การที่ใครสักคนจะโดดเข้ามาใช้ชีวิตในแวดวงที่เกี่ยวข้องกับศิลปะนั้น
ไม่ใช่ว่าเห็นเพื่อน ๆ เรียนแล้วเท่ก็มาลอง ๆ ดู คงเป็นเรื่องยากที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต
อย่าว่าแต่สายศิลปะเลย แม้การงานด้านอื่น ๆ หากเราทำตาม ๆ เขาไป
โดยที่ตัวเองไม่ได้รัก-ชอบอะไรในที่สุดเรานั่นเองแหละที่จะมีความทุกข์
เพราะเลือกทางเดินชีวิตผิด
ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่า ให้น้องเลือกเรียนแต่เฉพาะสาขาที่ตัวเองถนัดเท่านั้นนะ เพราะถ้าแบบนั้นหลายคนคงส่ายหน้าลาสายศิลป์ไปเลย เพราะชอบก็ชอบอยู่หรอก แต่วาดรูปไม่เป็นจะไปเรียนได้ไง เนอะ
หลายคนเคยสารภาพว่าตนเองนั้นรักงานศิลปะเป็นชีวิตจิตใจ แต่ที่เลือกเรียนทางด้านอื่นเพราะกลัวจะไปทางด้านศิลป์ไม่ไหว เรียกว่า ไม่มีพรสวรรค์ หรือไม่มีหัวศิลป์ก็คงได้ แต่แล้วเขากลับไม่มีความสุขกับวิชาชีพอื่นๆ เพราะยังฝังใจกับโลกของศิลปะอยู่แล้วก็คิดลงโทษตัวเองว่าไม่มีความสามารถที่จะเรียนได้
ดังนั้น...อยากให้น้อง ๆ สำรวจตัวเองสักครั้งซิว่า เรารัก-ชอบทางศิลปะจริง ๆ หรือเปล่า และเราอยากทำงานทางด้านนี้จริงหรือไม่ การสำรวจตัวเองนี้ห้ามนำความสามารถทางศิลปะมาเป็นเครื่องวัดเด็ดขาด และสาเหตุที่ทำให้คนรักศิลปะทั้งหลายไม่กล้าตัดสินใจเรียนทางด้านศิลปะนั้น เป็นเพราะเขาไม่กล้าที่จะเริ่มคิด-วาด และไม่กล้าที่จะเริ่มต้น “ผิด”
การเรียนรู้ศิลปะก็ไม่ต่างอะไรไปจากการหัดพูดของเด็ก ๆ ใหม่ ๆ ก็ต้องพูดผิดพูดถูก ชัดบ้างไม่ชัดบ้าง แต่เมื่อพูดทุกวันมันจะพัฒนาขึ้นและกลายเป็นคนพูดชัดได้ในที่สุด สำคัญคือคุณกล้าพอที่จะ “พูด” หรือเปล่า ถ้ากล้าพอ...เรามาเริ่มต้นกันเดี๋ยวนี้เลย
การเริ่มต้นเรียนศิลปะ-ออกแบบไม่ใช่เริ่มที่คำว่า “หนูควรจะเริ่มตรงไหนดี วาดรูปอะไรก่อน...” แต่ต้องเริ่มจากข้างในตัวของเราก่อน นั่นคือการสร้างนิสัย บุคลิก จิตใจของศิลปินขึ้นก่อนเพื่อใช้เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ศิลปะในขั้นต่อ ๆ ไป โดยใช้หลักแปดประการนี้
1. มีใจฝักใฝ่ คือการสร้างจิตสำนึกในใจตลอดเวลาว่าเรามีเป้าหมายในชีวิตที่จะเป็นศิลปิน นักออกแบบ ฯลฯ แล้วพยายามเก็บความรู้สึกนั้นไว้ในใจตลอดเวลา บางครั้งเราอาจสร้างฉากขึ้นมาให้ตัวเองเป็นนักศิลปะในแขนงนั้น ๆ ก็ได้ เช่นเราชมภาพยนตร์โฆษณาสักเรื่องหนึ่ง แล้วอาจจะลองคิดดูว่าถ้าเราเป็นคนสร้างเราจะทำแตกต่างกับเขาอย่างไร อะไรที่เขาทำดีแล้ว อะไรที่ยังไม่ถูกใจเรา หรือเมื่อเราดูมิวสิควีดีโอ เราอาจจะลองคิดเล่น ๆ ว่าถ้าเป็นเราเราจะทำยังไงให้มันน่าสนใจกว่านี้ สวยกว่านี้เป็นต้น เรียกว่าเห็นอะไร คิดอะไร พูดอะไรก็ให้เกี่ยวกับศิลปะไปหมด ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าให้แสดงออกบ้า ๆ บอ ๆ กับเพื่อนหรือคนใกล้ชิดนะ แต่มันคือการสร้างจิตฝักใฝ่ขึ้นแล้วเก็บเอาไว้ในใจเพื่อเป็นเชื้อประทุในการเรียนศิลปะของเรานั่นเอง
2. ช่างสังเกต-จด-จำ อย่ามองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างผ่าน ๆ แค่ให้รู้ว่าเป็นอะไร นั่นยังไม่พอสำหรับนักศิลปะ-ออกแบบทั้งหลาย เมื่อเรามองดอกกุหลาบเราต้องเห็นทั้งกิ่ง ใบ ดอก หนาม สี และรู้ความหมาย-ประโยชน์ของมัน บางครั้งเราอาจซื้อกุหลาบกำใหญ่จากตลาดซึ่งห่อด้วยหนังสือพิมพ์ เราอาจจะคิดเลยไปได้อีกว่าข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์มันเกี่ยวข้องกับกุหลาบอย่างไร การสังเกตและจดจำเป็นบุคลิกสำคัญของนักออกแบบ การสังเกตจดจำเปรียบเสมือนการกินอาหารของมนุษย์ทำให้เรามีข้อมูลอยู่ในสมองมาก เป็นการสร้างประสบการณ์ และโลกทรรศน์ให้กว้างขวาง และเมื่อเราเรียนหรือทำงานศิลปะสิ่งที่เราสังเกตจดจำเหล่านี้จะถูกถ่ายทอดออกมาเป็นงานออกแบบ หรือไอเดียที่ดีจนบางครั้งเราเองยังประหลาดใจ...
3. มีความคิดสร้างสรรค์ โดยทั่วไปมนุษย์มักจะคิดถึงเรื่องต่าง ๆ ตามเหตุและผลหรือตามข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน สำหรับผู้ที่มีความคิดแปลกแยกออกไปและเป็นความคิดในเชิงบวกผู้นั้นจะถูกยกย่องให้เป็นผู้มีความคิดสร้างสรรค์ ศิลปะคือความแปลก ใหม่ จริง ดี งาม ดังนั้นผู้ใดที่รู้จักคิดยอกย้อนสลับซับซ้อนและสร้างสรรค์แล้ว ผู้นั้นก็เหมาะที่จะดำเนินอาชีพด้านศิลปะ
4. ใจกว้าง อาจจะแปลกใจกับข้อนี้สักหน่อยที่ว่า นักศิลปะทั้งหลายที่เรารู้จักมักจะมีอีโก้สูง เชื่อมั่นในความคิดของตนเอง แล้วทำไมจึงบอกว่าผู้ที่จะเรียนศิลปะต้องใจกว้าง คำว่าใจกว้างหมายถึงการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นเพื่อนำมาพิจารณา (ไม่ได้หมายความว่าให้เชื่อตามคนอื่น) ใจกว้างที่จะรับสิ่งใหม่ ๆ ที่เข้ามาในชีวิต เช่น อาหารแปลก ๆ ฟังเพลงได้หลากหลายแนว สนใจที่จะรับรู้แนวคิดหรือความเชื่อที่ไม่เคยพบมาก่อน ฯลฯ เหล่านี้จะทำให้เราเป็นนักออกแบบที่มีน้ำหนักในความคิดและคำพูด เป็นที่ยอมรับและเชื่อถือ
5. มีดวงตาของศิลปิน เป็นดวงตาที่มองเห็นความงามในทุกสรรพสิ่ง แม้ในความน่าเกลียดหรือน่ากลัว การมองทะลุออกไปให้เห็นเนื้อหาของสิ่งนั้น ๆ เช่นเมื่อเราเห็นคนตาย เราอาจค้นหาความงามได้ด้วยดวงตาที่เห็นความหลุดพ้นจากความทุกข์ในโลกของคน ๆ นั้น เมื่อเราเห็นกองขยะ เราอาจพบความงามของเมืองที่สะอาด หรือจิตใจที่งดงามของคนกวาดถนนเป็นต้น นี่คือดวงตาของศิลปิน... และดวงตาเช่นนี้เองที่จะชี้ชวนให้ผู้อื่นเห็นความงามที่เขาเห็นได้
6. เป็นคนไวต่อความรู้สึก รับรู้การสัมผัสได้เร็ว ไม่เฉื่อยชา ความรู้สึกแบบนี้จะช่วยให้เราปิ๊งกับไอเดียแปลก ๆ ได้เร็ว คนที่ทำงานศิลปะมักจะพบว่า บางครั้งเจ้าความคิดหรือไอเดียดี ๆ มักจะผ่านเข้ามาในสมองอย่างรวดเร็วเช่นกัน ดังนั้นหากเราเป็นคนไวเราจะเก๊ตไอเดียได้ดีกว่าคนอื่น
7. หัดตั้งคำถามและหาคำตอบ การตั้งคำถามและหาคำตอบด้วยตนเอง จะช่วยให้เราเป็นคนมีเหตุผล ถึงแม้คำตอบเราจะไม่ถูกต้องตามความจริง แต่มันจะเป็นการฝึกให้เรารู้จักใช้สิ่งประกอบต่าง ๆ มาอ้างอิงสนับสนุนความคิด (ฝัน) ของเรา เช่นคำถามที่ว่าทำไมฝนตกรถจะต้องติด บางคนอาจตอบว่าอุบัติเหตุบ่อยรถจึงติด บางคนอาจตอบว่าคนต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้นทำให้รถเคลื่อนตัวช้า แต่บางคนอาจบอกว่าพอฝนตกตำรวจจราจรก็เข้าไปหลบฝนหมดรถก็เลยติด เพราะไม่มีจราจรคอยดูแล เป็นต้น นี่แสดงให้เห็นว่าคำถามเดียวเราอาจมีหลาย ๆ คำตอบที่ถูกได้ทั้งหมด ศิลปะก็เช่นกัน ทุกคำตอบจะถูกหมด เพียงแต่ว่าคำตอบไหนจะเหมาะสมกับสถานการณ์ใดเท่านั้นเอง
8. เป็นนักฝัน ข้อนี้สำคัญมาก แค่ฝันเราก็ยังไม่กล้าแล้วจะลงมือทำได้อย่างไร เด็กๆ ชอบมองก้อนเมฆแล้วเห็นเป็นรูปร่างต่าง ๆ ในใจก็คิดสร้างเรื่องราวไปตามรูปก้อนเมฆที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ความคิดฝันดี ๆ ของเรามันจะไม่ศูนย์เปล่า หากเรากล้าฝันสักวันมันจะถูกถ่ายทอดออกมาจากตัวเราในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เหมือนเป็นเพื่อนรักของเราตลอดไป
ลองสำรวจตัวเองว่า มีคุณสมบัติเหล่านี้หรือเปล่า หรือสามารถสร้างนิสัยเหล่านี้ได้หรือไม่
ถ้าได้ ... อนาคตในเส้นทางศิลปะก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอน
(บทความนี้สงวนลิขสิทธิ์โดย : หมีทอล์คดอทคอม)
Cr.
http://www.mheetalk.com/content/5471/8-%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B5-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%9B%E0%B8%B0-%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A
8 สิ่งที่ต้องมี ถ้าคิดเรียนศิลปะ-ออกแบบ
ไม่ใช่ว่าเห็นเพื่อน ๆ เรียนแล้วเท่ก็มาลอง ๆ ดู คงเป็นเรื่องยากที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต
อย่าว่าแต่สายศิลปะเลย แม้การงานด้านอื่น ๆ หากเราทำตาม ๆ เขาไป
โดยที่ตัวเองไม่ได้รัก-ชอบอะไรในที่สุดเรานั่นเองแหละที่จะมีความทุกข์
เพราะเลือกทางเดินชีวิตผิด
ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่า ให้น้องเลือกเรียนแต่เฉพาะสาขาที่ตัวเองถนัดเท่านั้นนะ เพราะถ้าแบบนั้นหลายคนคงส่ายหน้าลาสายศิลป์ไปเลย เพราะชอบก็ชอบอยู่หรอก แต่วาดรูปไม่เป็นจะไปเรียนได้ไง เนอะ
หลายคนเคยสารภาพว่าตนเองนั้นรักงานศิลปะเป็นชีวิตจิตใจ แต่ที่เลือกเรียนทางด้านอื่นเพราะกลัวจะไปทางด้านศิลป์ไม่ไหว เรียกว่า ไม่มีพรสวรรค์ หรือไม่มีหัวศิลป์ก็คงได้ แต่แล้วเขากลับไม่มีความสุขกับวิชาชีพอื่นๆ เพราะยังฝังใจกับโลกของศิลปะอยู่แล้วก็คิดลงโทษตัวเองว่าไม่มีความสามารถที่จะเรียนได้
ดังนั้น...อยากให้น้อง ๆ สำรวจตัวเองสักครั้งซิว่า เรารัก-ชอบทางศิลปะจริง ๆ หรือเปล่า และเราอยากทำงานทางด้านนี้จริงหรือไม่ การสำรวจตัวเองนี้ห้ามนำความสามารถทางศิลปะมาเป็นเครื่องวัดเด็ดขาด และสาเหตุที่ทำให้คนรักศิลปะทั้งหลายไม่กล้าตัดสินใจเรียนทางด้านศิลปะนั้น เป็นเพราะเขาไม่กล้าที่จะเริ่มคิด-วาด และไม่กล้าที่จะเริ่มต้น “ผิด”
การเรียนรู้ศิลปะก็ไม่ต่างอะไรไปจากการหัดพูดของเด็ก ๆ ใหม่ ๆ ก็ต้องพูดผิดพูดถูก ชัดบ้างไม่ชัดบ้าง แต่เมื่อพูดทุกวันมันจะพัฒนาขึ้นและกลายเป็นคนพูดชัดได้ในที่สุด สำคัญคือคุณกล้าพอที่จะ “พูด” หรือเปล่า ถ้ากล้าพอ...เรามาเริ่มต้นกันเดี๋ยวนี้เลย
การเริ่มต้นเรียนศิลปะ-ออกแบบไม่ใช่เริ่มที่คำว่า “หนูควรจะเริ่มตรงไหนดี วาดรูปอะไรก่อน...” แต่ต้องเริ่มจากข้างในตัวของเราก่อน นั่นคือการสร้างนิสัย บุคลิก จิตใจของศิลปินขึ้นก่อนเพื่อใช้เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ศิลปะในขั้นต่อ ๆ ไป โดยใช้หลักแปดประการนี้
1. มีใจฝักใฝ่ คือการสร้างจิตสำนึกในใจตลอดเวลาว่าเรามีเป้าหมายในชีวิตที่จะเป็นศิลปิน นักออกแบบ ฯลฯ แล้วพยายามเก็บความรู้สึกนั้นไว้ในใจตลอดเวลา บางครั้งเราอาจสร้างฉากขึ้นมาให้ตัวเองเป็นนักศิลปะในแขนงนั้น ๆ ก็ได้ เช่นเราชมภาพยนตร์โฆษณาสักเรื่องหนึ่ง แล้วอาจจะลองคิดดูว่าถ้าเราเป็นคนสร้างเราจะทำแตกต่างกับเขาอย่างไร อะไรที่เขาทำดีแล้ว อะไรที่ยังไม่ถูกใจเรา หรือเมื่อเราดูมิวสิควีดีโอ เราอาจจะลองคิดเล่น ๆ ว่าถ้าเป็นเราเราจะทำยังไงให้มันน่าสนใจกว่านี้ สวยกว่านี้เป็นต้น เรียกว่าเห็นอะไร คิดอะไร พูดอะไรก็ให้เกี่ยวกับศิลปะไปหมด ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าให้แสดงออกบ้า ๆ บอ ๆ กับเพื่อนหรือคนใกล้ชิดนะ แต่มันคือการสร้างจิตฝักใฝ่ขึ้นแล้วเก็บเอาไว้ในใจเพื่อเป็นเชื้อประทุในการเรียนศิลปะของเรานั่นเอง
2. ช่างสังเกต-จด-จำ อย่ามองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างผ่าน ๆ แค่ให้รู้ว่าเป็นอะไร นั่นยังไม่พอสำหรับนักศิลปะ-ออกแบบทั้งหลาย เมื่อเรามองดอกกุหลาบเราต้องเห็นทั้งกิ่ง ใบ ดอก หนาม สี และรู้ความหมาย-ประโยชน์ของมัน บางครั้งเราอาจซื้อกุหลาบกำใหญ่จากตลาดซึ่งห่อด้วยหนังสือพิมพ์ เราอาจจะคิดเลยไปได้อีกว่าข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์มันเกี่ยวข้องกับกุหลาบอย่างไร การสังเกตและจดจำเป็นบุคลิกสำคัญของนักออกแบบ การสังเกตจดจำเปรียบเสมือนการกินอาหารของมนุษย์ทำให้เรามีข้อมูลอยู่ในสมองมาก เป็นการสร้างประสบการณ์ และโลกทรรศน์ให้กว้างขวาง และเมื่อเราเรียนหรือทำงานศิลปะสิ่งที่เราสังเกตจดจำเหล่านี้จะถูกถ่ายทอดออกมาเป็นงานออกแบบ หรือไอเดียที่ดีจนบางครั้งเราเองยังประหลาดใจ...
3. มีความคิดสร้างสรรค์ โดยทั่วไปมนุษย์มักจะคิดถึงเรื่องต่าง ๆ ตามเหตุและผลหรือตามข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน สำหรับผู้ที่มีความคิดแปลกแยกออกไปและเป็นความคิดในเชิงบวกผู้นั้นจะถูกยกย่องให้เป็นผู้มีความคิดสร้างสรรค์ ศิลปะคือความแปลก ใหม่ จริง ดี งาม ดังนั้นผู้ใดที่รู้จักคิดยอกย้อนสลับซับซ้อนและสร้างสรรค์แล้ว ผู้นั้นก็เหมาะที่จะดำเนินอาชีพด้านศิลปะ
4. ใจกว้าง อาจจะแปลกใจกับข้อนี้สักหน่อยที่ว่า นักศิลปะทั้งหลายที่เรารู้จักมักจะมีอีโก้สูง เชื่อมั่นในความคิดของตนเอง แล้วทำไมจึงบอกว่าผู้ที่จะเรียนศิลปะต้องใจกว้าง คำว่าใจกว้างหมายถึงการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นเพื่อนำมาพิจารณา (ไม่ได้หมายความว่าให้เชื่อตามคนอื่น) ใจกว้างที่จะรับสิ่งใหม่ ๆ ที่เข้ามาในชีวิต เช่น อาหารแปลก ๆ ฟังเพลงได้หลากหลายแนว สนใจที่จะรับรู้แนวคิดหรือความเชื่อที่ไม่เคยพบมาก่อน ฯลฯ เหล่านี้จะทำให้เราเป็นนักออกแบบที่มีน้ำหนักในความคิดและคำพูด เป็นที่ยอมรับและเชื่อถือ
5. มีดวงตาของศิลปิน เป็นดวงตาที่มองเห็นความงามในทุกสรรพสิ่ง แม้ในความน่าเกลียดหรือน่ากลัว การมองทะลุออกไปให้เห็นเนื้อหาของสิ่งนั้น ๆ เช่นเมื่อเราเห็นคนตาย เราอาจค้นหาความงามได้ด้วยดวงตาที่เห็นความหลุดพ้นจากความทุกข์ในโลกของคน ๆ นั้น เมื่อเราเห็นกองขยะ เราอาจพบความงามของเมืองที่สะอาด หรือจิตใจที่งดงามของคนกวาดถนนเป็นต้น นี่คือดวงตาของศิลปิน... และดวงตาเช่นนี้เองที่จะชี้ชวนให้ผู้อื่นเห็นความงามที่เขาเห็นได้
6. เป็นคนไวต่อความรู้สึก รับรู้การสัมผัสได้เร็ว ไม่เฉื่อยชา ความรู้สึกแบบนี้จะช่วยให้เราปิ๊งกับไอเดียแปลก ๆ ได้เร็ว คนที่ทำงานศิลปะมักจะพบว่า บางครั้งเจ้าความคิดหรือไอเดียดี ๆ มักจะผ่านเข้ามาในสมองอย่างรวดเร็วเช่นกัน ดังนั้นหากเราเป็นคนไวเราจะเก๊ตไอเดียได้ดีกว่าคนอื่น
7. หัดตั้งคำถามและหาคำตอบ การตั้งคำถามและหาคำตอบด้วยตนเอง จะช่วยให้เราเป็นคนมีเหตุผล ถึงแม้คำตอบเราจะไม่ถูกต้องตามความจริง แต่มันจะเป็นการฝึกให้เรารู้จักใช้สิ่งประกอบต่าง ๆ มาอ้างอิงสนับสนุนความคิด (ฝัน) ของเรา เช่นคำถามที่ว่าทำไมฝนตกรถจะต้องติด บางคนอาจตอบว่าอุบัติเหตุบ่อยรถจึงติด บางคนอาจตอบว่าคนต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้นทำให้รถเคลื่อนตัวช้า แต่บางคนอาจบอกว่าพอฝนตกตำรวจจราจรก็เข้าไปหลบฝนหมดรถก็เลยติด เพราะไม่มีจราจรคอยดูแล เป็นต้น นี่แสดงให้เห็นว่าคำถามเดียวเราอาจมีหลาย ๆ คำตอบที่ถูกได้ทั้งหมด ศิลปะก็เช่นกัน ทุกคำตอบจะถูกหมด เพียงแต่ว่าคำตอบไหนจะเหมาะสมกับสถานการณ์ใดเท่านั้นเอง
8. เป็นนักฝัน ข้อนี้สำคัญมาก แค่ฝันเราก็ยังไม่กล้าแล้วจะลงมือทำได้อย่างไร เด็กๆ ชอบมองก้อนเมฆแล้วเห็นเป็นรูปร่างต่าง ๆ ในใจก็คิดสร้างเรื่องราวไปตามรูปก้อนเมฆที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ความคิดฝันดี ๆ ของเรามันจะไม่ศูนย์เปล่า หากเรากล้าฝันสักวันมันจะถูกถ่ายทอดออกมาจากตัวเราในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เหมือนเป็นเพื่อนรักของเราตลอดไป
ลองสำรวจตัวเองว่า มีคุณสมบัติเหล่านี้หรือเปล่า หรือสามารถสร้างนิสัยเหล่านี้ได้หรือไม่
ถ้าได้ ... อนาคตในเส้นทางศิลปะก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอน
(บทความนี้สงวนลิขสิทธิ์โดย : หมีทอล์คดอทคอม)
Cr. http://www.mheetalk.com/content/5471/8-%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B5-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%9B%E0%B8%B0-%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A