ธาตุ ๖ อย่าง
๑. ปฐวีธาตุ [ธาตุดิน]
๒. อาโปธาตุ [ธาตุน้ำ]
๓. เตโชธาตุ [ธาตุไฟ]
๔. วาโยธาตุ [ธาตุลม]
๕. อากาศธาตุ [ธาตุอากาศ ช่องว่างมีในกาย]
๖. วิญญาณธาตุ [ธาตุวิญญาณ ความรู้อะไรได้] ฯ
อายตนะภายใน ๖ อย่าง
๑. อายตนะ คือตา
๒. อายตนะ คือหู
๓. อายตนะ คือจมูก
๔. อายตนะ คือลิ้น
๕. อายตนะ คือกาย
๖. อายตนะ คือใจ
[๓๐๕] อายตนะภายนอก ๖ อย่าง
๑. อายตนะ คือ รูป
๒. อายตนะ คือ เสียง
๓. อายตนะ คือ กลิ่น
๔. อายตนะ คือ รส
๕. อายตนะ คือ โผฏฐัพพะ
๖. อายตนะ คือ ธรรม
[๓๐๖] หมวดวิญญาณ ๖
๑. จักขุวิญญาณ [ความรู้สึกอาศัยตา]
๒. โสตวิญญาณ [ความรู้สึกอาศัยหู]
๓. ฆานวิญญาณ [ความรู้สึกอาศัยจมูก]
๔. ชิวหาวิญญาณ [ความรู้สึกอาศัยลิ้น]
๕. กายวิญญาณ [ความรู้สึกอาศัยกาย]
๖. มโนวิญญาณ [ความรู้สึกอาศัยใจ]
[๓๐๗] หมวดผัสสะ ๖
๑. จักขุสัมผัสส์ [ความถูกต้องอาศัยตา]
๒. โสตสัมผัสส์ [ความถูกต้องอาศัยหู]
๓. ฆานสัมผัสส์ [ความถูกต้องอาศัยจมูก]
๔. ชิวหาสัมผัสส์ [ความถูกต้องอาศัยลิ้น]
๕. กายสัมผัสส์ [ความถูกต้องอาศัยกาย]
๖. มโนสัมผัสส์ [ความถูกต้องอาศัยใจ]
[๓๐๘] หมวดเวทนา ๖
๑. จักขุสัมผัสสชาเวทนา [เวทนาที่เกิดแต่ความถูกต้องอาศัยตา]
๒. โสตสัมผัสสชาเวทนา [เวทนาที่เกิดแต่ความถูกต้องอาศัยหู]
๓. ฆานสัมผัสสชาเวทนา [เวทนาที่เกิดแต่ความถูกต้องอาศัยจมูก]
๔. ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา [เวทนาที่เกิดแต่ความถูกต้องอาศัยลิ้น]
๕. กายสัมผัสสชาเวทนา [เวทนาที่เกิดแต่ความถูกต้องอาศัยกาย]
๖. มโนสัมผัสสชาเวทนา [เวทนาที่เกิดแต่ความถูกต้องอาศัยใจ]
[๓๐๙] หมวดสัญญา ๖
๑. รูปสัญญา [สัญญาที่เกิดขึ้นยึดรูปเป็นอารมณ์]
๒. สัททสัญญา [สัญญาที่เกิดขึ้นยึดเสียงเป็นอารมณ์]
๓. คันธสัญญา [สัญญาที่เกิดขึ้นยึดกลิ่นเป็นอารมณ์]
๔. รสสัญญา [สัญญาที่เกิดขึ้นยึดรสเป็นอารมณ์]
๕. โผฏฐัพพสัญญา [สัญญาที่เกิดขึ้นยึดโผฏฐัพพะเป็นอารมณ์]
๖. ธัมมสัญญา [สัญญาที่เกิดขึ้นยึดธรรมเป็นอารมณ์]
[๓๑๐] หมวดสัญเจตนา ๖
๑. รูปสัญเจตนา [ความจงใจที่เกิดขึ้นยึดรูปเป็นอารมณ์]
๒. สัททสัญเจตนา [ความจงใจที่เกิดขึ้นยึดเสียงเป็นอารมณ์]
๓. คันธสัญเจตนา [ความจงใจที่เกิดขึ้นยึดกลิ่นเป็นอารมณ์]
๔. รสสัญเจตนา [ความจงใจที่เกิดขึ้นยึดรสเป็นอารมณ์]
๕. โผฏฐัพพสัญเจตนา [ความจงใจที่เกิดขึ้นยึดโผฏฐัพพะเป็นอารมณ์]
๖. ธัมมสัญเจตนา [ความจงใจที่เกิดขึ้นยึดธรรมเป็นอารมณ์]
[๓๑๑] หมวดตัณหา ๖
๑. รูปตัณหา [ตัณหาที่เกิดขึ้นยึดรูปเป็นอารมณ์]
๒. สัททตัณหา [ตัณหาที่เกิดขึ้นยึดเสียงเป็นอารมณ์]
๓. คันธตัณหา [ตัณหาที่เกิดขึ้นยึดกลิ่นเป็นอารมณ์]
๔. รสตัณหา [ตัณหาที่เกิดขึ้นยึดรสเป็นอารมณ์]
๕. โผฏฐัพพตัณหา [ตัณหาที่เกิดขึ้นยึดโผฏฐัพพะเป็นอารมณ์]
๖. ธัมมตัณหา [ตัณหาที่เกิดขึ้นยึดธรรมเป็นอารมณ์]
[๓๑๒] อคารวะ ๖ อย่าง
๑. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ไม่เคารพ
ไม่ยำเกรงในพระศาสดาอยู่
๒. เป็นผู้ไม่เคารพ ไม่ยำเกรงในพระธรรมอยู่
๓. เป็นผู้ไม่เคารพ ไม่ยำเกรงในพระสงฆ์อยู่
๔. เป็นผู้ไม่เคารพ ไม่ยำเกรงในการศึกษาอยู่
๕. เป็นผู้ไม่เคารพ ไม่ยำเกรงในความไม่ประมาทอยู่
๖. เป็นผู้ไม่เคารพ ไม่ยำเกรงในการปฏิสันถารอยู่ ฯ
[๓๑๓] คารวะ ๖ อย่าง
๑. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เป็นผู้เคารพยำเกรง
ในพระศาสดาอยู่
๒. เป็นผู้เคารพยำเกรงในพระธรรมอยู่
๓. เป็นผู้เคารพยำเกรงในพระสงฆ์อยู่
๔. เป็นผู้เคารพยำเกรงในการศึกษาอยู่
๕. เป็นผู้เคารพยำเกรงในความไม่ประมาทอยู่
๖. เป็นผู้เคารพยำเกรงในการปฏิสันถารอยู่ ฯ
[๓๑๔] โสมนัสสุปวิจาร ๖ อย่าง
๑. เห็นรูปด้วยตาแล้ว เข้าไปใคร่ครวญรูปอันเป็นที่ตั้งแห่งโสมนัส
๒. ได้ยินเสียงด้วยหูแล้ว เข้าไปใคร่ครวญเสียงอันเป็นที่ตั้งแห่งโสมนัส
๓. ได้ดมกลิ่นด้วยจมูกแล้ว เข้าไปใคร่ครวญกลิ่นอันเป็นที่ตั้งแห่ง
โสมนัส
๔. ได้ลิ้มรสด้วยลิ้นแล้ว เข้าไปใคร่ครวญรสอันเป็นที่ตั้งแห่งโสมนัส
๕. ได้ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว เข้าไปใคร่ครวญโผฏฐัพพะอันเป็น
ที่ตั้งแห่งโสมนัส
๖. รู้แจ้งธรรมด้วยใจแล้ว เข้าไปใคร่ครวญธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่ง
โสมนัส ฯ
[๓๑๕] โทมนัสสุปวิจาร ๖ อย่าง
๑. เห็นรูปด้วยตาแล้ว เข้าไปใคร่ครวญรูปอันเป็นที่ตั้งแห่งโทมนัส
๒. ได้ยินเสียงด้วยหูแล้ว เข้าไปใคร่ครวญเสียงอันเป็นที่ตั้งแห่งโทมนัส
๓. ได้ดมกลิ่นด้วยจมูกแล้ว เข้าไปใคร่ครวญกลิ่นอันเป็นที่ตั้งแห่ง
โทมนัส
๔. ได้ลิ้มรสด้วยลิ้นแล้ว เข้าไปใคร่ครวญรสอันเป็นที่ตั้งแห่งโทมนัส
๕. ได้ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว เข้าไปใคร่ครวญโผฏฐัพพะอัน
เป็นที่ตั้งแห่งโทมนัส
๖. รู้แจ้งธรรมด้วยใจแล้ว เข้าไปใคร่ครวญธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่ง
โทมนัส ฯ
[๓๒๑] อนุตตริยะ ๖ อย่าง
๑. ทัสสนานุตตริยะ [การเห็นอย่างยอดเยี่ยม]
๒. สวนานุตตริยะ [การฟังอย่างยอดเยี่ยม]
๓. ลาภานุตตริยะ [การได้อย่างยอดเยี่ยม]
๔. สิกขานุตตริยะ [การศึกษาอย่างยอดเยี่ยม]
๕. ปาริจริยานุตตริยะ [การบำเรออย่างยอดเยี่ยม]
๖. อนุสสตานุตตริยะ [การระลึกถึงอย่างยอดเยี่ยม]
[๓๒๒] อนุสสติฐาน ๖ อย่าง
๑. พุทธานุสสติ [ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า]
๒. ธัมมานุสสติ [ระลึกถึงคุณของพระธรรม]
๓. สังฆานุสสติ [ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์]
๔. สีลานุสสติ [ระลึกถึงศีล]
๕. จาคานุสสติ [ระลึกถึงทานที่ตนบริจาค]
๖. เทวตานุสสติ [ระลึกถึงเทวดา]
[๓๒๓] สตตวิหาร [ธรรมเป็นเครื่องอยู่เนืองๆ] ๖ อย่าง
๑. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยนัยน์ตาแล้ว
ย่อมเป็นผู้ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ แต่เป็นผู้วางเฉย มีสติสัมปชัญญะอยู่
๒. ฟังเสียงด้วยหูแล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่ดีใจไม่เสียใจ แต่เป็นผู้วางเฉย
มีสติสัมปชัญญะอยู่
๓. ดมกลิ่นด้วยจมูกแล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่ดีใจไม่เสียใจ แต่เป็นผู้วางเฉย
มีสติสัมปชัญญะอยู่
๔. ลิ้มรสด้วยลิ้นแล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่ดีใจไม่เสียใจ แต่เป็นผู้วางเฉย
มีสติสัมปชัญญะอยู่
๕. ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่ดีใจไม่เสียใจ แต่เป็น
ผู้วางเฉย มีสติสัมปชัญญะอยู่
๖. รู้แจ้งธรรมด้วยใจแล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่ดีใจไม่เสียใจ แต่เป็นผู้วางเฉย
มีสติสัมปชัญญะอยู่ ฯ
[๓๒๔] อภิชาติ ๖ อย่าง
๑. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดในที่ดำ ประสพ
ธรรมฝ่ายดำ
๒. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดในที่ดำ ประสพ
ธรรมฝ่ายขาว
๓. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดในที่ดำ ประสพ
พระนิพพานซึ่งเป็นฝ่ายที่ไม่ดำไม่ขาว
๔. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดในที่ขาว ประสพ
ธรรมฝ่ายขาว
๕. ผู้มีอายุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดในที่ขาว ประสพ
ธรรมฝ่ายดำ
๖. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดในที่ขาว ประสพ
พระนิพพานซึ่งเป็นฝ่ายที่ไม่ดำไม่ขาว ฯ
[๓๒๕] นิพเพธภาคิยสัญญา ๖ อย่าง
๑. อนิจจสัญญา [กำหนดหมายความไม่เที่ยง]
๒. อนิจเจ ทุกขสัญญา [กำหนดหมายความเป็นทุกข์ในสิ่งที่ไม่เที่ยง]
๓. ทุกเข อนัตตสัญญา [กำหนดหมายความเป็นอนัตตาในสิ่งที่เป็นทุกข์]
๔. ปหานสัญญา [กำหนดหมายเพื่อละ]
๕. วิราคสัญญา [กำหนดหมายเพื่อคลายเสียซึ่งความกำหนัด]
๖. นิโรธสัญญา [กำหนดหมายเพื่อความดับสนิท]
ว่าด้วยธรรมมีประเภทละ ๖ๆ
๑. ปฐวีธาตุ [ธาตุดิน]
๒. อาโปธาตุ [ธาตุน้ำ]
๓. เตโชธาตุ [ธาตุไฟ]
๔. วาโยธาตุ [ธาตุลม]
๕. อากาศธาตุ [ธาตุอากาศ ช่องว่างมีในกาย]
๖. วิญญาณธาตุ [ธาตุวิญญาณ ความรู้อะไรได้] ฯ
อายตนะภายใน ๖ อย่าง
๑. อายตนะ คือตา
๒. อายตนะ คือหู
๓. อายตนะ คือจมูก
๔. อายตนะ คือลิ้น
๕. อายตนะ คือกาย
๖. อายตนะ คือใจ
[๓๐๕] อายตนะภายนอก ๖ อย่าง
๑. อายตนะ คือ รูป
๒. อายตนะ คือ เสียง
๓. อายตนะ คือ กลิ่น
๔. อายตนะ คือ รส
๕. อายตนะ คือ โผฏฐัพพะ
๖. อายตนะ คือ ธรรม
[๓๐๖] หมวดวิญญาณ ๖
๑. จักขุวิญญาณ [ความรู้สึกอาศัยตา]
๒. โสตวิญญาณ [ความรู้สึกอาศัยหู]
๓. ฆานวิญญาณ [ความรู้สึกอาศัยจมูก]
๔. ชิวหาวิญญาณ [ความรู้สึกอาศัยลิ้น]
๕. กายวิญญาณ [ความรู้สึกอาศัยกาย]
๖. มโนวิญญาณ [ความรู้สึกอาศัยใจ]
[๓๐๗] หมวดผัสสะ ๖
๑. จักขุสัมผัสส์ [ความถูกต้องอาศัยตา]
๒. โสตสัมผัสส์ [ความถูกต้องอาศัยหู]
๓. ฆานสัมผัสส์ [ความถูกต้องอาศัยจมูก]
๔. ชิวหาสัมผัสส์ [ความถูกต้องอาศัยลิ้น]
๕. กายสัมผัสส์ [ความถูกต้องอาศัยกาย]
๖. มโนสัมผัสส์ [ความถูกต้องอาศัยใจ]
[๓๐๘] หมวดเวทนา ๖
๑. จักขุสัมผัสสชาเวทนา [เวทนาที่เกิดแต่ความถูกต้องอาศัยตา]
๒. โสตสัมผัสสชาเวทนา [เวทนาที่เกิดแต่ความถูกต้องอาศัยหู]
๓. ฆานสัมผัสสชาเวทนา [เวทนาที่เกิดแต่ความถูกต้องอาศัยจมูก]
๔. ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา [เวทนาที่เกิดแต่ความถูกต้องอาศัยลิ้น]
๕. กายสัมผัสสชาเวทนา [เวทนาที่เกิดแต่ความถูกต้องอาศัยกาย]
๖. มโนสัมผัสสชาเวทนา [เวทนาที่เกิดแต่ความถูกต้องอาศัยใจ]
[๓๐๙] หมวดสัญญา ๖
๑. รูปสัญญา [สัญญาที่เกิดขึ้นยึดรูปเป็นอารมณ์]
๒. สัททสัญญา [สัญญาที่เกิดขึ้นยึดเสียงเป็นอารมณ์]
๓. คันธสัญญา [สัญญาที่เกิดขึ้นยึดกลิ่นเป็นอารมณ์]
๔. รสสัญญา [สัญญาที่เกิดขึ้นยึดรสเป็นอารมณ์]
๕. โผฏฐัพพสัญญา [สัญญาที่เกิดขึ้นยึดโผฏฐัพพะเป็นอารมณ์]
๖. ธัมมสัญญา [สัญญาที่เกิดขึ้นยึดธรรมเป็นอารมณ์]
[๓๑๐] หมวดสัญเจตนา ๖
๑. รูปสัญเจตนา [ความจงใจที่เกิดขึ้นยึดรูปเป็นอารมณ์]
๒. สัททสัญเจตนา [ความจงใจที่เกิดขึ้นยึดเสียงเป็นอารมณ์]
๓. คันธสัญเจตนา [ความจงใจที่เกิดขึ้นยึดกลิ่นเป็นอารมณ์]
๔. รสสัญเจตนา [ความจงใจที่เกิดขึ้นยึดรสเป็นอารมณ์]
๕. โผฏฐัพพสัญเจตนา [ความจงใจที่เกิดขึ้นยึดโผฏฐัพพะเป็นอารมณ์]
๖. ธัมมสัญเจตนา [ความจงใจที่เกิดขึ้นยึดธรรมเป็นอารมณ์]
[๓๑๑] หมวดตัณหา ๖
๑. รูปตัณหา [ตัณหาที่เกิดขึ้นยึดรูปเป็นอารมณ์]
๒. สัททตัณหา [ตัณหาที่เกิดขึ้นยึดเสียงเป็นอารมณ์]
๓. คันธตัณหา [ตัณหาที่เกิดขึ้นยึดกลิ่นเป็นอารมณ์]
๔. รสตัณหา [ตัณหาที่เกิดขึ้นยึดรสเป็นอารมณ์]
๕. โผฏฐัพพตัณหา [ตัณหาที่เกิดขึ้นยึดโผฏฐัพพะเป็นอารมณ์]
๖. ธัมมตัณหา [ตัณหาที่เกิดขึ้นยึดธรรมเป็นอารมณ์]
[๓๑๒] อคารวะ ๖ อย่าง
๑. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ไม่เคารพ
ไม่ยำเกรงในพระศาสดาอยู่
๒. เป็นผู้ไม่เคารพ ไม่ยำเกรงในพระธรรมอยู่
๓. เป็นผู้ไม่เคารพ ไม่ยำเกรงในพระสงฆ์อยู่
๔. เป็นผู้ไม่เคารพ ไม่ยำเกรงในการศึกษาอยู่
๕. เป็นผู้ไม่เคารพ ไม่ยำเกรงในความไม่ประมาทอยู่
๖. เป็นผู้ไม่เคารพ ไม่ยำเกรงในการปฏิสันถารอยู่ ฯ
[๓๑๓] คารวะ ๖ อย่าง
๑. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เป็นผู้เคารพยำเกรง
ในพระศาสดาอยู่
๒. เป็นผู้เคารพยำเกรงในพระธรรมอยู่
๓. เป็นผู้เคารพยำเกรงในพระสงฆ์อยู่
๔. เป็นผู้เคารพยำเกรงในการศึกษาอยู่
๕. เป็นผู้เคารพยำเกรงในความไม่ประมาทอยู่
๖. เป็นผู้เคารพยำเกรงในการปฏิสันถารอยู่ ฯ
[๓๑๔] โสมนัสสุปวิจาร ๖ อย่าง
๑. เห็นรูปด้วยตาแล้ว เข้าไปใคร่ครวญรูปอันเป็นที่ตั้งแห่งโสมนัส
๒. ได้ยินเสียงด้วยหูแล้ว เข้าไปใคร่ครวญเสียงอันเป็นที่ตั้งแห่งโสมนัส
๓. ได้ดมกลิ่นด้วยจมูกแล้ว เข้าไปใคร่ครวญกลิ่นอันเป็นที่ตั้งแห่ง
โสมนัส
๔. ได้ลิ้มรสด้วยลิ้นแล้ว เข้าไปใคร่ครวญรสอันเป็นที่ตั้งแห่งโสมนัส
๕. ได้ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว เข้าไปใคร่ครวญโผฏฐัพพะอันเป็น
ที่ตั้งแห่งโสมนัส
๖. รู้แจ้งธรรมด้วยใจแล้ว เข้าไปใคร่ครวญธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่ง
โสมนัส ฯ
[๓๑๕] โทมนัสสุปวิจาร ๖ อย่าง
๑. เห็นรูปด้วยตาแล้ว เข้าไปใคร่ครวญรูปอันเป็นที่ตั้งแห่งโทมนัส
๒. ได้ยินเสียงด้วยหูแล้ว เข้าไปใคร่ครวญเสียงอันเป็นที่ตั้งแห่งโทมนัส
๓. ได้ดมกลิ่นด้วยจมูกแล้ว เข้าไปใคร่ครวญกลิ่นอันเป็นที่ตั้งแห่ง
โทมนัส
๔. ได้ลิ้มรสด้วยลิ้นแล้ว เข้าไปใคร่ครวญรสอันเป็นที่ตั้งแห่งโทมนัส
๕. ได้ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว เข้าไปใคร่ครวญโผฏฐัพพะอัน
เป็นที่ตั้งแห่งโทมนัส
๖. รู้แจ้งธรรมด้วยใจแล้ว เข้าไปใคร่ครวญธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่ง
โทมนัส ฯ
[๓๒๑] อนุตตริยะ ๖ อย่าง
๑. ทัสสนานุตตริยะ [การเห็นอย่างยอดเยี่ยม]
๒. สวนานุตตริยะ [การฟังอย่างยอดเยี่ยม]
๓. ลาภานุตตริยะ [การได้อย่างยอดเยี่ยม]
๔. สิกขานุตตริยะ [การศึกษาอย่างยอดเยี่ยม]
๕. ปาริจริยานุตตริยะ [การบำเรออย่างยอดเยี่ยม]
๖. อนุสสตานุตตริยะ [การระลึกถึงอย่างยอดเยี่ยม]
[๓๒๒] อนุสสติฐาน ๖ อย่าง
๑. พุทธานุสสติ [ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า]
๒. ธัมมานุสสติ [ระลึกถึงคุณของพระธรรม]
๓. สังฆานุสสติ [ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์]
๔. สีลานุสสติ [ระลึกถึงศีล]
๕. จาคานุสสติ [ระลึกถึงทานที่ตนบริจาค]
๖. เทวตานุสสติ [ระลึกถึงเทวดา]
[๓๒๓] สตตวิหาร [ธรรมเป็นเครื่องอยู่เนืองๆ] ๖ อย่าง
๑. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยนัยน์ตาแล้ว
ย่อมเป็นผู้ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ แต่เป็นผู้วางเฉย มีสติสัมปชัญญะอยู่
๒. ฟังเสียงด้วยหูแล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่ดีใจไม่เสียใจ แต่เป็นผู้วางเฉย
มีสติสัมปชัญญะอยู่
๓. ดมกลิ่นด้วยจมูกแล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่ดีใจไม่เสียใจ แต่เป็นผู้วางเฉย
มีสติสัมปชัญญะอยู่
๔. ลิ้มรสด้วยลิ้นแล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่ดีใจไม่เสียใจ แต่เป็นผู้วางเฉย
มีสติสัมปชัญญะอยู่
๕. ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่ดีใจไม่เสียใจ แต่เป็น
ผู้วางเฉย มีสติสัมปชัญญะอยู่
๖. รู้แจ้งธรรมด้วยใจแล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่ดีใจไม่เสียใจ แต่เป็นผู้วางเฉย
มีสติสัมปชัญญะอยู่ ฯ
[๓๒๔] อภิชาติ ๖ อย่าง
๑. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดในที่ดำ ประสพ
ธรรมฝ่ายดำ
๒. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดในที่ดำ ประสพ
ธรรมฝ่ายขาว
๓. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดในที่ดำ ประสพ
พระนิพพานซึ่งเป็นฝ่ายที่ไม่ดำไม่ขาว
๔. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดในที่ขาว ประสพ
ธรรมฝ่ายขาว
๕. ผู้มีอายุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดในที่ขาว ประสพ
ธรรมฝ่ายดำ
๖. ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เกิดในที่ขาว ประสพ
พระนิพพานซึ่งเป็นฝ่ายที่ไม่ดำไม่ขาว ฯ
[๓๒๕] นิพเพธภาคิยสัญญา ๖ อย่าง
๑. อนิจจสัญญา [กำหนดหมายความไม่เที่ยง]
๒. อนิจเจ ทุกขสัญญา [กำหนดหมายความเป็นทุกข์ในสิ่งที่ไม่เที่ยง]
๓. ทุกเข อนัตตสัญญา [กำหนดหมายความเป็นอนัตตาในสิ่งที่เป็นทุกข์]
๔. ปหานสัญญา [กำหนดหมายเพื่อละ]
๕. วิราคสัญญา [กำหนดหมายเพื่อคลายเสียซึ่งความกำหนัด]
๖. นิโรธสัญญา [กำหนดหมายเพื่อความดับสนิท]