[ฝากถึงคนห่างแฟน] สำหรับเราแล้ว ระยะทางมากกว่า 8,000 กิโลเมตร...ไม่เคยทำให้ เ ร า รั ก กั น น้ อ ย ล ง :D


สวัสดีค่ะทุกคน เราอยากจะแชร์เรื่องราวความรักของเราให้กับเพื่อนๆ ที่อยู่ห่างกันกับแฟน แล้วนานๆ จะได้เจอกันทีนะคะ
เผื่อว่าจะได้เป็นกำลังใจให้กับคู่ที่รู้สึกท้อใจ เนื่องจากระยะทางที่ไกลแสนไกล (ถึงแม้จะจังหวัดติดกันก็ตาม) และเวลาที่ไม่ตรงกันค่ะ


        ตามชื่อกระทู้เลยเน๊าะ เรากับแฟนอยู่ห่างกันมากๆ เลย เรียกได้ว่าคนละทวีปเลยก็ว่าได้ ขอเกริ่นนิดนึงน๊า เรากับแฟนคบกันมาได้ประมาณ 2 ปีกว่าจะ 3 ปีค่ะ ตอนนี้เราอายุ 24 แฟนเราอายุ 31 ค่ะ ในระยะเวลาหนึ่งปีแรกที่เราคบกัน ถ้าให้เรานึกย้อนไปตอนนั้น เรากับแฟนแทบไม่ได้อยู่ห่างกันเลย ถ้าจะห่างกันจริงๆ ก็ช่วงที่เรากลับบ้านแหละ  
คือตอนนั้นเรากำลังเรียนอยู่ปี 4 ใน กทม. เราเป็นคนต่างจังหวัดค่ะ แฟนเราเป็นคน กทม. พี่เค้าทำงานแล้ว เราขอแทนชื่อพี่เค้าว่าพี่บีแล้วกันนะ
ที่บอกว่าไม่ได้ห่างกันเลย คือพี่บีทำงานในมหาลัยที่เราเรียนอยู่นี่แหละ พอเวลาเราเลิกเรียน ก็จะรอพี่บีหรือบางวันพี่บีก็มารอเราเพื่อที่จะทานข้าวเย็นด้วยกันค่ะ แล้วก็กลับบ้านด้วยกัน คือเรากับพี่บีอยู่ด้วยกัน เลยไม่ทำให้เราสองคนห่างกันเลย บวกกับเพื่อนๆ ของเราก็รู้จักพี่บีด้วย ถ้าใครเจอพี่บีก็จะมีการพูดคุยกัน แล้วก็มาบอกเราต่อ ทำให้เรารู้สึกว่าไม่ได้ห่างกันเลย
แต่พอเข้าปีที่สองที่เราคบกัน อะไรหลายๆ อย่างก็เปลี่ยนไปค่ะ คือหลังจากที่เรารับปริญญาได้ประมาณ 10 วัน เราก็เดินทางไปเรียนต่อที่ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ร้องไห้ แน่นอนว่าการไปเรียนในครั้งนี้มีการวางแผนมาก่อน พี่บีก็รู้อยู่แล้วค่ะ ว่าเราต้องไปเรียนจริงๆ แต่ว่ามันเร็วกว่าที่คิดไว้มาก วันสุดท้ายที่เราได้ใช้เวลาอยู่กับพี่บีก็คือวันรับปริญญาของเรานี่แหละค่ะ พี่บีอยู่กับเราหลังจากที่พี่บีเลิกงาน จนถึงดึก พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวของเราค่ะ คืนนั้นบอกตรงๆ ว่าใจหายมาก เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าจะไม่ได้เจอกันอีก แต่สวรรค์ก็แอบเข้าข้างนะ คือวันที่เราเดินทางไปซิดนีย์ เราซื้อตั๋วเครื่องบินยิงยาวจากจังหวัดบ้านเกิดของเราไปที่ซิดนีย์เลย แน่นอนว่าเราต้องนั่งเครื่องมาลงที่สุวรรณภูมิก่อน เพื่อต่อเครื่องค่ะ เรามีเวลาประมาณ 4 ชั่วโมงในอาคารผู้โดยสารขาออกที่ไม่สามารถออกมาข้างนอกได้ ซึ่งเวลานั้นพี่บีกับครอบครัวพี่บีมารอส่งเราที่ประตูผู้โดยสารขาเข้า ซึ่งนี่คือสิ่งที่เรากลัว กลัวว่าเจ้าหน้าที่จะไม่ให้เราออกไปค่ะ แล้วเราก็ทั้งขอทั้งอ้อนพี่เจ้าหน้าที่ พี่เค้าก็อนุญาติให้เราออกไป โดยที่เดินปะกบเราไปจนถึงหน้าประตู แล้วยืนรอเราจนกว่าเราจะทำธุระเสร็จ  เรามีเวลาไม่ถึง 10 นาทีในการบอกลาทุกคน  เราได้แค่จับมือกับพี่บีแล้วบอกว่า "เค้าไปนะเตง..ดูแลตัวเองด้วย สวัสดีค่ะ" แล้วก็เดินเข้าประตูไป ไม่มีการกอดการหอมอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ด้วยสถานที่และพ่อแม่พี่บีอยู่ด้วย เลยไม่กล้าทำอะไรมาก หลังจากนั้นพี่บีก็ส่งไลน์หาเราตลอด บอกให้เดินทางปลอดภัยนะ ดูแลตัวเองด้วย ถึงแล้วบอกพี่ด้วยนะ ฯลฯ
และหลังจากที่เท้าเราเหยียบโลกใบใหม่ค่ะ  ช่วงนั้นเวลาที่ซิดนีย์จะเร็วกว่าไทย 4 ขั่วโมง ชีวิตเรายุ่งมาก เราต้องจัดการเอกสารทุกอย่าง เปิดบัญชี ลงทะเบียนเรียน ไปปฐมนิเทศ หางานพาทไทม์ทำด้วย แล้วบวกกับพี่สาวเราย้ายบ้านพอดีค่ะ ก็ต้องช่วยแล้วก็ต้องทำธุระในแต่ละวันให้เสร็จ เรียกได้ว่างานเข้าทุกวันเลย ทำให้เราไม่มีเวลาได้คุยกับพี่บี
พี่บีส่งไลน์มาหาเราตอนเที่ยง (ตอนเช้าที่ไทยคือพี่บีเริ่มงาน) เราได้อ่านอีกทีก็ค่ำแล้ว พอตอบกลับไป พี่บีก็ไม่ตอบ (เป็นช่วงเย็นที่พี่บีเลิกงานแล้วขับรถกลับบ้าน เวลารถติดก็นานแสนนาน) แล้วพอเราจะนอน พี่บีก็เพิ่งถึงบ้านค่ะ พอพี่บีอาบน้ำเสร็จ ประมาณสองทุ่ม เวลาที่ซิดนีย์ก็ปาไปเที่ยงคืนแล้ว เราก็นอนแล้วสิคะ ทำให้เรากับพี่บีแทบไม่ได้คุยกันเลย  
บางช่วงที่พี่บีต้องทำโอที เรากับพี่บีก็ไม่ได้คุยกันเกือบจะสองอาทิตย์ ถ้ามีการโทรคุยแต่ละครั้ง ก็จะคุยกันไม่ถึง 2 นาที แต่ในช่วงเวลาที่เราได้คุยกันทุกครั้ง เรารับรู้ได้เลยว่าพี่บีเป็นห่วงเรามากๆ และยังคงรักเราเหมือนเดิม โชคดีที่ตลอดระยะเวลาที่เราคบกับพี่บี ไม่เคยทำให้เราต้องระแวงหรือเสียใจเลยค่ะ เรานับครั้งได้เลยว่าเรากับพี่บีทะเลาะกันกี่ครั้ง แล้วพี่บีจะอธิบายและพูดทุกเรื่องให้เราเข้าใจแบบไม่ต้องมีข้อสงสัยหรือหาเรื่องจับผิดเลย ส่วนตัวพี่บีแล้วพี่บีจะเกลียดคนที่โกหกมากๆ พี่บีสอนเราตลอดว่า คบกันให้เราเชื่อใจกัน มีอะไรให้พูดกัน พูดความจริงดีกว่าหลอกกัน อย่างน้อยถ้าความจริงทำให้ใครต้องเจ็บแต่ก็ยังดีใจที่ไม่ได้โกหกกัน และก็ไม่ทำให้คนใดคนหนึ่งรู้สึกว่าโดนหลอก  
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เรากับพี่บีคบกันมาได้เรื่อยๆ แล้วเราก็ไม่เคยระแวงอะไรเลย แล้วพี่บีก็ไม่เคยระแวงในตัวเราเลยค่ะ  ทั้งๆ ที่พี่บีไม่เคยได้เห็นความเป็นอยู่และก็สภาพแวดล้อมต่างๆ ของเรา แทบจะเดาไม่ได้เลยว่าเวลาไหนเราทำอะไร กับใคร ที่ไหน แต่กลับเป็นเราที่รู้กิจวัตรประจำวันของพี่บีทุกอย่าง และรู้จักทุกคนที่อยู่รอบตัวพี่บี

... เราสองคนใช้ชีวิตแบบนี้มาเรื่อยๆ คุยกันวันละครั้งบ้าง สองวันครั้งบ้าง อาทิตย์ละสามครั้งบ้าง อาทิตย์เว้นอาทิตย์บ้าง แต่ก็ไม่เคยหายไปเลย ติดต่อกันเรื่อยๆ ถ้าเราหายไปนาน พี่บีก็จะทักมา บางครั้งพี่บีหายไป เราก็ทักไป ถ้าช่วงไหนเราไม่ว่าง เราก็ตอบไปว่ายุ่งอยู่นะเตง เดี๋ยวว่างแล้วคุยกันเน๊าะ  
ซึ่งการคุยแต่ละครั้ง ก็ไม่ถึง 2 นาทีอย่างที่บอกค่ะ หรือนานๆ เราได้คุยยาวๆ ทีนึง ก็เป็นชั่วโมงแหละ แต่นานมากกว่าเหตุการณ์แบบนั้นจะเกิดขึ้น ซึ่งเราเองก็ยุ่งจริงๆ ค่ะ ด้วยเวลาและสิ่งที่ต้องรับผิดชอบด้วย เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ เป็นระยะเวลา 1 ปี เต็มๆ ถามว่ามีอารมณ์ท้อมั้ย ตอบเลยว่ามากค่ะ แต่เราจำคำพี่บีและนึกถึงตลอดเวลาที่เรารู้สึกท้อและอยากปล่อยมือกัน พี่บีเคยบอกว่า "..จำช่วงเวลาดีดี วันที่เราตัดสินใจคบกัน วันที่เรามีความสุขกันให้ดีดีนะ ถ้าเราต้องทะเลาะกันไม่ว่าจะแรงขนาดไหน นึกถึงวันเหล่านั้นไว้..แล้วคิดให้ดีดี ก่อนจะตัดสินใจเลิกกัน.." มันทำให้เรามีแรงจะเดินต่อไป จับมือกันต่อไป
แต่หลายๆ คนก็บอกว่า เราไปอยู่เมืองนอก ไม่นานก็เจอคนใหม่ เดี๋ยวก็เลิกกัน ฯลฯ และส่วนตัวพี่บีเองก็ไม่คิดว่าเราจะยังคบกันอยู่ ยอมรับเลยว่าเราทั้งคู่ก็เผื่อใจไว้ 50-50 แหละค่ะ ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้าเค้าเจอคนที่ดีกว่า ดูแลเค้าได้ดีกว่าเรา เราก็ยินดีกับเค้า แล้วปล่อยเค้าไป
จริงๆ แล้วเราก็เคยทำนะ ด้วยความที่สับสน บวกกับระยะทาง กับเวลาที่ไม่มีจุดหมายเลยว่าเราจะได้เจอกันเมื่อไหร่ มันทำให้เราบอกเลิกพี่บี 2 ครั้ง ในระยะเวลาหนึ่งปีที่เราห่างกัน (เราลืมนึกถึงคำที่พี่บีบอกเลย ตาม ปย.ด้านบน เพราะว่าเราไม่ได้ทะเลาะกันแต่..) เรามีความคิดว่า เรารักพี่บี เราอยากให้พี่บีเจอคนที่ดีกว่าเรา ได้ดูแลพี่บี แล้วพี่บีก็ได้ดูแลคนนั้นอย่างเต็มที่ ซึ่งบอกตรงๆ เราทรมานมาก และอีกเหตุผลคือ เราไม่สามารถดูแลกันได้อย่างเต็มที่ พี่บีก็ไม่สามารถดูแลเราได้ ช่วงนั้นเราสับสนไปหมดเลย เรานอยด์มากและมันก็ทำให้เรางี่เง่ามาก งอแงด้วย แล้วก็บอกเลิกไป แต่สุดท้าย เราเองก็ขาดพี่บีไม่ได้ พี่บีก็ขาดเราไม่ได้ ไม่ถึงสองวัน พี่บีโทรไลน์มาง้อเรา มาขอโทษที่พี่บีดูแลเราได้ไม่ดีพอ ซึ่งก็เป็นเรื่องของระยะทางแหละค่ะ (จะให้มาดูแลอะไรว๊า ตัวห่าง เวลาห่าง ไม่มีทางไหนมาดูแลได้เลยนอกจากคุยกันให้มากขึ้น) เราเองก็ขอโทษพี่บี ก็ง้อพี่บี สุดท้ายเราสองคนก็กลับมาคบกันต่อ

.......เวลาผ่านมาหนึ่งปี เรายังคงไม่ปล่อยมือกัน ต่อให้เราจะไกลกันแค่ไหน ทรมานมากขนาดไหนกับเวลาที่ไม่ตรงกันเลย มีงอนมีทะเลาะกันบ้าง แต่เราก็ไม่เคยทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าอยากปล่อยมือเราแล้ว และเราก็จะไม่ปล่อยมือเค้าแล้ว พอเราจับมือกันผ่านอุปสรรคที่เราเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลยมาได้ (ระยะทางและเวลา) มาถึงวันที่เราต้องได้เจอกันจริงๆ ได้สัมผัสและจับมือกันแบบที่เราเคยเป็นในปีแรกมาถึง ทุกอย่างมันเหมือนฟ้าหลังฝน ความทรมานทั้งหมดมันหายไปทันที วินาทีที่เราบอกพี่บีว่าจะกลับเมืองไทย น้ำเสียงดีใจและตื่นเต้นของพี่บี ทำให้เราอยากจะกลับไปตอนที่เราบอกเลยอะ
วินาทีที่เราไปถึงสุวรรณภูมิ พี่บีออกมาจากบ้านเวลาตีสาม (ถ้าเราจำไม่ผิดนะ) เราถึงเมืองไทยเวลาตีสี่ครึ่ง พี่บีก็มารับเรา คือนาทีนั้น มันบอกไม่ถูกอะ >< มันเหมือนฝันเลย

.....เราได้ไปเที่ยว ได้ใช้ชีวิตร่วมกันในทุกๆ วินาที อย่างคุ้มค่ามากที่สุด เหมือนทดแทนเวลาที่เราห่างกัน เราเข้าใจเลยว่าข้อดีของการอดเปรี้ยวไว้กินหวาน มันดียังไง ความหวานมันยังคงติดลิ้น ติดคอ แบบว่าไม่มีรสหวานไหนเหมือนกับรสหวานแรกที่แค่แตะปลายลิ้นก็หวานไปถึงขั้วหัวใจแล้วอะ (เราไม่ได้เน่านะ มันรู้สึกได้จริงๆ) มันคุ้มมากเลย กับการรอคอยที่จะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ซึ่งเป็นการรอคอยที่ไม่มีจุดหมายว่าจะได้กลับมาเจอรึเปล่า แต่เราก็ได้เจอกัน
เรากลับเมืองไทยครั้งนี้ เราปิดเทอม และเรามาแค่ 14 วัน เราแบ่งเวลาอยู่กับที่บ้าน 7 วัน และเวลาที่อยู่กับพี่บี 7 วันก่อนที่เราจะกลับซิดนีย์อีกครั้ง พ่อเราก็แอบเคืองนะ ว่าเราอยู่กับพ่อนิดเดียวเอง แล้วก็ไปอยู่ กทม. (เราแข็งใจ ไหนๆ ก็ไหนๆ ละ ครึ่งๆ ละกันนะป๋า) เราใช้เวลา 7 วันนั้นน่ะที่อยู่กับพี่บี เที่ยวในที่ที่เราอยากไป กินข้าวด้วยกัน ไปทำบุญ เราสองคนใช้เวลาร่วมกันจริงๆ ซึ่งหลายคนอาจมองว่าเวลา 7 วัน มันสั้นมากเลย แต่สำหรับเรา มันตั้ง 7 วันแหน่ะ ที่เราได้อยู่ด้วยกันจริงๆ มีเวลาเป็นของเราจริงๆ เราจดจำเรื่องราว เหตุการณ์และความรู้สึกนั้นได้ดี ว่าเรามีความสุขมากแค่ไหน...
และวันที่เราจะกลับไปซิดนีย์ก็มาถึงอีกครั้ง อย่างที่บอกว่าเรากลับบ้านไปก่อนถึงจะมาหาพี่บี ครั้งนี้คนที่ไปส่งเราก็มีพี่บี เพื่อนเราคนนึง แล้วก็พ่อพี่บีค่ะ  พ่อพี่บีรออยู่ที่รถ ร่ำลากันเสร็จ เรากับพี่บีก็เข้ามานั่งรอเพื่อนเราในตัวอาคาร เรามาก่อนเวลาเข้าเกทประมาณ 3 ชั่วโมง เช็คอินและโหลดกระเป๋าเรียบร้อย ทานข้าวกันสักพัก นั่งคุยกัน รอเวลาเข้าเกท และเวลานั้นก็มาถึง ก่อนที่เราจะขึ้นบรรไดเลื่อนไป (ผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ) พนง. จะไม่อนุญาติให้ญาติขึ้นไปด้วย เพราะพอขึ้นไปก็จะเป็นโถงสำหรับสแกนของ บลาๆๆ เราจึงต้องลากันตรงตีนบรรไดนั่นแหละ เรากอดเพื่อนเสร็จ เราก็หันมาลาพี่บี ครั้งนี้เรากอดพี่บี เราไม่อยากเสียดายทีหลัง เพื่อนเราก็ถ่ายรูปให้ ลากันพักนึง เราก็ต้องขึ้นบรรไดเลื่อนไป ขณะที่เรายืนบนบรรไดเลื่อน แล้วมันเลื่อนขึ้นไป สายตาเราไม่ละไปจากพี่บีเลย พี่บีก็มองเราจนลับตาไป เรานี่กลั้นน้ำตาไม่อยู่ คลอเบ้า จะไหลไม่ไหลแหล่ .... หลังจากนั้นก็ไลน์หากันตลอด .... และพอเราถึงซิดนีย์ เวลาหลังจากนั้นที่เราคุยกัน ติดต่อกัน มันถี่ขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย เราคุยกันมากขึ้น บ่อยขึ้น และมันทำให้เรารักกันมากขึ้นด้วย เราไม่ทะเลาะกันเลย นี่เป็นผลพลอยได้ของระยะทางที่ห่างกันจริงๆ นะ จุ๊บๆหัวใจยิ้ม
สุดท้ายนี้ เราขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆ  ที่กำลังท้อกับระยะทางและเวลาที่เป็นอุปสรรคในความรักของเพื่อนๆ อยู่ ถ้าเรามีความเข้าใจซึ่งกันและกัน แล้วก็จับมือกันให้แน่น ไม่ท้อกับบททดสอบที่เข้ามา แล้วผ่านมันไปได้ ต่อให้ไกลแค่ไหน อยู่คนละขั้วโลก ตราบใดที่ยังมีเน็ต ไลน์ และความเชื่อใจกันของคนสองคน ระยะทางและเวลาก็จะไม่ส่งผลกระทบกับความรักของคุณได้เลย แต่กลับเป็นเรื่องดีซะอีกที่ระยะทางและเวลาสามารถพิสูจน์อะไรหลายๆ อย่างได้ ทั้งตัวของคุณเองและคนที่คุณรัก มันวิเศษจริงๆ ซึ่งส่วนตัวเราแล้ว อย่างที่บอก เรารู้สึกว่าเรารักกันมากขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย .. และในวันที่เราต้องไปอีก เค้าและเราก็จะรอวันที่ได้มาเจอกันอีกครั้ง ซึ่งมันจะได้เจอกันเรื่อยๆ แบบไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีวันนั้นอีกเลย

เราเขียนกระทู้ครั้งแรก เราก็มั่วๆ เอา ไม่รู้ว่าตั้งค่ายังไง ถ้าอ่านแล้วรกๆ หรืองงๆ เราขอโทษด้วยนะ และขอบคุณที่อ่านจนจบน๊าาาา


แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่