อยากจะฝากถึงคุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองทุกท่านนะคะ เลิกซะทีเถอะคะ
ความคิดว่าแค่ฟันน้ำนม เดี๋ยวฟันแท้ก็ขึ้น และไม่สนใจจะแปรงฟันให้ลูก และจะพามาหาหมอฟันเวลาลูกปวดจนทนไม่ไหว ร้องไห้งอแง ไม่ยอมนอน นั้นแหละคะ คุณพ่อคุณแม่ที่เคารพ ถึงจะสามารถสละเวลาพามาหาหมอได้
คุณทราบไหมคะ ว่าทัศนคติ แบบนี้ของบรรดาคุณผู้ปกครองนี่แหละคะที่สร้างปัญหา สุขภาพช่องปากให้คนไทย ใช้คะหมอไม่เถียง ว่าเดี๋ยวฟันแท้ก็ขึ้น แต่ผู้ปกครองทั้งหลายทราบไหมคะว่าฟันแท้จะขึ้นตอนอายุ 6-13 ปี นั้นหมายความว่า ถ้าตอนนี้ ลูกน้อยวัน 3-4 ขวบฟันผุ จนไม่สามารถรักษาได้ต้องถอนออกไป ลูกน้อยของคุณจะไม่มีฟันเคี้ยวอาการไปอีก 3-10ปี นอกจากนี้ฟันน้ำนมยังมีหน้าที่ต่างๆมากมาย เช่น
1. ฟันน้ำนมที่ดีช่วยในการเคี้ยวอาหาร เพื่อให้เด็กๆได้รับสารอาหารที่เหมาะสม เพื่อการพัฒนาร่างกายให้เจริญเติบโตได้ดี ในการวิจัยพบว่าเด็กที่มีฟันผุหลายซี่ ทำให้มีการเจริญเติบโตที่ต่ำกว่ามาตรฐาน
2. ฟันน้ำนมที่ดี ช่วยในเรียนรู้ในการพูด การออกเสียงที่ชัดเจนถูกต้อง
3. ฟันน้ำนม ช่วยพัฒนาบุคลิกภาพที่ดี โดยธรรมชาติในหมู่เด็กจะมีการล้อเลียนกันอยู่แล้ว เมื่อมีใครที่มีฟันผุหรือฟันถูกถอนไปก่อนกำหนดทำให้เกิดการล้อเลียนกัน ทำให้ความไม่มั่นใจเกิดขึ้น
4. ฟันน้ำนม ช่วยในการกันซี่ของฟันแท้ที่จะขึ้นมาใหม่ เพราะโดยธรรมชาติของฟันจะเคลื่อนมาข้างหน้าเป็นปกติ หากมีการสูญเสียฟันน้ำนมไปก่อนกำหนด ฟันแท้ที่อยู่ข้างล่างจะไม่มีพื้นที่พอที่จะขึ้นมา ทำให้เกิดปัญหาการซ้อนหรือฟันเก
(Cr:
http://m.dmc.tv/dhamma/index.php?action=page&id=16752)
แล้วคุณทราบหรือไม่คะว่า คุณต้องพาลูกไปพบหมอฟันครั้งแรกตอนอายุเท่าไหร่? เชื่อว่าคนไทยหลายคนตอบไม่ได้ ค่ะ ไม่เป็นไร หมอขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะคะ ว่า
ตั้งแต่ 6 เดือนแรกหรือ
ทันทีที่ฟันซี่แรกขึ้นในช่องปาก และควรมาพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน
อย่างไรก็ตาม หมอพบว่าคุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่ จะพาลูกมาพบหมอฟันเมื่อเด็กมีอาการปวดเท่านั้น(ไม่ได้หมายถึงคุณพ่อคุณแม่ทุกท่านนะคะ แต่ส่วนใหญ่โดยเฉพาะตามต่างจังหวัด) ซึ่ง การทำแบบนี้ทราบไหมคะ ว่ามันเป็นการสร้างความทรงจำที่เลวร้ายต่อตัวเด็กเองขนาดไหนนะคะ คุณลองนึกภาพเด็กอายุ 4-5 ขวบ ปวดฟันจนนอนไม่หลับ ทานอาหารก็ไม่ได้ ซ้ำร้ายบางคนมีหนอง หรือ บวมมาหาหมอไหมคะ น้องทั้งปวดฟัน ทั้งงอแง หนูปวดฟันจะแย่แล้ว แม่ยังพามาที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่เคยเห็นมาก่อน เสียงก็ดัง (เสียงเครื่องมือทำฟันก็ดังอยู่แล้วคงพอนึกภาพออกนะคะ) แถมยังโดนที่บ้าน คนรอบข้างขู่เรื่องหมอเป็นประจำ ไม่ต้องเด็กหรอคะผู้ใหญ่บางคนยังกลัวเลย
ดังนั้นไม่ว่าหมอจะแต่งหน้ามาสวยเหมือนนางงามจักรวาลมาเอง มีรัศมีนางฟ้าเรืองรองเป็นประกายรอบตัว เด็กส่วนใหญ่ก็จะไม่ให้ความร่วมมือคะ ซึ่งกรณีที่ น้องจะไม่ให้ความร่วมมือในการทำหัตถการใดๆ ทั้งนั้นซึ่งทำให้เกิดการกรีดร้องเสียงสนั่นต้องใช้ผู้ช่วยจับเพื่อให้น้องอยู่นิ่ง ใช้เสียงดังหรือใช้เครื่องมือช่วยมัด ซึ่งดูแล้วช่างทารุณทางร่างกายและจิตใจยิ่งนัก (ในสายตาพ่อแม่บางท่าน)
ซึ่งในกรณีแบบนี้หมอจะไม่โทษเด็กหรอกคะ ขอให้ทราบไว้เลยนะคะ ว่า มันเป็นความผิดของคุณพ่อคุณแม่นั้นแหละคะ แน่นอนคะ คุณอ่านไม่ผิด ดูปากหมอเลยนะคะ
ความผิดของคุณพ่อคุณแม่นั่นแหละคะ!!!!! คือ ฟันลูกคุณผุ เนี๊ยะ หมอไม่ได้เป็นคนทำนะคะ คุณก็ดูแลลูกของคุณเอง อยู่กับลูกทุกวัน ดูแลกันยังไงคะ ปล่อยให้ลูกฟันผุจนเหลือแต่ตอ อ้าปากมาฟันดำทั้งปากแบบเนี๊ยะ
ผู้ปกครองบางท่าน ยังมีการปลอบลูกว่า ไม่เป็นไรนะลูกทีหลังแม่ไม่พามาหาหมอแล้วเนอะ หนูจะได้ไม่เจ็บ!!!!~ (เหตุการณ์ จริง เจอจริง กับเพื่อนหมอ นี่แหละคะ) คือ ช็อก ค่ะ ช็อก


ซึ่งเหตุการณ์คล้ายๆแบบนี้มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ หมอฟันสาวงามบางท่านเกิดมาในชีวิตแทบไม่เคยขึ้นเสียงเลย ใจเย็นยิ่งกว่าขั้วโลกเหนือ รักเด็กยิ่งกว่านางสาวไทย ต่อให้จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กยังไม่เคยเสียงดังใส่(จับได้ปุ๊บเลิกเลยไม่ต้องทะเลาะให้เสียสุขภาพจิต) ต้องมาใช้ voice control กับลูกของคุณเนี๊ยะ คุณคิดว่าหมอสบายใจหรอคะ
(voice control ->เป็นการควบคุมพฤติกรรมของเด็กโดยการใช้เสียงดัง เพื่อทำให้เด็กสงบลง ซึ่งหลายท่านอาจจะเคยเห็นคลิปวีดีโอที่ผู้ปกครองต่อว่าหมอที่ใช้เสียงดังกับลูกกันมาบ้างแล้วนะคะ)
ซึ่งสิ่งที่ตามมาคือ จะพบว่าทันตแพทย์บางส่วนในปัจจุบันนี้ เลือกที่จะหลีกเลี่ยงการรักษา ในกรณีที่เด็กไม่ให้ความร่วมมือมากๆ ก็เข้าใจหมอด้วยนะคะ ว่าสถานการณ์หลายอย่างทำให้หมอบางท่านเลือกจะ ไม่ให้การรักษาและส่งต่อการรักษาให้ทันตแพทย์เฉพาะทางมากกว่า(แน่นอนว่า ทันตแพทย์เฉพาะทางส่วนใหญ่จะงานล้นมือ นัดล่วงหน้ายาวไป 2 เดือน) แล้วผลเสียก็ไม่ได้ไปตกอยู่ที่ใครหรอกคะ นอกจากลูกของท่านเอง (ก็รอคิวทำฟันไปคะ)
เทียบกับเด็กอีกคนที่คุณแม่พามาหาหมอฟันเป็นประจำ เรียกว่าเจอกันตั้งแต่เด็ก จนชินกับหมอ แม้นว่า 1-2 ครั้งแรกน้องจะร้องไห้ตามปกติของเด็ก แต่มักจะพบว่าเด็กกลุ่มนี้จะมีสุขภาพช่องปากที่ดี เนื่องจากได้รับการดูแล จากหมออย่างต่อเนื่อง และไม่มีอาการกลัวหมอแบบเด็กกลุ่มแรก เด็กบางคนเกิดมาไม่เคยมีฟันผุในปากตั้งแต่ฟันน้ำนม ถึงฟันแท้ ซึ่งต้องขอชื่นชมคุณพ่อคุณแม่นะคะ แบบนี่สิคะ พ่อแม่ตัวอย่าง ในเมื่อตัดสินใจให้เค้าเกิดมาแล้วก็ดูแลให้ดีหน่อยนะคะ ไม่ใช่สักแต่ว่ามี (หมออิจฉาคะ หาไม่ได้ เอ๊ยไม่ใช่ 5555+)
บ่นมายืดยาว สรุป ว่า ใส่ใจบุตรหลานของท่าน พาไปพบทันตแพทย์บ้างนะคะ เสียสละเวลาแค่ปีละ 2 วันเองคะ อย่าพามาเฉพาะเวลาลูกปวดฟันเลยคะ หมอปวดใจ (และบางกรณี หลังจากเสร็จเคสแล้ว หมอจะปวดหูด้วย เพราะเสียงร้องไห้ของน้องๆ นี่แหละคะ

)
ฝากถึงผู้ปกครองที่มีลูกเล็ก ทุกคนนะคะ หยุด ทำร้ายลูกตัวเองและหมอฟัน ด้วยทัศนคติที่ว่า แค่ฟันน้ำนมไม่เป็นไร
คุณทราบไหมคะ ว่าทัศนคติ แบบนี้ของบรรดาคุณผู้ปกครองนี่แหละคะที่สร้างปัญหา สุขภาพช่องปากให้คนไทย ใช้คะหมอไม่เถียง ว่าเดี๋ยวฟันแท้ก็ขึ้น แต่ผู้ปกครองทั้งหลายทราบไหมคะว่าฟันแท้จะขึ้นตอนอายุ 6-13 ปี นั้นหมายความว่า ถ้าตอนนี้ ลูกน้อยวัน 3-4 ขวบฟันผุ จนไม่สามารถรักษาได้ต้องถอนออกไป ลูกน้อยของคุณจะไม่มีฟันเคี้ยวอาการไปอีก 3-10ปี นอกจากนี้ฟันน้ำนมยังมีหน้าที่ต่างๆมากมาย เช่น
1. ฟันน้ำนมที่ดีช่วยในการเคี้ยวอาหาร เพื่อให้เด็กๆได้รับสารอาหารที่เหมาะสม เพื่อการพัฒนาร่างกายให้เจริญเติบโตได้ดี ในการวิจัยพบว่าเด็กที่มีฟันผุหลายซี่ ทำให้มีการเจริญเติบโตที่ต่ำกว่ามาตรฐาน
2. ฟันน้ำนมที่ดี ช่วยในเรียนรู้ในการพูด การออกเสียงที่ชัดเจนถูกต้อง
3. ฟันน้ำนม ช่วยพัฒนาบุคลิกภาพที่ดี โดยธรรมชาติในหมู่เด็กจะมีการล้อเลียนกันอยู่แล้ว เมื่อมีใครที่มีฟันผุหรือฟันถูกถอนไปก่อนกำหนดทำให้เกิดการล้อเลียนกัน ทำให้ความไม่มั่นใจเกิดขึ้น
4. ฟันน้ำนม ช่วยในการกันซี่ของฟันแท้ที่จะขึ้นมาใหม่ เพราะโดยธรรมชาติของฟันจะเคลื่อนมาข้างหน้าเป็นปกติ หากมีการสูญเสียฟันน้ำนมไปก่อนกำหนด ฟันแท้ที่อยู่ข้างล่างจะไม่มีพื้นที่พอที่จะขึ้นมา ทำให้เกิดปัญหาการซ้อนหรือฟันเก
(Cr: http://m.dmc.tv/dhamma/index.php?action=page&id=16752)
แล้วคุณทราบหรือไม่คะว่า คุณต้องพาลูกไปพบหมอฟันครั้งแรกตอนอายุเท่าไหร่? เชื่อว่าคนไทยหลายคนตอบไม่ได้ ค่ะ ไม่เป็นไร หมอขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะคะ ว่าตั้งแต่ 6 เดือนแรกหรือ ทันทีที่ฟันซี่แรกขึ้นในช่องปาก และควรมาพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน
อย่างไรก็ตาม หมอพบว่าคุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่ จะพาลูกมาพบหมอฟันเมื่อเด็กมีอาการปวดเท่านั้น(ไม่ได้หมายถึงคุณพ่อคุณแม่ทุกท่านนะคะ แต่ส่วนใหญ่โดยเฉพาะตามต่างจังหวัด) ซึ่ง การทำแบบนี้ทราบไหมคะ ว่ามันเป็นการสร้างความทรงจำที่เลวร้ายต่อตัวเด็กเองขนาดไหนนะคะ คุณลองนึกภาพเด็กอายุ 4-5 ขวบ ปวดฟันจนนอนไม่หลับ ทานอาหารก็ไม่ได้ ซ้ำร้ายบางคนมีหนอง หรือ บวมมาหาหมอไหมคะ น้องทั้งปวดฟัน ทั้งงอแง หนูปวดฟันจะแย่แล้ว แม่ยังพามาที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่เคยเห็นมาก่อน เสียงก็ดัง (เสียงเครื่องมือทำฟันก็ดังอยู่แล้วคงพอนึกภาพออกนะคะ) แถมยังโดนที่บ้าน คนรอบข้างขู่เรื่องหมอเป็นประจำ ไม่ต้องเด็กหรอคะผู้ใหญ่บางคนยังกลัวเลย
ดังนั้นไม่ว่าหมอจะแต่งหน้ามาสวยเหมือนนางงามจักรวาลมาเอง มีรัศมีนางฟ้าเรืองรองเป็นประกายรอบตัว เด็กส่วนใหญ่ก็จะไม่ให้ความร่วมมือคะ ซึ่งกรณีที่ น้องจะไม่ให้ความร่วมมือในการทำหัตถการใดๆ ทั้งนั้นซึ่งทำให้เกิดการกรีดร้องเสียงสนั่นต้องใช้ผู้ช่วยจับเพื่อให้น้องอยู่นิ่ง ใช้เสียงดังหรือใช้เครื่องมือช่วยมัด ซึ่งดูแล้วช่างทารุณทางร่างกายและจิตใจยิ่งนัก (ในสายตาพ่อแม่บางท่าน)
ซึ่งในกรณีแบบนี้หมอจะไม่โทษเด็กหรอกคะ ขอให้ทราบไว้เลยนะคะ ว่า มันเป็นความผิดของคุณพ่อคุณแม่นั้นแหละคะ แน่นอนคะ คุณอ่านไม่ผิด ดูปากหมอเลยนะคะ ความผิดของคุณพ่อคุณแม่นั่นแหละคะ!!!!! คือ ฟันลูกคุณผุ เนี๊ยะ หมอไม่ได้เป็นคนทำนะคะ คุณก็ดูแลลูกของคุณเอง อยู่กับลูกทุกวัน ดูแลกันยังไงคะ ปล่อยให้ลูกฟันผุจนเหลือแต่ตอ อ้าปากมาฟันดำทั้งปากแบบเนี๊ยะ
ผู้ปกครองบางท่าน ยังมีการปลอบลูกว่า ไม่เป็นไรนะลูกทีหลังแม่ไม่พามาหาหมอแล้วเนอะ หนูจะได้ไม่เจ็บ!!!!~ (เหตุการณ์ จริง เจอจริง กับเพื่อนหมอ นี่แหละคะ) คือ ช็อก ค่ะ ช็อก
(voice control ->เป็นการควบคุมพฤติกรรมของเด็กโดยการใช้เสียงดัง เพื่อทำให้เด็กสงบลง ซึ่งหลายท่านอาจจะเคยเห็นคลิปวีดีโอที่ผู้ปกครองต่อว่าหมอที่ใช้เสียงดังกับลูกกันมาบ้างแล้วนะคะ)
ซึ่งสิ่งที่ตามมาคือ จะพบว่าทันตแพทย์บางส่วนในปัจจุบันนี้ เลือกที่จะหลีกเลี่ยงการรักษา ในกรณีที่เด็กไม่ให้ความร่วมมือมากๆ ก็เข้าใจหมอด้วยนะคะ ว่าสถานการณ์หลายอย่างทำให้หมอบางท่านเลือกจะ ไม่ให้การรักษาและส่งต่อการรักษาให้ทันตแพทย์เฉพาะทางมากกว่า(แน่นอนว่า ทันตแพทย์เฉพาะทางส่วนใหญ่จะงานล้นมือ นัดล่วงหน้ายาวไป 2 เดือน) แล้วผลเสียก็ไม่ได้ไปตกอยู่ที่ใครหรอกคะ นอกจากลูกของท่านเอง (ก็รอคิวทำฟันไปคะ)
เทียบกับเด็กอีกคนที่คุณแม่พามาหาหมอฟันเป็นประจำ เรียกว่าเจอกันตั้งแต่เด็ก จนชินกับหมอ แม้นว่า 1-2 ครั้งแรกน้องจะร้องไห้ตามปกติของเด็ก แต่มักจะพบว่าเด็กกลุ่มนี้จะมีสุขภาพช่องปากที่ดี เนื่องจากได้รับการดูแล จากหมออย่างต่อเนื่อง และไม่มีอาการกลัวหมอแบบเด็กกลุ่มแรก เด็กบางคนเกิดมาไม่เคยมีฟันผุในปากตั้งแต่ฟันน้ำนม ถึงฟันแท้ ซึ่งต้องขอชื่นชมคุณพ่อคุณแม่นะคะ แบบนี่สิคะ พ่อแม่ตัวอย่าง ในเมื่อตัดสินใจให้เค้าเกิดมาแล้วก็ดูแลให้ดีหน่อยนะคะ ไม่ใช่สักแต่ว่ามี (หมออิจฉาคะ หาไม่ได้ เอ๊ยไม่ใช่ 5555+)
บ่นมายืดยาว สรุป ว่า ใส่ใจบุตรหลานของท่าน พาไปพบทันตแพทย์บ้างนะคะ เสียสละเวลาแค่ปีละ 2 วันเองคะ อย่าพามาเฉพาะเวลาลูกปวดฟันเลยคะ หมอปวดใจ (และบางกรณี หลังจากเสร็จเคสแล้ว หมอจะปวดหูด้วย เพราะเสียงร้องไห้ของน้องๆ นี่แหละคะ