******* ครั้งแรกกับภูเขา(ไฟ) ...คาวาอีเจี้ยน โบรโม่ in East Java *******

*** กระทู้นี้ไม่ใช่กระทู้รีวิวหรืออย่างอื่นใด แต่เป็นบันทึกการเดินทาง พอดีมีเพื่อนถามมาหลายคนเลยอยากเขียนไว้ให้อ่านง่ายๆกันเนอะ 
โปรดใช้จักรยานในการรับชม
ถ้ามีข้อมูลอะไรผิดพลาดประการใด ขอโทษไว้ด้วยนะคะ





- สวัสดีค่า 
ทริปนี้ไปมาตั้งแต่เดือนที่แล้ว ตั้งหลักอยู่หลายรอบว่าจะตั้งกระทู้ดีมั้ย
บอกตรงๆว่าทริปนี้ที่ไปเพราะเห็นรูปจากรีวิวของกระทู้ต่างๆในพันทิบล้วนๆ ไม่ได้มีความฝันจากวัยเด็กหรือจะค้นหาอะไรๆในชีวิต ...แต่ไปเพราะว่าเห็นรูปมันสวยจริงๆค่ะ 555
- รูปทุกรูปจบหลังคอมด้วยโปรแกรม Lightroom(เยอะ)และ Photoshop(เล็กน้อย)

- อุปกรณที่ใช้ Fujifilm X-E2 + Kit lens, Touit 12 f2.8, XF35

******* รายละเอียดการเดินทาง, ค่าใช้จ่ายอยู่ด้านล่างนะคะ

- ณ วันแรกที่ไปถึงนั่งรถจากสุราบายาไปคาวาอีเจี้ยน 8-9 ชม.* ไปถึงที่พักก็ 3 ทุ่มกว่าแล้ว กว่าจะกินข้าวอาบน้ำ(ที่เย็นมาก) เข้านอนก็ 5 ทุ่มกว่า เตรียมตัวไปขึ้นอีเจี้ยนตอนตี 1 เพื่อจะไปให้ทันดู Blue flame 
..แค่วันแรกก็จะแย่แล้วววว
*ระยะระหว่างที่เที่ยวต่างๆไม่ได้ไกลกันมาก แต่ด้วยเพราะถนนหนทางที่ไม่ค่อยดี รถเยอะ มอไซแยะ ทำให้ใช้ความเร็วไม่ได้ อย่างมากคือประมาณ 50-60 กม./ชม. ทำให้ใช้เวลาในการเดินทางค่อนข้างนาน


ตื่นเช้ามากด้วยอากาศสดใส(ตรงไหนวะะ) หนาวมากแถมง่วงนอนสุดๆ  เดินขึ้นเขาชันด้วยความง่วงและหิวและมืดมาก แถมจขกท. ไม่ได้เอาขาตั้งไป ถ่ายบลูเฟลมมาดูไม่ได้สักรูป
***แนะนำว่าถ้าใครจะไปขึ้นคาวาอีเจี้ยนให้ฟิตสารร่างไปหน่อยนะคะ เดินขึ้นเขา 3 ชม. ไม่ใช่เรื่องของมือสมัครเล่น แถมมีเดินลงไปในปากปล่องด้วย พกน้ำเกลือแร่ น้ำเปล่า ยาอมยาดมยาหม่อง อุปกรณยังชีพ

หลังจากเดินขึ้นเขาไปแล้ว ถึงเวลาที่ต้องเดินลงปากปล่องระยะทาง 1 กิโล แต่ทางชันสุดๆ และมืดมาก อีกมือถือไฟฉายอีกมือเกาะหินค่อยๆไต่ลงอย่างช้าๆได้พล้าเล่มงาม
**ไม่ได้ถ่ายรูปตอนมืดมาเลยเพราะไม่มีขาตั้งกับ ณ ตอนนั้นไม่มีอารมณ์แม้กระทั่งจะถือกล้อง

ในเท่สวดดดก็ถึงข้างล่างไปดูทะเลสาบกรดที่ใหญ่ที่สุดแห่งนึงของโลกเลยนะขอบอกกกก




ก่อนไปไม่เคยเข้าใจคำว่าหายใจไม่ออก..แต่พอได้ไปอีเจี้ยนและลมพัดควันกำมะถันมาทีนี่เข้าใจได้ดี หน้ากงหน้ากากอะไรก็ไม่ช่วยแล้วค่ะ หายใจไม่ออก แสบจมูก แสบตาไปหมด แนะนำ!!ให้เอาผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าขนหนูชุบน้ำปิดจมูกปิดตาเวลาลมพัดมานะคะ




ก่อนไปบอกเลยว่าไม่ได้คาดหวังกับอีเจี้ยนมากนัก แต่พอไปแล้วกลับชอบเพราะความแปลกตาและอันตราย คือทุกอย่างก้าวต้องสติ แม้แต่คนไม่ค่อยมีสติแบบจขกท.




ของจริงสวยแปลกแหวกแนว เหนื่อยทรหด ได้เห็นชีวิตคนที่ลำบากกว่าเราแล้ว คือเหมือนมาอีกโลกนึงเลย




แปลกมั้ยละคะ




กำลังเดินกลับขึ้นไป เคยคิดว่ามาตลอดว่าการเดินขึ้นเขามันเหนื่อยมันยาก ..อีเจี้ยนทำให้รู้ว่าการเดินลงเขามันยากกว่าาาาาาา กลัวหน้าทิ่มสุดดดด





รูปนี้คือตอนเดินกลับขึ้นมาถึงปากปล่องแล้ว มองกลับไปลงเห็นทะเลสาบสีเทอควอยส์ มีวันกำมะถันมาสร้างบรรยากาศให้ดูแปลกเข้าไปอีก





ระหว่างทางลงนี่เป็นอะไรที่ระทึกตลอดเวลา คือทางเดินมันเป็นดินรวนๆกับเถ้าจากภูเขาไฟปนๆกัน ทุกอย่างก้าวต้องมีสติ เพราะว่ามันลื่นมากกกกกกกกกกก จขกท. จับกบไปสองที ล้มทีพื้นสะเทือนภูเขาไฟแถบจะระเบิดอีกรอบ ถถถถถ ฉะแล่บไปอีก 5-6 ที ขนาดเกร็งทั้งเข่าทั้งข้อเท้าระบมไปหมด พอถึงที่พักอย่างแรกที่ทำคือกินยาคลายกล้ามเนื้อเลยทีเดียว....

รูปนี้เหมือนเดิมบนขอบโลก (โลกมีขอบด้วยหรอ)




- สำหรับเราอีเจี้ยนคือที่สุดของที่สุดดดดด ทั้งความสวย ความแปลก ความทรหด ได้เห็นชีวิตของคนที่ลำบากมากกกกก ถ้ามีโอกาสและสภาพขาที่แข็งแรงอยู่ก็ไปสักครั้งในชีวิตเถอะะะ มันคือดาวอังคารบนโลกมนุษย์

พอออกจากที่พักแถวอีเจี้ยนก็ไปแวะน้ำตก Blawan waterfall
น้ำตกแรงมากกกกกกก สังเกตกำแพงมอสนั้นสิ เขียวน่ากินมากกกก(ใช่หรอวะ)




หลังจากนั้นถึงเวลาชดใช้กรรม 555 นั่งรถไปยังโบรโม่ใช้เวลาอีก 5-6 ชม. (ถ้าจำไม่ผิดนะคะ) ก็นั่งๆนอนๆกันไป กว่าจะไปถึงก็เย็นๆแล้ว กินข้าว อาบน้ำ Mr.Adit นัดแนะกันว่าจะพาไปถ่ายทางชั้นเผือกกกกก
แต่ลืมดูพระจันทร์จ่ะ พอไปถึงพระจันทร์เต็มดวงแถมสว่างสุดๆ มีไฟข้างทางอีกด้วย #ผมนี่กอดขาตั้งกล้องร้องไห้เลยคับ ถ่ายออกมาได้แค่นี้ คือฝีมือกากๆก็ได้แค่นี้แหละ ถถถถถ  หลังจากนั้นกลับที่พักเตรียมตัวตื่นตีสามเพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิวค่ะ #ไม่แน่ใจนั้นดาวหรือน๊อยซ์ ถถถถ




ตอนเช้าาา ตื่นตีสามเพื่อขึ้นรถ Jeep ไปดูพระอาทิตย์กำลังจะขึ้น เห็นภูเขาไฟไกลๆที่กำลังปะทุนั้นมั้ย เค้าชื่อราอุง.. เค้าคือภูเขาไฟที่อยู่ข้างอีเจี้ยนที่เราไปกันมานั้นแหละ ดูเหมือนจะใกล้ๆกับโบรโม่ แต่ก็ไม่ใกล้นะ นั้งรถ 5-6 ชม.ได้ วันที่เราปีนก็มีปะทุเบาๆเป็นระยะๆ ได้ยินเหมือนเสียงปืน ..ไอ้เราก็นึกว่ามีปืนลั่นที่ไหน 5555 มีซิลิก้าเกาะเต็มหน้าเต็มตัวไปหมด ทำเอาสนามบินบาหลีต้องปิดไปเมื่อเดือนก่อนเลยทีเดียว




ตอนเช้าถ่ายรูปไปก็หนาวไป มือไม้แข็งไปหมด ไกด์บอกว่าประมาณ 2 องศาเห็นจะได้
**รูปนี้รวมสองช็อตด้วยกันนะคะ ดาวรูปนึงกับภูเขาตอนโดนแสงเช้าอีกรูป




บรรยากาศตอนเช้าา หมอกจางและควัน~~




รูปข้างล่างนี้เป็นหมู่บ้าน Cemoro Lawang แสงเช้าที่นี่สวยสะกดมากกกก หายหนาวเลยค่ะ




คือพลาดมากที่ไม่ได้ถ่ายพาโนราม่าตรงจุดนี้มาก ตะเตือนไตตต




รูปนี้คอมโพสแปลกๆ ดูขัดใจยังไงไม่รู้ 5555 แต่แสงสวยมากๆค่ะ หมอกเริ่มจาง.. ได้เวลาไปขึ้นโบรโม่ของจริงกันแล้ววว




ระหว่างทางไปไกด์ก็ยังแวะให้ถ่ายรูปบ้าง วิวบางวิวก็ยังไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ขอบคุณ Mr. Adit จิมๆ






ลองขาว-ดำบ้าง




ระหว่างทาง




ขอตัดมาที่ก่อนขึ้นบันไดไปยังปากปล่องโบรโม่นะคะ ระหว่างทางก็ขี่ม้ามา นึกๆดูว่าถ้าเดินเองมีหอบแน่ๆ 





คนเลี้ยงม้ากับน้องม้า บรรยากาศนี่จางๆลอยๆ หมอกเริ่มหายมีแต่ฝุ่นเข้ามาแทน 555




คนเลี้ยงม้าาาาา




พอเดินขึ้นบันไดพอให้เหนื่อยก็ถึงด้านบนพอดี จขกท.ก็เริ่มเดินเลาะปากปล่องไปเรื่อยๆ ขาสั่นมากกก เลือกไม่ถูกว่าถ้าล่วงลงไปจะไปทางซ้ายหรือทางขวาดี แต่ดูๆแล้วน่าจะไม่รอดทั้งคู่ วิวจากด้านบนก็สวยยยย




ฝุ่นล้วนๆเลยแจ้




ม้าเยอะแยะ




ถ่ายรูปเล่นอยู่บนนั้นสักพักใหญ่ๆก็เดินลง อากาศก็เริ่มอุ่นขึ้นเรื่อย จากเมื่อเช้าใส่มาประมาณ 5 ชั้น ตอนนี้ก็น่าจะเหลือสัก 2 ชั้นแระค่ะ

ขี่ม้ากรุบกรับเพื่อกลับไปยังที่จอดรถ กลัวจะล่วงจากน้องม้ามากเลย
กดไปกดมาก็ได้มาอย่างฟลุ๊คๆ



หลังจากถ่ายรูปนี้ปุ๊บ แบตหมดปั๊บ ..ไกด์พาไปถ่ายรูปที่ทุ่งสะวันน่า จขกท.ได้แต่ใช้กล้องมือถือถ่ายแล้วร้องไห้ค่ะ 55555 วิวมันสวยมากกกกกก ต้องโทษตัวเองว่าเตรียมตัวไม่พอ ใครจะไปแนะนำเช็คแบตให้เรียบร้อยนะคะ จะได้ไม่ตะเตือนไตแบบเรา


หลังจากนั้นก็กลับที่พักไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า รองเท้าแตะ กางเกงสั้น คราวนี้จะไปน้ำตกอีกรอบที่ชื่อว่า Madakaripura waterfall (แอบไปกูเกิ้ลมาแหละ) ไกด์บอกว่าเดินง่ายๆ แค่ข้ามน้ำชิลๆ ทะที่ไหนล่ะะะะ มีแอบปีนป่ายหินอยู่นะ ตอนที่เห็นน้ำตกไกลๆ ยังพูดเล่นกะเพื่อนอยู่เลยว่าไหลหยังลำธาร แต่ที่ไหนได้ น้ำทั้งสูงทั้งแรงมากกก ไอน้ำกระจายไปหมด เอากล้องมาถ่ายก็มีเปียกๆบ้าง ตอนนี้นี่นึกอยากได้โกโปรเลยทีเดียว 55555



มีมุมสวยๆน่าถ่ายรูปเยอะเลยค่ะ แนะนำให้เอาขาตั้งกล้องเข้าไปด้วย +ND filter สักนิดนึง แต่จขกท. ได้มาสองรูปเพราะด้วยความขี้เกียจจะถอดเสื้อกันฝน กลัวกล้องเปียกด้วย หลักๆก็ขี้เกียจนั้นแหละค่ะ 555555 หลังจากกลับจากน้ำตกก็ไปแวะไร่สตรอเบอรี่ด้วย พอถึงที่พักก็ตัวใครตัวมัน เหนื่อยสะสมมาหลายวันแล้ว อาบน้ำกินข้าว พักผ่อนนนน




วันรุ่งขึ้นได้ตื่นสายหน่อยไปเดินเล่นในเมือง เดินไปเดินมา ไปเจอวิวนี้ โอ้วโห้ววววว



หลังจากนั้นก็ต้องบอกลาโบรโม่จริงๆแล้วว โบรโม่สำหรับเราคือที่สุดของความแปลกตา วิวที่หาจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว แถมไม่ต้องใช้กำลังขามากมาย คือมันสวยมากจริงๆ ความเหนื่อยและความหนาวไม่สามารถทำอะไรเราได้เลย บ่อยๆที่เราเห็นในรูปมักจะสวยกว่าสถานที่จริง แต่โบรโม่คือข้อยกเว้น ของจริงสวยกว่ามากกก
บรรยายเยอะเดี๋ยวหาว่าโม้อี๊กกก เอาเป็นว่าไปดูเองกับตาเถอะค่ะ... หัวเราะ

******
- เริ่มแรกเลยคือ.. เราจองตั๋วเครื่องบินก่อนเลยค่ะ มีหลายสายการบินมาก Airasia, Jetstar, Tiger air etc.
ต่อมาเราก็หาเพื่อนให้ได้ประมาณ 4-5 คนขึ้นเพื่อแชร์ค่าทัวร์เหมา ตอนแรกนี่เครียดเลยบอกตรงๆ จะไปหาเพื่อนเที่ยวได้ไงวะ ตั้ง 3-4 คน เพื่อนปกติยังไม่ค่อยจะมีคนคบ สรุปไปๆมาๆมีตั้ง 8 คนเลย อิอิอิอิ

จากนั้นเราก็หาเอเจ้นท์ที่นู้น หาไปหามาไปเจอกระทู้นึงแนะนำ Mr. Adit ที่เป็นทั้งคนขับรถและไกด์ในเวลาเดียวกัน ด้วยความที่ขี้เกียจหาคนอื่นแล้ว เราเลยติดต่อแค่เอดิทคนเดียว แค่บอกวันเวลาที่เราไปถึง กลับเมื่อไหร่ เค้าก็จะจัดโปรแกรมมาให้เราดูว่าเราโอเคมั้ย โอเคก็ตกลง ไม่ต้องมัดจำอะไรเลย **แนะนำว่าให้คุยๆกับเอเจ้นท์ล่วงหน้าหน่อยนะคะ กว่าจะคุยกันรู้เรื่องใช้เวลาหลายวันอยู่ 555555

- ค่าตั๋วเครื่องบิน: 4,xxx-1x,xxx แล้วแต่สายการบินและโปรโมชั่นในขณะนั้นๆ ของเราได้ที่ 8,xxx ซึ่งแพงมาก T__T
- ค่าใช้จ่าย: ที่ให้เอเจ้นท์ 6,800 บาท** รวมทุกอย่างทั้งค่าเช่ารถ ค่าที่พัก 4 คืน >อีเจี้ยน 1 คืน โบรโม่ 2 คืน สุราบายา 1 คืน(ขอไม่กล่าวถึงในกระทู้นี้นะคะ) ค่าไกด์ตามจุดต่างๆ ค่าขี่ม้าที่โบรโม่
**ยังไม่รวมค่าอาหารนะคะ 
ค่าอาหาร: แต่ละมื้อพอๆกับบ้านเราเลยค่ะ อาจจะมีแพงกว่าบ้าง แต่ก็ไม่มากน้า ^_^
รวมทั้งทริปแล้วประมาณ 16,xxx-18,xxx สำหรับของเรานะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่