
--เรื่องมันเริ่มต้นจากการจองตั๋วเครื่องบินราคาถูกของ Air Asia จองไว้ตั้งแต่เดือน มกรา ปี 58
บินเดือน สิงหา ปี 58 นานมะ ค่าตั๋วประมาณ 1,500 ไปกลับ ตอนนั้นโฆษณามันจูงใจมาก
ได้รู้ข่าวโปรฯแล้วต้องจอง ไปได้ไม่ได้ไม่รู้ แต่ต้องจองไว้ก่อน
อยากเที่ยว แค่ได้จองตั๋วก็ฟินละตอนนั้น 5555

เฝ้ารอมาเป็นเวลา 8 เดือน และแล้วก็ถึงเวลาซะที เราได้ Gate หรือ ประตูขึ้นเครื่องที่ 33
โชคดีที่ไม่ไกลเท่าไหร่ ก่อนหน้านี้ได้ไกลมาตลอด ประมาณ 70-80 วิ่งป่าลากเลยจ้าาาาา
ก็เพราะเราไปถึงสนามบินสาย ไม่ได้ผิดที่ประตูขึ้นเครื่องมันไกล
แต่ผิดที่คนนี่แหละที่ไม่รู้จักไปให้มันทัน T^Tเครื่องขึ้นประมาณ 6:50 แดดดี๊ดี
อันนี้เป็นวิวกรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ ลองมองดูข้างล่าง เห็นวัดพระแก้วปะ อิอิ

บินประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที อากาศวันนี้ถือว่าดี ไม่มีฝน ยังนะ ยังไม่มี
เรากลัวมากถ้าฝนตกตอนที่เครื่องกำลังจะลง แต่วันนี้ถือว่าโชคดีไป สบัยใจ หุหุหุ ^3^

ถึงสนามบิน ก็รอพี่มารับ พี่คนที่จะมารับเค้าเป็นญาติของพี่ที่ไปเที่ยวด้วยกันในครั้งนี้.....
(ไม่งงเนาะ....โอเค เก่งมาก) ที่ที่จะไปกันอันดับแรกเลย คือ !!!! วัดพระทอง (พระผุด)

เราหาข้อมูลมาจากหนังสือเล่มนึงที่ได้ซื้อมา แล้วเห็นว่าวัดนี้
เป็นทางเดียวกันกับที่เรากำลังจะไป.....แล้วก็มีประวัติที่น่าสนใจ นั่นก็คือ

และเค้าได้บอกว่า ขนาดจริงของพระผุด จะเท่ากับองค์จำลองที่อยู่ใกล้ๆกัน ก็คือองค์นี้

หลังจากจุด ธูป เทียน ไหว้พระ เสร็จแล้ว เป้าหมายต่อไปของพวกเราก็คืออออ
>> บ้-า-น-ตี-ลั-ง-ก-า<<

ที่นี่เป็นทางผ่านเหมือนกัน ค่าเข้าราคาคนไทย คนละ 220 ก็ถือว่าราคาสูงเนาะ แต่ไหนๆก็มาแล้ว
แล้วที่อื่นในเมืองไทยก็ไม่มี (น่าจะไม่มี) ก็เลยคิดว่าครั้งนึงในชีวิต เอาวะ
จ่ายตังกันไปตอนแรกก็เสียดาย เพราะไม่รู้ว่ามันจะคุ้มรึป่าว
แต่พอได้เข้ามาในบ้านเท่านั้นแหละ ว้าววววว OoO

อิอิ เอารูปมาให้ดูแค่นี้ละกันเนาะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เพราะว่าอันนี้เพิ่งเริ่มต้นเอง
ยังเหลืออีกตั้ง 2 วันครึ่ง ที่เราต้องลง แต่ที่นี่ถือว่าเจ๋งนะ แต่ถ่ายรูปแบบว่า งงมาก
ต้องให้เจ้าหน้าที่เค้ามาช่วยสอน คือเค้าสอนว่า ต้องทำขาเขย่งๆ ละก็กางออกจากกัน
อีกข้างนึงยกขึ้นมางอเข่าเล็กน้อย (เราหมายถึงนางแบบนะ มะใช่คนถ่าย) ละที่สำคัญหน้า
หน้าต้องเล่นใหญ่ไว้ก่อน (เค้าหมายถึงแอ็คติ้งนะ - -“ )
ส่วนคนถ่าย ก็ถ่ายปกติ ไม่ต้องตีลังกาถ่ายเน่อ 5555 แต่มุมมันต้องแบบว่า
เอียงกล้องลงเล็กน้อย ยกขึ้นสูงหน่อยๆ เราก็อธิบายไม่ค่อยจะถูก
ต้องไปลองกันดู (เราก็ถ่ายไม่ค่อยจะเป็น)
แต่เราว่าคนที่ถูกถ่ายจะเหนื่อยกว่า เพราะต้องกลั้นหายใจ เพราะมันต้องเขย่งไง
แล้วก็ทำต้องหน้าใหญ่ๆ ไม่งั้นรูปออกมาจะธรรมดา ฮืมมมมมมม (-.-)
ว่าแต่...ของเรารูปมันพอใช้ได้มะ หรือว่ามันดูธรรมดา อิอิ ยังไงก็อย่าว่ากันนะ ~.~

ที่ต่อมาคือ วัดพระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรี (วัดพระใหญ่) จะเป็นวัดที่อยู่บนภูเขา
เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย ที่ใหญ่ที่สุดแห่งเกาะภูเก็ต ประดับด้วยหินอ่อนหยกขาว
ทางขึ้นชันบ้างอะไรบ้าง ถ้าขับรถมาก็อย่าประมาทกันนะ เก๊าเป็นห่วง

อันนี้เป็นศาลาชมวิวของ วัดพระใหญ่ ตอนแรกที่เห็นศาลานี้เรานึกถึงไรรู้ปะ ..... เรานึกถึง
ม่อนแจ่มเชียงใหม่ อิอิ นึกแล้วก็อยากไปเชียงใหม่ไปอีกกกกกก หุหุหุหุ >.<

ฝนเริ่มตั้งเค้าแล้วจ้า ตอนที่อยู่ที่วัดพระใหญ่ลมกรรโชกแรงมาก
เดินทีแทบปลิว โชคดีที่ไม่ได้เกิดมาตัวเล็ก

Next Station วัดฉลอง วัดนี้เค้าบอกว่าใครมาภูเก็ต ต้องมากราบไหว้กันนะ ไม่งั้นจะถือว่ามาไม่ถึง
ที่วัดนี้เป็นที่ประดิษฐาน หลวงพ่อแช่ม พระครูซึ่งเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวภูเก็ต

และนี้คือบริเวณภายในของรูปข้างบน วิจิตรสวยงามมากยิ่งนัก ฮืมมมมม

ต่อไป เราไปเที่ยวเขากัน ปะ.....สไลด์ต่อเลย
ต่อไปเป็น เขารัง PHUKET จะเป็นจุดชมวิวตัวเมืองภูเก็ต บนนั้นมีร้านกาแฟชื่อดังอยู่ ก็คือ ทุ่งคากาแฟ
แต่ว่าเราไม่ได้ไปกินหงะ ก็บอกแล้วมาแบบ Low เรื่องกินเรื่องรอง ขอเรื่องที่เที่ยวมาก่อน

หลังจากจอดรถเสร็จ ก็เจอเจ้าถิ่นมารับแขก ถามว่าเรากลัวไหม ขอบอกเลยว่ามากกกกก
อันนี้เป็นจุดชมวิวเขารัง เดินเข้าไปอีก ก็จะเป็นลานกว้าง ไว้ถ่ายรูปวิวเมืองภูเก็ต

วิวก็จะเป็นประมาณนี้ แต่เห็นเค้าว่ากันว่า กลางคืนจะสวยมาก แต่เราไม่เคยเห็นหรอกนะ
อยากเหมือนกันแต่ก็กลัว เพราะทางมันเป็นขึ้นเขา เอาแค่วิวกลางวันก็พอ

เวลาเริ่มจะเย็นละ เราไปจุดชมวิว แหลมพรหมเทพกัน ตอนนั้นลุ้นนะ ว่าฝนจะตกไหม
แต่ไม่น่าเชื่อ ฝนตกตอนขึ้นรถตลอด แต่ตอนที่ลงไปถ่ายร่งถ่ายรูปไม่ตก โชคดีมาก 55555
ถึงแล้ว แหลมพรหมเทพ เค้าว่ากันว่า ถ้ามาภูเก็ต แล้วไม่มาแหลมพรหมเทพ ถือว่ามาไม่ถึง
ที่นี่ลมแรงมาก แรงกว่า ตอนที่อยู่วัดพระใหญ่ซะอีก ต้องระวังให้มาก เพราะตรงที่ไปยืนถ่ายรูป ถ้าตกก็.......อืมมมม
แต่ฟินมากอะ เพราะโคดดดดฉวยยย บรรยายไม่ถูก ต้องไปดูให้เห็นกะตาเอง
ถ่ายรูปมาก็ไม่สวยเท่าตาเห็น (เพราะเราถ่ายไม่สวยด้วย อิอิ) จริงๆข้างล่างเค้าเดินไปถึงแหลมได้ด้วยนะ
ตอนแรกก็กะจะเดิน แต่ถ่ายรูปตรงนั้นกันนานมาก กลัวฝนจะตกด้วย ก็เลยตัดสินใจกันว่าไม่ไปดีกว่า
ขอนั่งชิลดูพระอาทิตย์ตก แต่.....เมฆเยอะมาก มองไม่เห็นพระอาทิตย์กันเลยจ้าาาาา
แต่ก็ดีแล้วแหละที่ฝนไม่ตก เนาะ ^^

หลังจากดูพระอาทิตย์ตก (ที่ได้เห็นแค่แสงรอดผ่านก้อนเมฆ) เราก็มากินข้าวกันที่
ศาลาลอย จะอยู่แถวๆหาดราไวย์ ก็คือลงมาจากแหลมพรหมเทพก็แวะกินได้เลย
เค้าบอกว่าร้านนี้อร่อย ราคาไม่แพง เราไม่ได้ถ่ายรูปของกินเลยอะ
เพราะว่าเห็นของกินก็จะลืมอุปกรณ์กล้องไปเลย 55555 พอกินข้าวเสร็จ ก็กลับห้องพักกัน เราพักที่นี่

เป็นเกสเฮาส์ราคาเบาๆ คืนละ 500 บอกแล้วว่าทริปนี้ มาแบบ Low Budget แฮ่...^>^
ภายในห้องก็จะมีตู้เย็น แอร์ เครื่องทำน้ำอุ่น ทีวี เคเบิล ละก็จะมีระเบียงด้านหน้าด้วย
ถ้าจองฝั่งที่มีระเบียง อ่า ละก็มีผ้าเช็ดตัว สบู่
เกสเฮาส์จะอยู่ในซอย เดินมาหน่อยเดียว ก็ถึงถนนใหญ่ เลี้ยวขวาก็จะเจอธนาคาไทยพาณิชย์
เดินมาหน่อยก็มี เซเว่นอีเลฟเว่น ฝั่งตรงข้าม มีร้านอาหารตามสั่ง และก๋วยเตี๋ยว ผัดไท
คนขายใจดี ราคา 50 บาท แต่ได้เยอะมาก อร่อยด้วย
ชื่อว่า - - ครัวน้องพิม - -

วันแรกผ่านไปละ ต่อไปเป็นวันที่ 2 เราจองทัวร์ไว้ ตอนแรกว่าจะไป เกาะราชา กับ เกาะเฮ แต่พี่เค้าบอกว่า
คลื่นลมแรง แนะนำไปพังงาดีกว่า เพราะฝั่งนั้น จะไม่น่ากลัวมาก เพราะตำแหน่งมันเหมือนมี 3 จังหวัดโอบอยู่ก็คือ
พังงา กระบี่ ละก็ภูเก็ต เอ่อลืมบอก ที่ที่เราจะไปก็คือ เขาตะปู หรือที่เรียกกันว่า James Bond Island + เกาะปันหยี หมู่บ้านชาวมุสลิม
ที่ที่มีสนามฟุตบอลกลางน้ำอะ ราคา 1,000 แต่ถ้าใครไม่ไปเกาะปันหยีก็ 900 แต่เราอะเลือก เกาะปันหยีด้วย
เพราะมันเพิ่มมาแค่ 100 เอง จิงปะ รถจะมารับประมาณ 9 โมง วันนั้นเราตื่น 7 โมง พี่ที่มาด้วยกัน
เค้าบอกว่า ตอนตี 4 ฝนตกหนักมาก เราได้ยินก็ใจเสียละ เพราะกลัวนะ การที่ต้องออกทะเลแล้วฝนตกอะ
แค่อยู่บนพื้นดินยังกลัวเลยถูกปะ แล้วนี่ไปอยู่กลางทะเล ว่ายน้ำก็ไม่เป็น
ตอนที่ตื่นมาเมฆก็ปกคลุมแผ่กระจายแบบบางๆ ก้อนเมฆสีเทาๆ แต่พออาบน้ำเสร็จแต่งตัวเสร็จ ฟ้าก็เปิด
แหนะ ทำไมช่างโชคดีอย่างนี้ พอเตรียมของจะออกทะเลเสร็จ ก็ลงมากินข้าวแถวๆนั้น ส่วนมากอาหารที่นี่จะจานละ 50
เช้านี้เรากินข้าวมันไก่ ไก่เค้านุ๊มมมนุ่มมม กินเสร็จก็มารอรถตู้รับไปเที่ยว แล้วก็มุ่งหน้าไปพังงากัน คิดดูว่า
จากหาดกะรน ไปจังหวัดพังงาอะ มันไกลขนาดไหน ไกลใช้ได้นะ นั่งตั้งแต่ 9 โมงกว่าๆ ถึงท่าเรือที่พังงา
ประมาณณณณ 11 โมงกว่าๆเห็นจะได้ พอถึงจุดที่จะไปขึ้นเรือ ก็มาเอาชูชีพ แล้วก็จะมีแม่ค้ามาขายเสื้อกันฝนเรา บอกว่าตัวละ 50 บาท
เชอะ เราไม่ซื้อหรอก แพงจะตาย ซื้อเองไม่ถึง 50 ฝนก็ไม่ได้ตกซะหน่อย แดดออกจะเปรี้ยงปร้าง
แต่ว่าพวกฝรั่งเค้าซื้อกันอยู่นะ เค้าคงกลัวฝน แต่เราคนไทย เราไม่กลัวฝนโว้ยยยยยย
แต่อีกสักพัก อยู่ๆ ฝนก็เทลงมา ตกทั้งๆที่แดดออกอะคิดดู ประเทศไทย อะไรก็เกิดขึ้นได้ เราก็เริ่มมองหน้ากันละ ว่ายังไง
คือตอนแรกอะ กลัวเรื่องการออกเรือ ยังไม่ได้คิดว่าจะซื้อเสื้อกันฝน แต่สักพักหลังจากที่ฝนหยุดไปรอบแรก รอบสองก็มาอีกกกก
เหอๆๆๆๆ คราวนี้เริ่มกลัวเปียกละ เพราะยังไงๆ ก็ต้องออกทะเลอยู่ดี เราเลยตัดสินใจซื้อกัน 4 ตัว ขอเค้าลดราคาเหลือ 150
แม่ค้าก็ใจดี ลดให้ด้วย บอกว่าคนไทยด้วยกัน เรานี่น้ำตาจะไหล คนไทยใจดี T^T
และแล้วก็ได้เวลาออกเดินทางไปเขาตะปู เรือที่เรานั่งคือเรือหางยาว นั่งได้แถวละ 2-3 คน แต่ห้ามเกิน 4
ลำนึง น่าจะบรรทุกได้ 20 – 30 คน ระหว่างเดินทาง ฝนก็ตกเป็นระยะ ตัดสินใจถูกละที่ซื้อเสื้อกันฝน
ไม่งั้นคงเปียกและหนาวแน่ๆ นั่งได้สักพัก ก็ถึงแล้ว จุดนั่งเรือแคนู ทางทัวร์เค้าจะพาเรามานั่งเรือแคนูก่อน ที่เขาทะลุ ถ้ำลอด
เราจะต้องลงจากเรือหางยาว แล้วก็ขึ้นไปที่เรือลำนี้ที่เห็นในรูป แล้วก็เดินไปท้ายเรือเพื่อจะไปขึ้นเรือแคนู
โดยเรือแคนูแต่ละลำ จะมี พนักงานพาย ทำหน้าที่พายเรือพาเราไปชมยังจุดต่างๆ ลำนึง จะได้ 2 คน
รวมพนักงานพายด้วยเป็น 3 โดยที่ระหว่างนั่งนั้น เราจะต้องสวมชูชีพไว้ตลอดเวลาเพื่อความปลอดภัย
และเราก็สามารถขอเค้าพายได้ด้วยนะ เราก็ไปขอเค้าพายมาละ 5555 หนุกดี แต่พายยากอะ
ไม่เหมือนตอนพายที่สวนรถไฟ เพราะที่นี่มันมีคลื่นน้ำไง ไม่ใช่น้ำนิ่ง แล้วเรือแคนูก็จะสวนกันไปมาเยอะมาก

พนักงานพายก็จะพาเราไปดูจุดต่างๆ เช่น พาลอดถ้ำเข้าไปดูธรรมชาติข้างใน เห็นรูเล็กนั่นมั้ย อ่า...นั่นแหละที่เค้าจะพาเราเข้าไป

และแล้วก็เข้ามาเจอธรรมชาติข้างใน 5555 นั่นก็คือ ปลาตีน เฮ้ย!ไม่ได้กวนนะ
แต่เป็นชื่อปลาจริงๆ พนักงานพายเค้าบอกเรามา แต่เราเจอปลาตีนปลอมด้วย ไม่เชื่อลองเลื่อนลงมาดูดิ.....>>>
[CR] ~~ ไปเที่ยว ”ภู” กัน PHUKET นะ ^^ ไปแบบ Low-Low [Low Season & Low Budget] ~~
--เรื่องมันเริ่มต้นจากการจองตั๋วเครื่องบินราคาถูกของ Air Asia จองไว้ตั้งแต่เดือน มกรา ปี 58
บินเดือน สิงหา ปี 58 นานมะ ค่าตั๋วประมาณ 1,500 ไปกลับ ตอนนั้นโฆษณามันจูงใจมาก
ได้รู้ข่าวโปรฯแล้วต้องจอง ไปได้ไม่ได้ไม่รู้ แต่ต้องจองไว้ก่อน
อยากเที่ยว แค่ได้จองตั๋วก็ฟินละตอนนั้น 5555
เฝ้ารอมาเป็นเวลา 8 เดือน และแล้วก็ถึงเวลาซะที เราได้ Gate หรือ ประตูขึ้นเครื่องที่ 33
โชคดีที่ไม่ไกลเท่าไหร่ ก่อนหน้านี้ได้ไกลมาตลอด ประมาณ 70-80 วิ่งป่าลากเลยจ้าาาาา
ก็เพราะเราไปถึงสนามบินสาย ไม่ได้ผิดที่ประตูขึ้นเครื่องมันไกล
แต่ผิดที่คนนี่แหละที่ไม่รู้จักไปให้มันทัน T^Tเครื่องขึ้นประมาณ 6:50 แดดดี๊ดี
อันนี้เป็นวิวกรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ ลองมองดูข้างล่าง เห็นวัดพระแก้วปะ อิอิ
บินประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที อากาศวันนี้ถือว่าดี ไม่มีฝน ยังนะ ยังไม่มี
เรากลัวมากถ้าฝนตกตอนที่เครื่องกำลังจะลง แต่วันนี้ถือว่าโชคดีไป สบัยใจ หุหุหุ ^3^
ถึงสนามบิน ก็รอพี่มารับ พี่คนที่จะมารับเค้าเป็นญาติของพี่ที่ไปเที่ยวด้วยกันในครั้งนี้.....
(ไม่งงเนาะ....โอเค เก่งมาก) ที่ที่จะไปกันอันดับแรกเลย คือ !!!! วัดพระทอง (พระผุด)
เราหาข้อมูลมาจากหนังสือเล่มนึงที่ได้ซื้อมา แล้วเห็นว่าวัดนี้
เป็นทางเดียวกันกับที่เรากำลังจะไป.....แล้วก็มีประวัติที่น่าสนใจ นั่นก็คือ
และเค้าได้บอกว่า ขนาดจริงของพระผุด จะเท่ากับองค์จำลองที่อยู่ใกล้ๆกัน ก็คือองค์นี้
หลังจากจุด ธูป เทียน ไหว้พระ เสร็จแล้ว เป้าหมายต่อไปของพวกเราก็คืออออ
>> บ้-า-น-ตี-ลั-ง-ก-า<<
ที่นี่เป็นทางผ่านเหมือนกัน ค่าเข้าราคาคนไทย คนละ 220 ก็ถือว่าราคาสูงเนาะ แต่ไหนๆก็มาแล้ว
แล้วที่อื่นในเมืองไทยก็ไม่มี (น่าจะไม่มี) ก็เลยคิดว่าครั้งนึงในชีวิต เอาวะ
จ่ายตังกันไปตอนแรกก็เสียดาย เพราะไม่รู้ว่ามันจะคุ้มรึป่าว
แต่พอได้เข้ามาในบ้านเท่านั้นแหละ ว้าววววว OoO
อิอิ เอารูปมาให้ดูแค่นี้ละกันเนาะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เพราะว่าอันนี้เพิ่งเริ่มต้นเอง
ยังเหลืออีกตั้ง 2 วันครึ่ง ที่เราต้องลง แต่ที่นี่ถือว่าเจ๋งนะ แต่ถ่ายรูปแบบว่า งงมาก
ต้องให้เจ้าหน้าที่เค้ามาช่วยสอน คือเค้าสอนว่า ต้องทำขาเขย่งๆ ละก็กางออกจากกัน
อีกข้างนึงยกขึ้นมางอเข่าเล็กน้อย (เราหมายถึงนางแบบนะ มะใช่คนถ่าย) ละที่สำคัญหน้า
หน้าต้องเล่นใหญ่ไว้ก่อน (เค้าหมายถึงแอ็คติ้งนะ - -“ )
ส่วนคนถ่าย ก็ถ่ายปกติ ไม่ต้องตีลังกาถ่ายเน่อ 5555 แต่มุมมันต้องแบบว่า
เอียงกล้องลงเล็กน้อย ยกขึ้นสูงหน่อยๆ เราก็อธิบายไม่ค่อยจะถูก
ต้องไปลองกันดู (เราก็ถ่ายไม่ค่อยจะเป็น)
แต่เราว่าคนที่ถูกถ่ายจะเหนื่อยกว่า เพราะต้องกลั้นหายใจ เพราะมันต้องเขย่งไง
แล้วก็ทำต้องหน้าใหญ่ๆ ไม่งั้นรูปออกมาจะธรรมดา ฮืมมมมมมม (-.-)
ว่าแต่...ของเรารูปมันพอใช้ได้มะ หรือว่ามันดูธรรมดา อิอิ ยังไงก็อย่าว่ากันนะ ~.~
ที่ต่อมาคือ วัดพระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรี (วัดพระใหญ่) จะเป็นวัดที่อยู่บนภูเขา
เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย ที่ใหญ่ที่สุดแห่งเกาะภูเก็ต ประดับด้วยหินอ่อนหยกขาว
ทางขึ้นชันบ้างอะไรบ้าง ถ้าขับรถมาก็อย่าประมาทกันนะ เก๊าเป็นห่วง
อันนี้เป็นศาลาชมวิวของ วัดพระใหญ่ ตอนแรกที่เห็นศาลานี้เรานึกถึงไรรู้ปะ ..... เรานึกถึง
ม่อนแจ่มเชียงใหม่ อิอิ นึกแล้วก็อยากไปเชียงใหม่ไปอีกกกกกก หุหุหุหุ >.<
ฝนเริ่มตั้งเค้าแล้วจ้า ตอนที่อยู่ที่วัดพระใหญ่ลมกรรโชกแรงมาก
เดินทีแทบปลิว โชคดีที่ไม่ได้เกิดมาตัวเล็ก
Next Station วัดฉลอง วัดนี้เค้าบอกว่าใครมาภูเก็ต ต้องมากราบไหว้กันนะ ไม่งั้นจะถือว่ามาไม่ถึง
ที่วัดนี้เป็นที่ประดิษฐาน หลวงพ่อแช่ม พระครูซึ่งเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวภูเก็ต
และนี้คือบริเวณภายในของรูปข้างบน วิจิตรสวยงามมากยิ่งนัก ฮืมมมมม
ต่อไป เราไปเที่ยวเขากัน ปะ.....สไลด์ต่อเลย
ต่อไปเป็น เขารัง PHUKET จะเป็นจุดชมวิวตัวเมืองภูเก็ต บนนั้นมีร้านกาแฟชื่อดังอยู่ ก็คือ ทุ่งคากาแฟ
แต่ว่าเราไม่ได้ไปกินหงะ ก็บอกแล้วมาแบบ Low เรื่องกินเรื่องรอง ขอเรื่องที่เที่ยวมาก่อน
หลังจากจอดรถเสร็จ ก็เจอเจ้าถิ่นมารับแขก ถามว่าเรากลัวไหม ขอบอกเลยว่ามากกกกก
อันนี้เป็นจุดชมวิวเขารัง เดินเข้าไปอีก ก็จะเป็นลานกว้าง ไว้ถ่ายรูปวิวเมืองภูเก็ต
วิวก็จะเป็นประมาณนี้ แต่เห็นเค้าว่ากันว่า กลางคืนจะสวยมาก แต่เราไม่เคยเห็นหรอกนะ
อยากเหมือนกันแต่ก็กลัว เพราะทางมันเป็นขึ้นเขา เอาแค่วิวกลางวันก็พอ
เวลาเริ่มจะเย็นละ เราไปจุดชมวิว แหลมพรหมเทพกัน ตอนนั้นลุ้นนะ ว่าฝนจะตกไหม
แต่ไม่น่าเชื่อ ฝนตกตอนขึ้นรถตลอด แต่ตอนที่ลงไปถ่ายร่งถ่ายรูปไม่ตก โชคดีมาก 55555
ถึงแล้ว แหลมพรหมเทพ เค้าว่ากันว่า ถ้ามาภูเก็ต แล้วไม่มาแหลมพรหมเทพ ถือว่ามาไม่ถึง
ที่นี่ลมแรงมาก แรงกว่า ตอนที่อยู่วัดพระใหญ่ซะอีก ต้องระวังให้มาก เพราะตรงที่ไปยืนถ่ายรูป ถ้าตกก็.......อืมมมม
แต่ฟินมากอะ เพราะโคดดดดฉวยยย บรรยายไม่ถูก ต้องไปดูให้เห็นกะตาเอง
ถ่ายรูปมาก็ไม่สวยเท่าตาเห็น (เพราะเราถ่ายไม่สวยด้วย อิอิ) จริงๆข้างล่างเค้าเดินไปถึงแหลมได้ด้วยนะ
ตอนแรกก็กะจะเดิน แต่ถ่ายรูปตรงนั้นกันนานมาก กลัวฝนจะตกด้วย ก็เลยตัดสินใจกันว่าไม่ไปดีกว่า
ขอนั่งชิลดูพระอาทิตย์ตก แต่.....เมฆเยอะมาก มองไม่เห็นพระอาทิตย์กันเลยจ้าาาาา
แต่ก็ดีแล้วแหละที่ฝนไม่ตก เนาะ ^^
หลังจากดูพระอาทิตย์ตก (ที่ได้เห็นแค่แสงรอดผ่านก้อนเมฆ) เราก็มากินข้าวกันที่
ศาลาลอย จะอยู่แถวๆหาดราไวย์ ก็คือลงมาจากแหลมพรหมเทพก็แวะกินได้เลย
เค้าบอกว่าร้านนี้อร่อย ราคาไม่แพง เราไม่ได้ถ่ายรูปของกินเลยอะ
เพราะว่าเห็นของกินก็จะลืมอุปกรณ์กล้องไปเลย 55555 พอกินข้าวเสร็จ ก็กลับห้องพักกัน เราพักที่นี่
เป็นเกสเฮาส์ราคาเบาๆ คืนละ 500 บอกแล้วว่าทริปนี้ มาแบบ Low Budget แฮ่...^>^
ภายในห้องก็จะมีตู้เย็น แอร์ เครื่องทำน้ำอุ่น ทีวี เคเบิล ละก็จะมีระเบียงด้านหน้าด้วย
ถ้าจองฝั่งที่มีระเบียง อ่า ละก็มีผ้าเช็ดตัว สบู่
เกสเฮาส์จะอยู่ในซอย เดินมาหน่อยเดียว ก็ถึงถนนใหญ่ เลี้ยวขวาก็จะเจอธนาคาไทยพาณิชย์
เดินมาหน่อยก็มี เซเว่นอีเลฟเว่น ฝั่งตรงข้าม มีร้านอาหารตามสั่ง และก๋วยเตี๋ยว ผัดไท
คนขายใจดี ราคา 50 บาท แต่ได้เยอะมาก อร่อยด้วย
ชื่อว่า - - ครัวน้องพิม - -
วันแรกผ่านไปละ ต่อไปเป็นวันที่ 2 เราจองทัวร์ไว้ ตอนแรกว่าจะไป เกาะราชา กับ เกาะเฮ แต่พี่เค้าบอกว่า
คลื่นลมแรง แนะนำไปพังงาดีกว่า เพราะฝั่งนั้น จะไม่น่ากลัวมาก เพราะตำแหน่งมันเหมือนมี 3 จังหวัดโอบอยู่ก็คือ
พังงา กระบี่ ละก็ภูเก็ต เอ่อลืมบอก ที่ที่เราจะไปก็คือ เขาตะปู หรือที่เรียกกันว่า James Bond Island + เกาะปันหยี หมู่บ้านชาวมุสลิม
ที่ที่มีสนามฟุตบอลกลางน้ำอะ ราคา 1,000 แต่ถ้าใครไม่ไปเกาะปันหยีก็ 900 แต่เราอะเลือก เกาะปันหยีด้วย
เพราะมันเพิ่มมาแค่ 100 เอง จิงปะ รถจะมารับประมาณ 9 โมง วันนั้นเราตื่น 7 โมง พี่ที่มาด้วยกัน
เค้าบอกว่า ตอนตี 4 ฝนตกหนักมาก เราได้ยินก็ใจเสียละ เพราะกลัวนะ การที่ต้องออกทะเลแล้วฝนตกอะ
แค่อยู่บนพื้นดินยังกลัวเลยถูกปะ แล้วนี่ไปอยู่กลางทะเล ว่ายน้ำก็ไม่เป็น
ตอนที่ตื่นมาเมฆก็ปกคลุมแผ่กระจายแบบบางๆ ก้อนเมฆสีเทาๆ แต่พออาบน้ำเสร็จแต่งตัวเสร็จ ฟ้าก็เปิด
แหนะ ทำไมช่างโชคดีอย่างนี้ พอเตรียมของจะออกทะเลเสร็จ ก็ลงมากินข้าวแถวๆนั้น ส่วนมากอาหารที่นี่จะจานละ 50
เช้านี้เรากินข้าวมันไก่ ไก่เค้านุ๊มมมนุ่มมม กินเสร็จก็มารอรถตู้รับไปเที่ยว แล้วก็มุ่งหน้าไปพังงากัน คิดดูว่า
จากหาดกะรน ไปจังหวัดพังงาอะ มันไกลขนาดไหน ไกลใช้ได้นะ นั่งตั้งแต่ 9 โมงกว่าๆ ถึงท่าเรือที่พังงา
ประมาณณณณ 11 โมงกว่าๆเห็นจะได้ พอถึงจุดที่จะไปขึ้นเรือ ก็มาเอาชูชีพ แล้วก็จะมีแม่ค้ามาขายเสื้อกันฝนเรา บอกว่าตัวละ 50 บาท
เชอะ เราไม่ซื้อหรอก แพงจะตาย ซื้อเองไม่ถึง 50 ฝนก็ไม่ได้ตกซะหน่อย แดดออกจะเปรี้ยงปร้าง
แต่ว่าพวกฝรั่งเค้าซื้อกันอยู่นะ เค้าคงกลัวฝน แต่เราคนไทย เราไม่กลัวฝนโว้ยยยยยย
แต่อีกสักพัก อยู่ๆ ฝนก็เทลงมา ตกทั้งๆที่แดดออกอะคิดดู ประเทศไทย อะไรก็เกิดขึ้นได้ เราก็เริ่มมองหน้ากันละ ว่ายังไง
คือตอนแรกอะ กลัวเรื่องการออกเรือ ยังไม่ได้คิดว่าจะซื้อเสื้อกันฝน แต่สักพักหลังจากที่ฝนหยุดไปรอบแรก รอบสองก็มาอีกกกก
เหอๆๆๆๆ คราวนี้เริ่มกลัวเปียกละ เพราะยังไงๆ ก็ต้องออกทะเลอยู่ดี เราเลยตัดสินใจซื้อกัน 4 ตัว ขอเค้าลดราคาเหลือ 150
แม่ค้าก็ใจดี ลดให้ด้วย บอกว่าคนไทยด้วยกัน เรานี่น้ำตาจะไหล คนไทยใจดี T^T
และแล้วก็ได้เวลาออกเดินทางไปเขาตะปู เรือที่เรานั่งคือเรือหางยาว นั่งได้แถวละ 2-3 คน แต่ห้ามเกิน 4
ลำนึง น่าจะบรรทุกได้ 20 – 30 คน ระหว่างเดินทาง ฝนก็ตกเป็นระยะ ตัดสินใจถูกละที่ซื้อเสื้อกันฝน
ไม่งั้นคงเปียกและหนาวแน่ๆ นั่งได้สักพัก ก็ถึงแล้ว จุดนั่งเรือแคนู ทางทัวร์เค้าจะพาเรามานั่งเรือแคนูก่อน ที่เขาทะลุ ถ้ำลอด
เราจะต้องลงจากเรือหางยาว แล้วก็ขึ้นไปที่เรือลำนี้ที่เห็นในรูป แล้วก็เดินไปท้ายเรือเพื่อจะไปขึ้นเรือแคนู
โดยเรือแคนูแต่ละลำ จะมี พนักงานพาย ทำหน้าที่พายเรือพาเราไปชมยังจุดต่างๆ ลำนึง จะได้ 2 คน
รวมพนักงานพายด้วยเป็น 3 โดยที่ระหว่างนั่งนั้น เราจะต้องสวมชูชีพไว้ตลอดเวลาเพื่อความปลอดภัย
และเราก็สามารถขอเค้าพายได้ด้วยนะ เราก็ไปขอเค้าพายมาละ 5555 หนุกดี แต่พายยากอะ
ไม่เหมือนตอนพายที่สวนรถไฟ เพราะที่นี่มันมีคลื่นน้ำไง ไม่ใช่น้ำนิ่ง แล้วเรือแคนูก็จะสวนกันไปมาเยอะมาก
พนักงานพายก็จะพาเราไปดูจุดต่างๆ เช่น พาลอดถ้ำเข้าไปดูธรรมชาติข้างใน เห็นรูเล็กนั่นมั้ย อ่า...นั่นแหละที่เค้าจะพาเราเข้าไป
และแล้วก็เข้ามาเจอธรรมชาติข้างใน 5555 นั่นก็คือ ปลาตีน เฮ้ย!ไม่ได้กวนนะ
แต่เป็นชื่อปลาจริงๆ พนักงานพายเค้าบอกเรามา แต่เราเจอปลาตีนปลอมด้วย ไม่เชื่อลองเลื่อนลงมาดูดิ.....>>>