดขึ้นแต่อย่างใด
กังสดาลเดินสวนกับผู้คนที่แต่งกายกันด้วยเสื้อผ้าฝ้ายสีพื้น ผู้ชายส่วนมากนุ่งกางเกงแบบขาก๊วย แต่ขมวดตรงเอว พับขารั้งให้สูงขึ้นเพื่อความคล่องตัว บ้างก็สวมเสื้อแขนยาวคอกลมผ่าอก บ้างก็ไม่สวมเสื้อ โพกศีรษะด้วยผ้า ไม่ก็ไว้ผมยาวขมวดเป็นจุกกลางหัว
บางคนแบกกระบุงบรรจุพืชผล แบกไม้ฟืน จูงวัวควาย ฯลฯ ส่วนผู้หญิงถ้าหน้าตาอ่อนวัยหน่อยก็ นุ่งผ้าถุงทั้งมีสีสันสดใสและทึบทึม สวมเสื้อแขนยาว สาบเสื้อป้ายทับไปทางขวาดูมิดชิด
แต่หากวัยกลางคนขึ้นไปมักสวมเสื้อแขนกุดตัวสั้นเต่อกับผ้าซิ่น คนสูงวัยเองก็จะใช้เพียงผ้าแถบพันอกเอาไว้แล้วห่มสไบผืนเล็กเฉียงๆ แต่ก็ยังเป็นสีพื้นๆ เสียส่วนใหญ่ และโดยมากจะโพกหัวด้วยผ้าเช่นกัน
แต่ที่คนเหล่านั้นดูเด่นสะดุดตาก็คือ ทั้งหญิงชายตั้งแต่วัยกลางคนขึ้นไป มักคาบอะไรบางอย่างที่มีลักษณะเป็นมวนยาวไว้ในปาก และพ่นควันออกมาโขมงพร้อมกลิ่นยาสูบไหม้ไฟ บ้างก็สูบจนมันสั้นจู๋หญิงสาวจึงเข้าใจว่ามันเป็นบุหรี่อีกแบบหนึ่งนั่นเอง
แต่ก็มีบางคนที่มีปากสีแดงแช้ด ฟันดำมะเมี่ยม และปากก็เคี้ยวหยับๆ อยู่ตลอดเวลา ก่อนจะบ้วนน้ำสีแดงนั้นลงกับพื้นปริ้ดหนึ่ง แล้วจึงเคี้ยวต่อ กลิ่นของมันก็แปลกประหลาดนักในความรู้สึกของกังสดาล
ตั้งแต่เกิดมาหญิงสาวอาจจะไม่เคยเห็นคนกินหมากมาก่อน แต่ก็พอรู้จากสื่อต่างๆ และเรื่องเล่าในอดีตอยู่บ้างว่ามันเป็นวัฒนธรรมและค่านิยมของคนโบราณ การกินหมากไม่ได้เป็นเพียงเรื่องความอยาก ความหิว ความอิ่มเพียงเท่านั้น
*1หากยังเป็นความพึงพอใจ ฟันที่ดำจากการกินหมากถือเป็นเรื่องปกติและความงามอย่างหนึ่งสำหรับคนในอดีต ถึงขนาดมีคำกล่าวกันว่า ‘หมาน่ะซี ที่มีฟันสีขาว’ และมีคำอธิษฐานขอต่อพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวงว่า ‘ขอให้ฟันดำเหมือนลูกหว้า ขอให้ปัญญาเหมือนพระมโหสถ’
ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะมีโอกาสได้เห็นของจริงในตอนนี้ แถมยังตกมาอยู่ท่ามกลางความแปลกประหลาดเหล่านี้ได้ แล้วตกลงที่นี่คือที่ไหนกัน กังสดาลถามตัวเอง
ขณะมองผู้คนที่ต่างเดินสวนทางกันไปมา ทักทายกันด้วยภาษาที่ฟังดูเหมือนภาษาเหนือ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคำ และเป็นสำเนียงเฉพาะ แม้จะพอฟังรู้เรื่องแต่ก็มีบางคำที่แปลกหูเกินกว่าจะเข้าใจได้ ผู้คนส่วนมากเดินเท้าเปล่า ด้วยท่าทีปกติ ไม่ได้ตื่นตระหนกตกใจอย่างที่ควรจะเป็น
หรือว่าความโกลาหลจากการล่มสลาย หรือสงครามที่เธอเห็นบนจุดสูงสุดเมื่อครู่นั้น เป็นเพียงภาพลวงตาที่ผู้เฒ่าคนนั้นสร้างขึ้นมาเพื่อให้เห็นถึงความหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า หรือที่นี่จะเป็นเวียงสีปันจาจริงๆ
หากเป็นเช่นนั้น เธอคงไม่อาจปฏิเสธคำขอร้องของชายชราคนนั้นได้อีกต่อไปแล้ว เพราะนอกจากจะเป็นภาวะจำยอมแล้ว อีกใจหนึ่งหากสามารถช่วยได้ กังสดาลก็ปรารถนาที่จะช่วยเต็มที่เหมือนกัน แต่ก่อนอื่นเธอต้องมั่นใจเสียก่อนว่าที่นี่คือเวียงสีปันจา
“พี่ พี่คะ ที่นี่ที่ไหนหรือคะ” คิดได้ดังนั้นหญิงสาวจึงตัดสินใจถามผู้หญิงวัยกลางคน ที่กำลังจะเดินผ่านเธอไป พร้อมลูกน้อยไม่สวมเสื้อผ้า
หญิงชาวบ้านหน้าตาดำมะเมี่ยมที่ปากก็เคี้ยวหมากหยับๆ กับลูกน้อยมองมา ราวกับพึ่งเห็นว่ากังสดาลยืนอยู่ตรงนี้ ความแปลกใจระคนงงงันปรากฏบนใบหน้า
“เจ้าเป็นใครรึ เหตุใดสำเนียงของเจ้าช่างแปร่งนัก อีกทั้งถ้อยคำ การแต่งกายของเจ้ารึก็ไม่น่าใช่คนถิ่นนี้” คำถามนั้นเป็นเหตุให้กังสดาลต้องหันกลับมามองตัวเอง
เธออยู่ในชุดนอนตัวยาวลายโดราเอม่อน การ์ตูนตัวโปรดตัวเดิม หากที่นี่เป็นเวียงสีปันจาจริง เธอก็คงเป็นตัวประหลาดแน่แท้
“เอ่อ... ฉันมาจากเมืองอื่นน่ะค่ะ ที่นี่คือเวียงสีปันจาหรือเปล่าคะ” หญิงสาวพยายามปัดไป และถามถึงสิ่งที่ต้องการรู้
“ใช่แล้ว เจ้ามาทำสิ่งใดที่เมืองเราหรือ” หญิงคนนั้นยังมองเธอแปลกๆ ตั้งแต่เท้ายันหัวโดยไม่สนเรื่องมารยาทสักนิด
แต่กังสดาลพยายามไม่สนใจท่าทีนั้น เพราะเมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าที่นี่คือที่ไหน ขั้นตอนต่อไปก็คือ หาทางไปพบเจ้าน้อยปิ่นเมืองให้เร็วที่สุด
“อ่า... คือ... ฉันมาเพื่อพบเจ้าน้อยปิ่นเมืองน่ะค่ะ ไม่ทราบว่าฉันจะพบท่านได้ที่ไหน” แต่ทว่าคำถามของเธอกลับสร้างความหวาดระแวงขึ้นในแววตาของหญิงชาวบ้านคนนั้นอย่างเห็นได้ชัด
นางหันซ้ายแลขวาแล้วกวักมือเรียกผู้ชายตัวใหญ่คนหนึ่งที่แบกไม้และกำลังจะผ่านไปพอดี ก่อนจะกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับผู้ชายคนนั้น ซึ่งก็มองสำรวจกังสดาลตั้งแต่หัวจรดเท้าไปด้วยเช่นกัน
“เจ้าเป็นผู้ใดกัน เหตุใดจึงต้องการพบเจ้าน้อยปิ่นเมือง” แล้วชายร่างใหญ่ก็ตั้งคำถามกับเธออีกครั้ง
“ฉันมาจากที่ๆ เอ่อ... พูดไปพวกท่านก็ไม่รู้จักหรอก แต่เอาเป็นว่าฉันต้องการพบเจ้าน้อยเพราะมีเรื่องสำคัญมากจะบอก” กังสดาลคิดว่าชายผู้นี้คงช่วยเธอได้ไม่มากก็น้อย เขาจ้องเธอเขม็งก่อนเอ่ยต่อ
“ถ้าเช่นนั้น จงบอกเรื่องสำคัญนั้นกับข้าเถิด ข้าจะเข้าไปในคุ้มเจ้าน้อยเพื่อบอกกล่าวความแก่ท่านเอง” ท่าทางชายคนนั้นไม่ได้เลวร้ายนักในความรู้สึกของหญิงสาว
และคิดว่าคงจะดีไม่น้อยหากทุกอย่างจบลงได้ในขั้นตอนเดียวอย่างนี้ เธอได้ช่วยเหลือบ้านเมืองนี้เต็มกำลังตามที่ผู้เฒ่าคนนั้นคาดหวัง แล้วก็จะได้กลับบ้านเสียที กังสดาลจึงยิ้มออกมาอย่างยินดี
“งั้นก็ดีน่ะสิ คือช่วยบอกเจ้าน้อยปิ่นเมืองด้วยนะคะว่าบ้านเมืองของพวกท่าน เวียงสีปันจากำลังจะถึงกาลล่มสลายในเร็ววันนี้ เจ้าน้อยจะต้องรีบทำการแก้ไข ไม่อย่างนั้นอีกไม่นานบ้านเมืองนี้จะลุกเป็นไฟ และล่มสลายไปอย่างหมดสิ้น” ถ้อยคำต่างๆ จึงพรั่งพรูออกมาจากปากของหญิงสาว โดยไม่เฉลียวใจสักนิด
“เจ้าว่าอะไรนะ?!! ” สิ้นคำของเธอชายหญิงคู่นั้นก็พากันตกตะลึง
“เจ้าช่างกล้า เจ้าแต่งกายประหลาด สำเนียงพูดจาแปลกๆ แถมยังมาสาปแช่งบ้านเมืองของพวกข้า เจ้าเป็นใครกันแน่ เป็นหมอผีเช่นนั้นหรือ” ก่อนที่หญิงคนนั้นจะตวาดเสียงดังด้วยความโกรธจัด
เสียงโวยวายนั้นส่งผลให้ผู้คนที่กำลังเดินผ่านไปมาเกิดความสนใจขึ้นมา จึงก้าวเข้ามารวมกลุ่มและหนาตาขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว แล้วต่างก็สอบถามกันไปมาถึงสาเหตุของอารมณ์ที่ปะทุ และหญิงคนนั้นก็บอกเล่าให้กับเพื่อนฝูง ผู้คนรายรอบถึงสิ่งที่กังสดาลพูดด้วยอารมณ์คุกรุ่นรุนแรง
ถ้อยคำเหล่านั้นแพร่สะพัดไปในกลุ่มคนมุง ทำให้ผู้คนเหล่านั้นต่างก็ส่งเสียงด่าทอกังสดาล ซึ่งกำลังตกใจจนทำอะไรไม่ถูกกับสิ่งที่เกิดขึ้น และนึกรู้อยู่ในใจว่าเธอพลาดไปเสียแล้ว
“นางต้องเป็นพวกสติไม่สมประดี ไม่ก็หมอผีมากอาคมจากสิขะปุระเป็นแน่ พวกเราเอานางไว้ไม่ได้แล้ว บ้านเมืองเรากำลังเข้าสู่ความรุ่งเรืองนางมาพูดจาเช่นนี้เท่ากับแช่งชักหักกระดูกพวกเรา”
“ใช่ นางคนนี้ต้องมาจากเมืองสิขะปุระเป็นแน่แท้”
“ต้องใช่แน่ๆ เอานางไว้ไม่ได้แล้ว จับตัวนางไปให้ทางการประหารเลยดีกว่า” ยังไม่ทันที่กังสดาลจะทำอะไร ผู้ชายตัวใหญ่หลายคนต่างก็กรูเข้ามาหาร่างบอบบาง ทั้งจับทั้งดึงทึ้ง
“มะ...ไม่ใช่นะ มันเป็นความจริง ฉันไม่ได้แช่ง แต่ท่านผู้เฒ่าคนหนึ่งบอกฉันมา” หญิงสาวตั้งสติได้พยายามตะโกนอธิบาย แต่ก็สายไปเสียแล้ว กลุ่มชายฉกรรจ์พากันเข้ามากลุ้มรุมเธอ ราวกับหมาป่ากำลังรุมขย้ำเหยื่อไร้ทางสู้กระนั้น
“ว้าย! อย่านะ ฉันไม่ใช่หมอผี หรือสติไม่ดีนะ ไม่ อย่า ปล่อย... ” กังสดาลรู้สึกถึงความเจ็บไปทั่วทั้งร่างเมื่อถูกชายฉกรรจ์เหล่านั้นจับแขนขาตรึงไว้ไม่ให้กระดิก
พอหญิงสาวอ้าปากร้องก็ถูกตบเข้าตรงใบหน้าเต็มแรง ยิ่งเธอดิ้นรนขัดขืนก็ถูกชกเข้าที่ท้อง ท่ามกลางเสียงสนับสนุนดังเซ่งแซ่ ไม่รู้เสียงใครเป็นเสียงใคร ต่างก็แสดงถึงความสะอกสะใจที่สามารถกำราบเธอได้ ราวกับบ้านป่าเมืองเถื่อนก็ไม่ปาน
วูบหนึ่งกังสดาลได้แต่ถามตัวเองว่า นี่เธอกำลังทำอะไรอยู่? สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความจริงหรือความฝันกันแน่ หากเป็นความฝันมันคงเป็นฝันร้าย และหญิงสาวก็ปรารถนาเหลือเกินที่จะเจอกับพี่ชายตอนตื่นลืมตาขึ้นมา
“หยุด!! นี่มันเกิดอะไรขึ้น” เสียงเต็มไปด้วยอำนาจตวาดก้องกลบเสียงเซ่งแซ่โดยรอบ กังสดาลมองเห็นภาพตรงหน้าพร่าพราย ในขณะที่สติจวนเจียนดับอยู่รอมร่อ
*-*-*-*-*-*
เบื้องหน้ากลุ่มชาวบ้าน ปรากฏร่างชายหนุ่มสามคนนั่งอยู่บนหลังม้า พวกเขาสวมเสื้อแขนยาวสีน้ำตาลเข้ม ผ่าหน้า ลำตัวสั้น คอเหมือนเสื้อจีน มีกระเป๋าที่ชายเสื้อ ทับกับด้านในที่เป็นเสื้อตัวยาวสีขาว
สวมกางเกงขายาวปลายกว้าง โพกศีรษะและคาดเอวด้วยผ้าสีน้ำตาลเข้ม รองเท้าทำจากหนังสัตว์แบบสานร้อยรัดถึงน่อง เหน็บมีดสั้นไว้ตรงเอว มือข้างหนึ่งดึงสายบังเหียนม้า
ส่วนมืออีกข้างถือดาบยาวปลายโค้ง ฝักของมันทำจากไม้ผสมเงินสลักลวดลายอ่อนช้อย เพียงแค่รูปลักษณ์นั้นก็ทำให้ชาวบ้านโค้งคำนับกันโดยถ้วนทั่ว เพราะนั่นบ่งบอกว่าทั้งสามคือทหารระดับสูงของเวียงสีปันจา
“ท่านทหารเจ้า นางแม่ญิงคนนี้เป็นพวกสิขะปุระ และเป็นหมอผีที่ลักลอบเข้ามาเมืองเราเพื่อทำร้ายเจ้าราชบุตรปิ่นเมือง พวกเราเลยต้องจับตัวนางเพื่อส่งทางการเจ้า” ผู้ชายคนที่กำลังจับร่างบอบบางขะมุกขะมอมนั้นเอาไว้รีบรายงานกับทหารทั้งสามในทันที ด้วยท่าทางพินอบพิเทา
“แม่ญิงคนนี้น่ะหรือ ปล่อยนางก่อนเถิด เราจะนำตัวนางไปส่งให้กับทางการเอง” สิ้นคำของทหารหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าสุด ร่างบางก็ร่วงลงไปกองบนพื้นดินพร้อมสติสุดท้าย
คนบนหลังม้าทั้งสามเห็นดังนั้นจึงรีบกระโดดลงมาเกือบพร้อมกัน ร่างสูงสง่าแบบทหารคนหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าสุด ปราดเข้าไปรั้งร่างของหญิงสาวขึ้นมาจากพื้น ก่อนที่ทหารอีกคนจะตามเข้ามาช่วยประคอง
“นางบอกว่าบ้านเมืองของเราจะล่มสลาย นางคนนี้สาปแช่งเวียง
สีปันจา ได้โปรดให้เจ้าราชบุตรพิจารณาโทษนางให้ถึงตายเถิดเจ้า” คำพูดของชาวบ้านที่รุมสกรัมหญิงสาวยังเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว ทำให้ชายหนุ่มทั้งสามผู้อยู่ในคราบทหารของเวียงสีปันจาหันมามองหน้ากันชั่วอึดใจ
“อย่าได้ห่วงเลย หากนางมีความผิดจริง ทางการจะจัดการกับนางตามที่เห็นสมควรเอง ขอบใจพวกเจ้ามากที่เป็นหูเป็นตาให้ทางการ ตอนนี้พวกเจ้าแยกย้ายกันไปได้แล้ว ที่เหลือพวกเราจะจัดการเอง” ทหารอีกคนที่ยืนคุมเชิงอยู่บอกกล่าวแก่ชาวบ้านโดยรอบ ก่อนที่จะค่อยๆ แยกย้ายกันไปพร้อมเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหวาดหวั่นขวัญเสียระคนสะอกสะใจ
“เราจะทำเยี่ยงไรกับนางดีเจ้า เวลาของเราก็มีน้อยเหลือเกิน” คนที่ช่วยประคองร่างของหญิงสาวถามขึ้นด้วยความนอบน้อม หลังจากบริเวณนั้นเหลือเพียงพวกเขาสามคน พร้อมกับร่างไร้สติของหญิงสาวแปลกหน้า
“คงทิ้งนางไว้ที่นี่ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นพวกชาวบ้านคงได้เอาชีวิตนางเป็นแน่ อีกอย่างตอนนี้พวกเราอยู่ในสภาพที่จะไปสั่งการคนอื่นก็มิได้เสียด้วย พานางกลับไปที่คุ้มหลวงด้วยก็แล้วกัน อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง” ชายหนุ่มใบหน้าหล่อคมคายซึ่งประคองร่างบางอีกด้านตอบ
“ตะ...แต่ว่า นางเป็นหมอผี เป็นพวกสิขะปุระนะเจ้า” ทหารอีกคนที่ยืนมองอยู่ค้านขึ้น
“เจ้าเชื่ออย่างที่ชาวบ้านพูดจริงๆ หรือนันตา” เจ้าของใบหน้าคมคายในชุดทหารของเวียงสีปันจา แต่มีศักดินาเกินทหารธรรมดาถาม
ก่อนจะก้มลงมองใบหน้าที่เปรอะไปด้วยฝุ่นดินและรอยช้ำในอ้อมแขน รอยยิ้มบางแต้มมุมปากชายหนุ่มโดยไม่ทันรู้ตัว
“หมอผีที่ไหนกันถึงได้สิ้นลายเยี่ยงนี้ แล้วยังสภาพเช่นนี้ด้วยแล้ว เราว่าแม่ญิงคนนี้ไม่มีฤทธิ์มากถึงเพียงนั้นหรอก แต่ที่เป็นไปก็เพราะความกลัวของคนต่างหาก”
“บางทีนางอาจจะแกล้งทำ เพื่อให้เราตายใจก็ได้นะเจ้า” ทหารสนิทคนเดิมยังคงทักท้วง ด้วยความเป็นห่วงเจ้านาย แต่เจ้าของใบหน้าหล่อคมคายกลับยิ้มน้อยๆ พร้อมส่ายหน้า
ปิ่นแก้วนครา ตอน สู่เวียงสีปันจา (1) โดยพิริตา
เจ้าของร่างบอบบางวิ่งลงมาถึงบริเวณชายป่าได้อย่างไรไม่รู้ กังสดาลเริ่มรู้สึกว่าทุกอย่างเงียบสงบ แตกต่างจากภาพที่เธอเห็นเมื่อครู่มากนัก
ยามเช้าดวงตะวันสาดส่องแสงจ้า บ้านที่สร้างด้วยไม้ มุงด้วยหญ้าคาและใบตองรวมกันอยู่ตรงนั้นตรงนี้ บนทางเดินเต็มไปด้วยดินลูกรังฝุ่นฟุ้งกระจาย ดงหญ้าป่าไม้รายรอบยังดูอุดมสมบูรณ์มาก อย่างที่หญิงสาวไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต อีกทั้งไม่มีความโกลาหลหรือสงครามเกิดขึ้นแต่อย่างใด
กังสดาลเดินสวนกับผู้คนที่แต่งกายกันด้วยเสื้อผ้าฝ้ายสีพื้น ผู้ชายส่วนมากนุ่งกางเกงแบบขาก๊วย แต่ขมวดตรงเอว พับขารั้งให้สูงขึ้นเพื่อความคล่องตัว บ้างก็สวมเสื้อแขนยาวคอกลมผ่าอก บ้างก็ไม่สวมเสื้อ โพกศีรษะด้วยผ้า ไม่ก็ไว้ผมยาวขมวดเป็นจุกกลางหัว
บางคนแบกกระบุงบรรจุพืชผล แบกไม้ฟืน จูงวัวควาย ฯลฯ ส่วนผู้หญิงถ้าหน้าตาอ่อนวัยหน่อยก็ นุ่งผ้าถุงทั้งมีสีสันสดใสและทึบทึม สวมเสื้อแขนยาว สาบเสื้อป้ายทับไปทางขวาดูมิดชิด
แต่หากวัยกลางคนขึ้นไปมักสวมเสื้อแขนกุดตัวสั้นเต่อกับผ้าซิ่น คนสูงวัยเองก็จะใช้เพียงผ้าแถบพันอกเอาไว้แล้วห่มสไบผืนเล็กเฉียงๆ แต่ก็ยังเป็นสีพื้นๆ เสียส่วนใหญ่ และโดยมากจะโพกหัวด้วยผ้าเช่นกัน
แต่ที่คนเหล่านั้นดูเด่นสะดุดตาก็คือ ทั้งหญิงชายตั้งแต่วัยกลางคนขึ้นไป มักคาบอะไรบางอย่างที่มีลักษณะเป็นมวนยาวไว้ในปาก และพ่นควันออกมาโขมงพร้อมกลิ่นยาสูบไหม้ไฟ บ้างก็สูบจนมันสั้นจู๋หญิงสาวจึงเข้าใจว่ามันเป็นบุหรี่อีกแบบหนึ่งนั่นเอง
แต่ก็มีบางคนที่มีปากสีแดงแช้ด ฟันดำมะเมี่ยม และปากก็เคี้ยวหยับๆ อยู่ตลอดเวลา ก่อนจะบ้วนน้ำสีแดงนั้นลงกับพื้นปริ้ดหนึ่ง แล้วจึงเคี้ยวต่อ กลิ่นของมันก็แปลกประหลาดนักในความรู้สึกของกังสดาล
ตั้งแต่เกิดมาหญิงสาวอาจจะไม่เคยเห็นคนกินหมากมาก่อน แต่ก็พอรู้จากสื่อต่างๆ และเรื่องเล่าในอดีตอยู่บ้างว่ามันเป็นวัฒนธรรมและค่านิยมของคนโบราณ การกินหมากไม่ได้เป็นเพียงเรื่องความอยาก ความหิว ความอิ่มเพียงเท่านั้น
*1หากยังเป็นความพึงพอใจ ฟันที่ดำจากการกินหมากถือเป็นเรื่องปกติและความงามอย่างหนึ่งสำหรับคนในอดีต ถึงขนาดมีคำกล่าวกันว่า ‘หมาน่ะซี ที่มีฟันสีขาว’ และมีคำอธิษฐานขอต่อพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวงว่า ‘ขอให้ฟันดำเหมือนลูกหว้า ขอให้ปัญญาเหมือนพระมโหสถ’
ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะมีโอกาสได้เห็นของจริงในตอนนี้ แถมยังตกมาอยู่ท่ามกลางความแปลกประหลาดเหล่านี้ได้ แล้วตกลงที่นี่คือที่ไหนกัน กังสดาลถามตัวเอง
ขณะมองผู้คนที่ต่างเดินสวนทางกันไปมา ทักทายกันด้วยภาษาที่ฟังดูเหมือนภาษาเหนือ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคำ และเป็นสำเนียงเฉพาะ แม้จะพอฟังรู้เรื่องแต่ก็มีบางคำที่แปลกหูเกินกว่าจะเข้าใจได้ ผู้คนส่วนมากเดินเท้าเปล่า ด้วยท่าทีปกติ ไม่ได้ตื่นตระหนกตกใจอย่างที่ควรจะเป็น
หรือว่าความโกลาหลจากการล่มสลาย หรือสงครามที่เธอเห็นบนจุดสูงสุดเมื่อครู่นั้น เป็นเพียงภาพลวงตาที่ผู้เฒ่าคนนั้นสร้างขึ้นมาเพื่อให้เห็นถึงความหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า หรือที่นี่จะเป็นเวียงสีปันจาจริงๆ
หากเป็นเช่นนั้น เธอคงไม่อาจปฏิเสธคำขอร้องของชายชราคนนั้นได้อีกต่อไปแล้ว เพราะนอกจากจะเป็นภาวะจำยอมแล้ว อีกใจหนึ่งหากสามารถช่วยได้ กังสดาลก็ปรารถนาที่จะช่วยเต็มที่เหมือนกัน แต่ก่อนอื่นเธอต้องมั่นใจเสียก่อนว่าที่นี่คือเวียงสีปันจา
“พี่ พี่คะ ที่นี่ที่ไหนหรือคะ” คิดได้ดังนั้นหญิงสาวจึงตัดสินใจถามผู้หญิงวัยกลางคน ที่กำลังจะเดินผ่านเธอไป พร้อมลูกน้อยไม่สวมเสื้อผ้า
หญิงชาวบ้านหน้าตาดำมะเมี่ยมที่ปากก็เคี้ยวหมากหยับๆ กับลูกน้อยมองมา ราวกับพึ่งเห็นว่ากังสดาลยืนอยู่ตรงนี้ ความแปลกใจระคนงงงันปรากฏบนใบหน้า
“เจ้าเป็นใครรึ เหตุใดสำเนียงของเจ้าช่างแปร่งนัก อีกทั้งถ้อยคำ การแต่งกายของเจ้ารึก็ไม่น่าใช่คนถิ่นนี้” คำถามนั้นเป็นเหตุให้กังสดาลต้องหันกลับมามองตัวเอง
เธออยู่ในชุดนอนตัวยาวลายโดราเอม่อน การ์ตูนตัวโปรดตัวเดิม หากที่นี่เป็นเวียงสีปันจาจริง เธอก็คงเป็นตัวประหลาดแน่แท้
“เอ่อ... ฉันมาจากเมืองอื่นน่ะค่ะ ที่นี่คือเวียงสีปันจาหรือเปล่าคะ” หญิงสาวพยายามปัดไป และถามถึงสิ่งที่ต้องการรู้
“ใช่แล้ว เจ้ามาทำสิ่งใดที่เมืองเราหรือ” หญิงคนนั้นยังมองเธอแปลกๆ ตั้งแต่เท้ายันหัวโดยไม่สนเรื่องมารยาทสักนิด
แต่กังสดาลพยายามไม่สนใจท่าทีนั้น เพราะเมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าที่นี่คือที่ไหน ขั้นตอนต่อไปก็คือ หาทางไปพบเจ้าน้อยปิ่นเมืองให้เร็วที่สุด
“อ่า... คือ... ฉันมาเพื่อพบเจ้าน้อยปิ่นเมืองน่ะค่ะ ไม่ทราบว่าฉันจะพบท่านได้ที่ไหน” แต่ทว่าคำถามของเธอกลับสร้างความหวาดระแวงขึ้นในแววตาของหญิงชาวบ้านคนนั้นอย่างเห็นได้ชัด
นางหันซ้ายแลขวาแล้วกวักมือเรียกผู้ชายตัวใหญ่คนหนึ่งที่แบกไม้และกำลังจะผ่านไปพอดี ก่อนจะกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับผู้ชายคนนั้น ซึ่งก็มองสำรวจกังสดาลตั้งแต่หัวจรดเท้าไปด้วยเช่นกัน
“เจ้าเป็นผู้ใดกัน เหตุใดจึงต้องการพบเจ้าน้อยปิ่นเมือง” แล้วชายร่างใหญ่ก็ตั้งคำถามกับเธออีกครั้ง
“ฉันมาจากที่ๆ เอ่อ... พูดไปพวกท่านก็ไม่รู้จักหรอก แต่เอาเป็นว่าฉันต้องการพบเจ้าน้อยเพราะมีเรื่องสำคัญมากจะบอก” กังสดาลคิดว่าชายผู้นี้คงช่วยเธอได้ไม่มากก็น้อย เขาจ้องเธอเขม็งก่อนเอ่ยต่อ
“ถ้าเช่นนั้น จงบอกเรื่องสำคัญนั้นกับข้าเถิด ข้าจะเข้าไปในคุ้มเจ้าน้อยเพื่อบอกกล่าวความแก่ท่านเอง” ท่าทางชายคนนั้นไม่ได้เลวร้ายนักในความรู้สึกของหญิงสาว
และคิดว่าคงจะดีไม่น้อยหากทุกอย่างจบลงได้ในขั้นตอนเดียวอย่างนี้ เธอได้ช่วยเหลือบ้านเมืองนี้เต็มกำลังตามที่ผู้เฒ่าคนนั้นคาดหวัง แล้วก็จะได้กลับบ้านเสียที กังสดาลจึงยิ้มออกมาอย่างยินดี
“งั้นก็ดีน่ะสิ คือช่วยบอกเจ้าน้อยปิ่นเมืองด้วยนะคะว่าบ้านเมืองของพวกท่าน เวียงสีปันจากำลังจะถึงกาลล่มสลายในเร็ววันนี้ เจ้าน้อยจะต้องรีบทำการแก้ไข ไม่อย่างนั้นอีกไม่นานบ้านเมืองนี้จะลุกเป็นไฟ และล่มสลายไปอย่างหมดสิ้น” ถ้อยคำต่างๆ จึงพรั่งพรูออกมาจากปากของหญิงสาว โดยไม่เฉลียวใจสักนิด
“เจ้าว่าอะไรนะ?!! ” สิ้นคำของเธอชายหญิงคู่นั้นก็พากันตกตะลึง
“เจ้าช่างกล้า เจ้าแต่งกายประหลาด สำเนียงพูดจาแปลกๆ แถมยังมาสาปแช่งบ้านเมืองของพวกข้า เจ้าเป็นใครกันแน่ เป็นหมอผีเช่นนั้นหรือ” ก่อนที่หญิงคนนั้นจะตวาดเสียงดังด้วยความโกรธจัด
เสียงโวยวายนั้นส่งผลให้ผู้คนที่กำลังเดินผ่านไปมาเกิดความสนใจขึ้นมา จึงก้าวเข้ามารวมกลุ่มและหนาตาขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว แล้วต่างก็สอบถามกันไปมาถึงสาเหตุของอารมณ์ที่ปะทุ และหญิงคนนั้นก็บอกเล่าให้กับเพื่อนฝูง ผู้คนรายรอบถึงสิ่งที่กังสดาลพูดด้วยอารมณ์คุกรุ่นรุนแรง
ถ้อยคำเหล่านั้นแพร่สะพัดไปในกลุ่มคนมุง ทำให้ผู้คนเหล่านั้นต่างก็ส่งเสียงด่าทอกังสดาล ซึ่งกำลังตกใจจนทำอะไรไม่ถูกกับสิ่งที่เกิดขึ้น และนึกรู้อยู่ในใจว่าเธอพลาดไปเสียแล้ว
“นางต้องเป็นพวกสติไม่สมประดี ไม่ก็หมอผีมากอาคมจากสิขะปุระเป็นแน่ พวกเราเอานางไว้ไม่ได้แล้ว บ้านเมืองเรากำลังเข้าสู่ความรุ่งเรืองนางมาพูดจาเช่นนี้เท่ากับแช่งชักหักกระดูกพวกเรา”
“ใช่ นางคนนี้ต้องมาจากเมืองสิขะปุระเป็นแน่แท้”
“ต้องใช่แน่ๆ เอานางไว้ไม่ได้แล้ว จับตัวนางไปให้ทางการประหารเลยดีกว่า” ยังไม่ทันที่กังสดาลจะทำอะไร ผู้ชายตัวใหญ่หลายคนต่างก็กรูเข้ามาหาร่างบอบบาง ทั้งจับทั้งดึงทึ้ง
“มะ...ไม่ใช่นะ มันเป็นความจริง ฉันไม่ได้แช่ง แต่ท่านผู้เฒ่าคนหนึ่งบอกฉันมา” หญิงสาวตั้งสติได้พยายามตะโกนอธิบาย แต่ก็สายไปเสียแล้ว กลุ่มชายฉกรรจ์พากันเข้ามากลุ้มรุมเธอ ราวกับหมาป่ากำลังรุมขย้ำเหยื่อไร้ทางสู้กระนั้น
“ว้าย! อย่านะ ฉันไม่ใช่หมอผี หรือสติไม่ดีนะ ไม่ อย่า ปล่อย... ” กังสดาลรู้สึกถึงความเจ็บไปทั่วทั้งร่างเมื่อถูกชายฉกรรจ์เหล่านั้นจับแขนขาตรึงไว้ไม่ให้กระดิก
พอหญิงสาวอ้าปากร้องก็ถูกตบเข้าตรงใบหน้าเต็มแรง ยิ่งเธอดิ้นรนขัดขืนก็ถูกชกเข้าที่ท้อง ท่ามกลางเสียงสนับสนุนดังเซ่งแซ่ ไม่รู้เสียงใครเป็นเสียงใคร ต่างก็แสดงถึงความสะอกสะใจที่สามารถกำราบเธอได้ ราวกับบ้านป่าเมืองเถื่อนก็ไม่ปาน
วูบหนึ่งกังสดาลได้แต่ถามตัวเองว่า นี่เธอกำลังทำอะไรอยู่? สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความจริงหรือความฝันกันแน่ หากเป็นความฝันมันคงเป็นฝันร้าย และหญิงสาวก็ปรารถนาเหลือเกินที่จะเจอกับพี่ชายตอนตื่นลืมตาขึ้นมา
“หยุด!! นี่มันเกิดอะไรขึ้น” เสียงเต็มไปด้วยอำนาจตวาดก้องกลบเสียงเซ่งแซ่โดยรอบ กังสดาลมองเห็นภาพตรงหน้าพร่าพราย ในขณะที่สติจวนเจียนดับอยู่รอมร่อ
*-*-*-*-*-*
เบื้องหน้ากลุ่มชาวบ้าน ปรากฏร่างชายหนุ่มสามคนนั่งอยู่บนหลังม้า พวกเขาสวมเสื้อแขนยาวสีน้ำตาลเข้ม ผ่าหน้า ลำตัวสั้น คอเหมือนเสื้อจีน มีกระเป๋าที่ชายเสื้อ ทับกับด้านในที่เป็นเสื้อตัวยาวสีขาว
สวมกางเกงขายาวปลายกว้าง โพกศีรษะและคาดเอวด้วยผ้าสีน้ำตาลเข้ม รองเท้าทำจากหนังสัตว์แบบสานร้อยรัดถึงน่อง เหน็บมีดสั้นไว้ตรงเอว มือข้างหนึ่งดึงสายบังเหียนม้า
ส่วนมืออีกข้างถือดาบยาวปลายโค้ง ฝักของมันทำจากไม้ผสมเงินสลักลวดลายอ่อนช้อย เพียงแค่รูปลักษณ์นั้นก็ทำให้ชาวบ้านโค้งคำนับกันโดยถ้วนทั่ว เพราะนั่นบ่งบอกว่าทั้งสามคือทหารระดับสูงของเวียงสีปันจา
“ท่านทหารเจ้า นางแม่ญิงคนนี้เป็นพวกสิขะปุระ และเป็นหมอผีที่ลักลอบเข้ามาเมืองเราเพื่อทำร้ายเจ้าราชบุตรปิ่นเมือง พวกเราเลยต้องจับตัวนางเพื่อส่งทางการเจ้า” ผู้ชายคนที่กำลังจับร่างบอบบางขะมุกขะมอมนั้นเอาไว้รีบรายงานกับทหารทั้งสามในทันที ด้วยท่าทางพินอบพิเทา
“แม่ญิงคนนี้น่ะหรือ ปล่อยนางก่อนเถิด เราจะนำตัวนางไปส่งให้กับทางการเอง” สิ้นคำของทหารหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าสุด ร่างบางก็ร่วงลงไปกองบนพื้นดินพร้อมสติสุดท้าย
คนบนหลังม้าทั้งสามเห็นดังนั้นจึงรีบกระโดดลงมาเกือบพร้อมกัน ร่างสูงสง่าแบบทหารคนหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าสุด ปราดเข้าไปรั้งร่างของหญิงสาวขึ้นมาจากพื้น ก่อนที่ทหารอีกคนจะตามเข้ามาช่วยประคอง
“นางบอกว่าบ้านเมืองของเราจะล่มสลาย นางคนนี้สาปแช่งเวียง
สีปันจา ได้โปรดให้เจ้าราชบุตรพิจารณาโทษนางให้ถึงตายเถิดเจ้า” คำพูดของชาวบ้านที่รุมสกรัมหญิงสาวยังเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว ทำให้ชายหนุ่มทั้งสามผู้อยู่ในคราบทหารของเวียงสีปันจาหันมามองหน้ากันชั่วอึดใจ
“อย่าได้ห่วงเลย หากนางมีความผิดจริง ทางการจะจัดการกับนางตามที่เห็นสมควรเอง ขอบใจพวกเจ้ามากที่เป็นหูเป็นตาให้ทางการ ตอนนี้พวกเจ้าแยกย้ายกันไปได้แล้ว ที่เหลือพวกเราจะจัดการเอง” ทหารอีกคนที่ยืนคุมเชิงอยู่บอกกล่าวแก่ชาวบ้านโดยรอบ ก่อนที่จะค่อยๆ แยกย้ายกันไปพร้อมเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหวาดหวั่นขวัญเสียระคนสะอกสะใจ
“เราจะทำเยี่ยงไรกับนางดีเจ้า เวลาของเราก็มีน้อยเหลือเกิน” คนที่ช่วยประคองร่างของหญิงสาวถามขึ้นด้วยความนอบน้อม หลังจากบริเวณนั้นเหลือเพียงพวกเขาสามคน พร้อมกับร่างไร้สติของหญิงสาวแปลกหน้า
“คงทิ้งนางไว้ที่นี่ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นพวกชาวบ้านคงได้เอาชีวิตนางเป็นแน่ อีกอย่างตอนนี้พวกเราอยู่ในสภาพที่จะไปสั่งการคนอื่นก็มิได้เสียด้วย พานางกลับไปที่คุ้มหลวงด้วยก็แล้วกัน อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง” ชายหนุ่มใบหน้าหล่อคมคายซึ่งประคองร่างบางอีกด้านตอบ
“ตะ...แต่ว่า นางเป็นหมอผี เป็นพวกสิขะปุระนะเจ้า” ทหารอีกคนที่ยืนมองอยู่ค้านขึ้น
“เจ้าเชื่ออย่างที่ชาวบ้านพูดจริงๆ หรือนันตา” เจ้าของใบหน้าคมคายในชุดทหารของเวียงสีปันจา แต่มีศักดินาเกินทหารธรรมดาถาม
ก่อนจะก้มลงมองใบหน้าที่เปรอะไปด้วยฝุ่นดินและรอยช้ำในอ้อมแขน รอยยิ้มบางแต้มมุมปากชายหนุ่มโดยไม่ทันรู้ตัว
“หมอผีที่ไหนกันถึงได้สิ้นลายเยี่ยงนี้ แล้วยังสภาพเช่นนี้ด้วยแล้ว เราว่าแม่ญิงคนนี้ไม่มีฤทธิ์มากถึงเพียงนั้นหรอก แต่ที่เป็นไปก็เพราะความกลัวของคนต่างหาก”
“บางทีนางอาจจะแกล้งทำ เพื่อให้เราตายใจก็ได้นะเจ้า” ทหารสนิทคนเดิมยังคงทักท้วง ด้วยความเป็นห่วงเจ้านาย แต่เจ้าของใบหน้าหล่อคมคายกลับยิ้มน้อยๆ พร้อมส่ายหน้า