Tempy Movies Review รีวิวหนัง: Inside Out { Pete Docter, Ronnie del Carmen} [USA], 2015


Inside out ทำให้ตัวหนังสือหรือคำอธิบายทฤษฏีทางจิตวิทยาที่อยู่ในหนังสือหรือชีทเรียนของเรากลายเป็นรูปธรรม และแม้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างในหนังไม่ตรงกับแนวคิดที่นักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ได้คิดค้นไว้ ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าเพื่อทำให้การดำเนินเรื่องมีความเพลิดเพลิน ไม่น่าเบื่อ หรือพูดให้ง่ายก็คือ เราไม่อาจถือหาสาระเชิงวิชาการกับหนังเรื่องนี้ได้นัก (ประมาณว่าอาจารย์แพทย์ก็คงไม่เอาเรื่องนี้ไปใช้เป็นสื่อการสอนในวิชาจิตเวชศาสตร์) องค์ประกอบทางจิตหลายอย่างก็ถูกแทนหรือแปรเปลี่ยนเป็นดินแดนชวนฝัน อย่างการสร้างฝันก็ใช้โรงถ่ายหนังแบบฮอลิวูด (ณ ตรงนี้แอบเห็บโปสเตอร์ Vertigo ของฮิทช์คอคด้วย) หรือพัฒนาการด้านอารมณ์ของไรลี่ย์ที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพียงแค่เจอบททดสอบชีวิตเมื่อเธอต้องย้ายที่อยู่ ซึ่งเอาจริงๆ เรารู้สึกว่าการพัฒนาอารมณ์น่าจะต้องใช้เวลาและไรลี่ย์น่าจะต้องผ่านประสบการณ์ชีวิตมากกว่านี้ แต่ในฐานะที่มันเป็นการ์ตูน เนื้อหาจึงต้องทำให้ง่ายต่อการเข้าใจ จิตใจของไรลี่ย์ก่อนและหลังการย้ายบ้านจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน

ไรลี่ย์เป็นเด็กสาวที่เติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่น ความทรงจำสีฟ้า (แทนถึงความเศร้า) แทบไม่มีในสาระบบความทรงจำของเธอ จะว่าไปจิตใจของไรลี่ย์เหมือนถูก Joy หัวหน้าที่ออกจะเป็นเผด็จการควบคุม (สังเกตจาก Core memory ที่มีแต่สีทอง) ทุกอย่างดูราบรื่น และก็เกิดคำถามขึ้นมาในหัวของคนดูและตัวละครอารมณ์อื่นๆ (ตามทฤษฏีอารมณ์ของ Paul Ekman) ว่าเจ้าอารมณ์ Sad มีไว้เผื่ออะไรและใครจะไปต้องการความเศร้า หลายครั้งที่ Joy พยายามกีดกันหรือแม้แต่ไม่ฟังความเห็นจาก Sad แต่แล้วจิตใจของไรลี่ย์ที่ถูกบงการด้วย Joy นั้นก็ถูกการทดสอบ เมื่อไรลีย์ทราบข่าวว่าเธอต้องมีเหตุให้ย้ายสำมะโนครัวไปเมืองใหม่ที่ไม่คุ้นเคย

Inside out สะท้อนถึงช่วงเวลาการปรับตัวในช่วงวัยรุ่นของตัวผู้กำกับเองขณะที่เขาต้องย้ายไปอยู่เดนมาร์กกับครอบครัว และในช่วงวัยใกล้เคียงกัน ลูกสาวของผู้กำกับเองที่เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น เธอมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป นั่นเองจึงทำให้เขาย้อนกลับมามองตนเองในอดีต ไรลี่ย์เริ่มคิดถึงชีวิตที่จากมา ช่วงนั้นเองพ่อของเธอก็ยุ่งแต่กับงานจนมีเวลาให้ลูกน้อยลงประกอบกับหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ลงตัวในระหว่างย้ายบ้าน ไรลี่ย์เก็บตัว เข้าหาผู้คนน้อยลง สภาพจิตใจของไรลี่ย์ในช่วงเวลานั้นก็ถูกนำเสนอว่า Joy และ Sad ไม่มีบทบาทในการควบคุมอารมณ์ เหลือเพียง Fear, Disgust และ Anger อารมณ์โกรธเกิดนึกขึ้นมาว่า ในเมื่อปัญหาทั้งหมดเกิดจากการย้ายบ้าน เราก็ให้ไรลี่ย์กลับไปที่เดิมที่เธอมาเสียสิ ไรลี่ย์จึงเริ่มคิดหนีออกจากบ้านเพื่อกลับไปหาอดีต

ช่วงที่ Joy และ Sad มีเหตุให้ต้องออกไปจากห้องควบคุม อันเป็นผลให้ระบอบเผด็จการที่นำโดย Joy สิ้นสุดลง ซึ่งช่วงนั้นเองไรลี่ย์จึงแสดงอารมณ์ที่เหลือออกมา แต่เจ้า Sad ก็ซุกซน เธอเที่ยวไปจับลูกแก้วความทรงจำทั้งในส่วน Short term และ Long term ดังนั้น ทุกครั้งที่ไรลี่ย์นึกถึงความทรงจำเก่าๆ ก็จะมีแต่ความทรงจำสีน้ำเงิน อันเป็นผลให้ไรลี่ย์เริ่มมีอาการซึมเศร้า เก็บตัว รู้สึกแปลกแยกจากกลุ่มเพื่อน (สังเกตจากความฝัน เธอมีความกังวลใจในวันที่เธอออกไปรายงานตัวหน้าห้อง) เธอเริ่มสูญเสียความสนใจในสิ่งที่เธอชอบ อย่างการเล่นฮอกกี้ และที่เลวร้ายที่สุดเธอเกิดภาวะไร้อารมณ์ (Apathy) ซึ่งเป็นอาการหนึ่งที่พบได้ในกลุ่มคนที่มีอาการซึมเศร้า และดูเหมือนว่าวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดในเวลานั้น คือการทำให้ไรลี่ย์รู้สึกผิดต่อสิ่งที่เธอได้ตัดสินใจไปด้วยความโกรธพ่อแม่ ณ เวลานั้นคือ การหนีออกจากบ้าน ซึ่งไรลี่ยะรู้สึกผิดได้ก็ต้องอาศัย Sad เข้ามาช่วยเหลือ

สังเกตว่าเมื่อไรลี่ย์กลับบ้าน จิตใจเธอได้ก้าวข้ามพัฒนาการจากวัยเด็กสู่วัยรุ่น แผงคอนโซลจากตอนเด็กที่ถูกควบคุมเพียงอารมณ์เพียงหนึ่งอารมณ์ก็เปลี่ยนยกชุด มีปุ่มแตกสาว และการแสดงออกทางอารมณืของไรลี่ย์ก็ซับซ้อนขึ้นเพราะมีหลายอารมณ์เข้ามามีบทบาทในเวลาเดียวกัน ลูกแก้วความทรงจำของไรลี่ย์ก็มีหลายสี Joy เองก็ล้มเลิกการกดขี่อารมณ์ตัวอื่นและปล่อยให้เพื่อนร่วมง่านได้มีโอกาสแสดงออกมาขึ้น เหตุการณ์ที่ทำให้ Joy กลับมาฉุกคิดถึงบทบาทหน้าที่ของอามรมณ์อื่นโดยเฉพาะ Sad ว่ามีหน้าที่สำคัญไม่แพ้กับเธอกึคือ เหตุการณ์ที่ Joy ตกลงไปในหลุมขยะความทรงจำ (Memory Dump) เธอพบว่ามีความทรงจำในวัยเด็กของไรลี่ย์วันที่เธอทำประตูแพ้ในกีฬาฮอกกี้ แต่เดิมมันเคยเป็นลูกแก้วสีทอง นั่นคือ แม้ว่าไรลี่ย์จะแพ้ในวันนั้น แต่ก็มีพ่อแม่และเพื่อนๆของเธอเข้ามาให้กำลังใจ ไรลี่ย์วัยเด็กก็ perceive ความทรงจำนั้นว่าเป็นความทรงจำที่สุข แต่ตอนหลังเจ้า Sad ได้เผลอไปแตะลุกแก้ว Joy เสียใจและต่อว่า Sad แต่เมื่อ Joy กลับมามองอีกครั้ง เธอพบว่าความทรงจำของไรลี่ย์ แท้จริงแล้วไม่ได้มีมิติเดียว เพราะเหตุการณ์วันนั้น ไรลี่ย์ก็เศร้าจากการแพ้ประตู มาก่อนที่เธอจะมีความสุขเพราะได้กำลังใจ หลังจากที่ Joy ตระหนักถึงแง่มุมตรงนี้ของความทรงจำ เธอจึงเปิดโอกาสให้เพื่อนร่วมงาน พร้อมๆกันก็สะท้อนถึงพัฒนาการทางด้านจิตใจของไรลี่ย์

แท้จริงแล้ว Inside out ไม่ใช่หนังเรื่องแรกที่พูดถึงกลไกของจิตใจ ถ้าให้เราลองนึกถึงหนังที่เล่าถึงการจัดการข้อบาดหมางในระดับจิตใจของมนุษย์ก็คงหนีไม่พ้น Cries & Whispers (1972) ของเบิร์กแมน ว่าด้วยพี่น้องสามสาวและหญิงใช้ที่แทนถึงองค์ประกอบในจิตใจของหญิงสาวคนกลางที่ล้มป่วยและขอใช้ชีวิตในโมงยามสุดท้ายใกล้เคียงกับพี่น้องของเธอที่มีเหตุให้แตกแยกกัน ในขณะที่ Inside out เป็นหนังเรื่องแรกที่เราดู ที่แสดงให้เห็นกลไกทางจิตแบบตรงไปตรงมาและย่อยง่าย ซึ่งแน่นอนว่านี่ก็เป็นโอกาสดีที่ทำให้คนดูเข้าถึงเนื้อหาได้ง่าย ครอบคลุมกลุ่มคนดูตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่

มีเรื่องที่น่าแปลกใจระหว่างที่เราอ่านประวัติของพีท ดอกเตอร์ผู้กำกับ Inside out เราพบว่าเขาเคยเป็นหัวหน้าทีมงามที่นำเอาการ์ตูนอนิเมชั่นของค่ายจีบลิเรื่อง Howl's Moving Castle (2004) มาดัดแปลงเป็นเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ นั่นหมายความว่า เขาเองก็คงเป็นหนึ่งในแฟนคลับของค่ายการ์ตูนฝั่งเอเชียชื่อดังค่ายนี้ และเหนือสิ่งอื่นใด ชีวิตการทำงานของเขาในฐานะนักวาดนักวาดการ์ตูน ไม่มากก็น้อยเขาเองก็คงได้รับแรงไฟมาจากการ์ตูนจีบลิเช่นกัน

สิ่งที่ชัดเจนมากใน Inside out อันสื่อถึงการทำความเคารพมิยาซากิในฐานะครูของเขา ก็คือรถไฟในเรื่องที่แม้จะสื่อถึง Train of Thought ในทฤษฏีทางจิตวิทยา ใน Spirited Away (2001) รถไฟก็เป็นสิ่งที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ อันแทนถึงการเดินทางของญี่ปุ่นจากยุคดั้งเดิมสู่สังคมโมเดิร์น ยิ่งฉากที่รถไฟถล่มใน Inside out ก็คล้ายกับฉากที่ฮากุ มังกรเทพเจ้าแห่งสายน้ำถูกทำร้าย เท่านี้ยังไม่พอฉากที่ปิ๊งป่องเพื่อนในจินตนาการของไรลี่ย์ถูกขังไว้บนพุงของตัวตลกในคุกจิตใต้สำนึก ก็ไปละม้ายคล้ายกับ ฉากที่เมย์เล่นบนพุงของโทโทโร่ใน My Neighbor Totoro (1988)

ความคล้ายคลึงระหว่าง Inside out และ Spirited Away (2001) คือทั้งสองเรื่องต่างก็นำเสนอเรื่องการก้าวพ้นวัยของหญิงสาวโดยมีพื้นหลังเป็นโลกในระดับจิตใจของตัวละครหลัก แต่สิ่งที่ตรงกันข้ามระหว่างสองเรื่องนี้คือ เรื่องหลังเลือกที่จะนำเสนอผ่านตัวละครที่มีความลุ่มลึก เปรียบเทียบกับบริบทของสังคมร่วมสมัย ทิ้งท้ายด้วยความคลุมเครือ และชวนให้เกิดการตีความที่หลากหลาย อันขึ้นอยู่กับประสบการณ์และวิจารณญาณของคนดู แตกต่างจาก Inside out ที่เลือกจะนำเสนออย่างโจ่งแจ้งและชัดเจนเพื่อหวังให้เกิดการเข้าถึงได้ง่ายในกลุ่มคนหมู่มาก จึงไม่แปลกที่หนังเรื่องนี้ได้รับคะแนนจากเหล่านักวิจารณ์ในชนิดที่เรียกได้ว่า เททั้งหน้าตักรักหมดใจ

เวลามีคนถามเราว่าทำไมถึงอยากเป็นจิตแพทย์ ซึ่งจริงๆเราก็ไม่รู้คนที่จะเป็นจิตแพทย์ต้องมีบุคลิกหรือความคิดยังไง แต่ทุกครั้ง เราตอบไปว่า เราสนใจกลไกทางจิตที่อยู่เบื้องหลังพฤติกรรมต่างๆของมนุษย์ มีทฤษฏีอะไรที่คอยสนับสนุนหรืออธิบายกลไกเหล่านั้นได้บ้าง แม้กระทั่งว่ามีอะไรหรือไม่ที่คอยควบคุมการกระทำของเราอยู่ และ Inside out ก็ดูเหมือนว่ามันพอทำให้เราเห็นภาพได้บ้าง เพราะมันก็ base on neuroscience หลายครั้งหนังก็เอาจริงเอาจังเสียเหลือเกินกับการให้เนื้อหามันสื่อหรือ correlate กับ theory หนังเองมันค่อนข้างเผด็จการทางความคิดกับเราเหมือนกันนะ เป็นเพราะผู้กำกับพยายามเปลี่ยน “ตัวอักษรให้เป็นภาพ” แต่ในบางครั้งการดำเนินเรื่องก็ nonsense และฉาบฉวย (หมายถึงหลุดไปกับดินแดนในจินตนการของพีทโดยไม่ base on neuroscience) มันเลยเป็นผลผลิตที่ก้ำกึ่งระหว่างเคร่งเครียดให้ตรงกับ theory และสนุกสนานแบบไร้สติตามประสาการ์ตูนเด็ก จะดีไม่น้อย ถ้าหนังนำเสนอให้สนุกสนาน ทว่า "ซ่อนเร้น" ความจริงจังเอาไว้ หนังทำให้เราสนุกได้จริงๆ แต่พาร์ทที่จริงจังของมัน เรายังรู้สึกว่าหนังสามารถพาเราไปได้ไกลกว่านี้

ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยนะครับ https://www.facebook.com/survival.king
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่