***ศึกป่วนเทพคัมภีร์สังหาร:ตอนที่ 3 เดินทางสู่ดินแดนแห่งรัตติกาล ***

กระทู้สนทนา
ตอนที่ 3 เดินทางสู่ดินแดนแห่งรัตติกาล


            ลึกลงไปในหุบเขาอันมืดมิดดินแดนรกร้างไร้ผู้คน มีเพียงซากศพเดินได้ที่มันขนานนามพวกมันเองว่า ไพรทั่ม ลูกสมุนของจอมมารสูบวิญญาณ พวกไพรทั่มมีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว ผิวกายของพวกมันเป็นตุ่มพุพองคล้ายหนองเน่า มีที่ฟันแหลมคม ดวงตาสีขาวโพลนกลมโตราวกับภูตผีวิญญาณที่อยู่ในร่างกายมนุษย์

    พวกมันเกือบพันชีวิตต่างรีบเร่งทำงานแข่งกับเวลาตามบัญชาการของนายใหญ่มัน ค้อนใหญ่หลายร้อยอันถูกยกขึ้นอย่างพร้อมเพียงกัน แล้วบรรเลงทุบลงเป็นแท่งเหล็กกล้าที่ถูกยกขึ้นมาจากเตาหลอม แท่งเหล็กสีแดงอมส้มถูกค้อนทุบลงก็แบนราบตามแรงน้ำหนักของคนทุบ สะเก็ดไฟที่เกิดจากการกระทบกันระห่างเหล็กกับค้อน แตกกระจายพุ่งไปทั่วทุกสารทิศ เสียงทุบสะท้อนก้องไปทั่วหุบเขา

            พวกมันกำลังผลิตอาวุธไว้ต่อสู้กับเหล่ามนุษย์ผู้โง่เขลา สงครามต้องเป็นพวกมันเท่านั้นที่จะขึ้นมาครองโลก พวกมนุษย์งี่เง่าต้องตายไปหมดเกลี้ยง พวกไพรทั่มอยากเป็นใหญ่ในเหล่ามนุษย์ด้วยเหตุการณ์นี้ ยิ่งทำให้พวกมันฮึดแข็งขันผลิตอาวุธอย่างไม่หยุดหย่อน

            หัวหน้าไพรทั่มนามคอโซ มันวิ่งผ่านพวกไพรทั่มชั้นต่ำกว่าหลายสิบตนเพื่อมุ่งตรงไปสู่ที่พักนายของมัน ซ่อนลึกลงไปในซอกหุบเหวมีปากถ้ำเล็กๆอยู่ท่ามกลางความมืดมิดแสงใดๆไม่สามารถลอดผ่านลงมาได้ มันเป็นที่ที่น่ากลัวไม่มีใครกล้าที่จะย่างกราบเข้ามา แม้แต่ตัวคอโซเอง ก็หลีกเลี่ยงเหลือเกินที่จะมายังที่ตรงนี้ มันยืนอยู่หน้าปากถ้ำ ก้มหน้ามองพื้นด้วยใจที่หวาดหวั่น

“นายท่าน” เสียงแหบห้าวของมันพูดเข้าไปในถ้ำ เรียกร้องหาเจ้านายของมัน มันไม่กล้าย่างเดินเข้าไปโดยมิขออนุญาตนายมันเสียก่อน

“ใคร” เสียงทุ้มกังวานน่าเกรงขาม ราวกับจะสะกดผู้ที่ได้ยินให้แนบนิ่งไปในทันที

“คอโซขอรับนายท่าน”มันตอบเสียงแหบห้าว พลางก้มหน้ามองพื้นอย่างหวาดกลัว

“เข้ามา”

            เสียงของนายเรียกเชิญให้มันเข้าไป เสียงนี้กลับยิ่งทำให้คอโซตัวสั่นมือไม้สั่นแบบไม่รู้ตัว มันเดินเชื่องช้าเข้ามาในถ้ำที่มืดมิดมีกลิ่นเน่าเหม็นของซากศพทั้งมนุษย์ทั้งสัตว์ที่นายมันกินเป็นอาหาร แม้มันจะคุ้นเคยกับกลิ่นนี้เป็นอย่างดี แต่ที่แห่งนี้ไม่เพียงมีกลิ่นที่เหม็นที่น่าสยดสยอง หากแต่ยังมีความโหดร้ายอำมหิตของนายมันยิ่งน่ากลัวยิ่งกว่ากลิ่นเหม็นเน่าเหล่านี้  มันเดินลึกเข้ามาในถ้ำที่มืดมิดแม้ไม่มีแสงใดๆมันก็เดินได้อย่างคล่องแคล่วชำนาญเพราะมันคุ้นเคยกับที่นี้เป็นอย่างดี

“เจ้ามีอะไรว่ามา” เสียงทุ้มกังวานของนายมันดังขึ้น พร้อมการปรากฏตัวของนายมันที่มองเห็นแค่เพียงดวงตาสีแดงกล่ำราวกับเปลวเพลิงลูกเล็กที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ

“พวกมัน พวกมัน เอ่อ ….ไอ้พวกมนุษย์มันเริ่มรวมตัวกันแล้วขอรับนายท่าน” คอโซตอบนายติดๆขัดๆ

“แผนของเราได้ผล ค่อยๆจัดการพวกมันแล้วหลอกล่อให้พวกมันมาทำสงครามกับพวกเรา” เสียงทุ้มกังวานดังกึกก้องไปทั่วถ้ำ มีเสียงสะท้อนกลับมาเมื่อมันพูดจบ

“เจ้าหญิง เอ่อ เจ้าหญิงทอรีเนียไปสมทบกับไอ้พวกมนุษย์ด้วยขอรับนายท่าน” คอโซพูดต่อศีรษะของมันคงก้มมองพื้นตลอดเวลามันไม่กล้าแม้จะสบตานายมัน

“ฮะฮ่า เจ้าเด็กน้อยกระจิ๊กริด ริอาจจะมาสู้กับข้า ปล่อยให้มันมาข้าจะจัดการมันเสียให้เรียบ” นายใหญ่เอ่ยวาจาเสียงดังฟังชัด น้ำเสียงแกมเย่อหยิ่งผยองให้ความเก่งกาจของตน

“สั่งการออกไปจงผลิตอาวุธเพิ่มเป็นสองเท่า งานนี้เราคงได้ต่อกรกับพวกเทพเป็นแน่” นายใหญ่สั่งงานแก่ลูกน้องก่อนจะหายวับเข้าไปในความมืดมิด

“ขอรับนายท่าน” คอโซค้อมศีรษะให้นายมันแม้นายมันจะไม่อยู่ตรงนั่นแล้วก็ตาม


    ท้องพระโรงในนครมหาสมุทรเจ้าชายฟาดาเฟียและเหล่าขุนนางยังคงปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียด

             “ความปลอดภัยของราษฎร เราต้องดูแลเป็นอย่างดี เรื่องร้ายเกิดขึ้นกับบ้านเมืองเรา หลายอย่าง ท่านผู้เป็นเทพต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย เรารู้สึกเกรงใจพวกท่านเป็นยิ่งนัก การเดินทางไปดินแดนแห่งรัตติกาลในครั้งนี้ เราจะส่งทหารเราไปแต่เพียงลำพัง”

           เจ้าชายฟาดาเฟียเอ่ยขึ้นหลังจากเจ้าหญิงทอรีเนียยืนกรานจะเดินทางไปยังดินแดนรัตติกาล

    “พวกท่านไหนเลยจะสู้รบตบมือกับเหล่าอสูรได้ พวกเราเหล่าเทพที่มีพลังวิเศษยังเคยแพ้พ่ายกลับมา การกำจัดอสูรที่ชั่วร้ายแลสร้างความเดือดร้อนแก่โลก นั่นล่ะงานของเหล่าเทพ ” เจ้าหญิงทอรีเนียเอ่ยขึ้น

    “สหายข้า แม้เรื่องนี้จะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับท่าน ท่านยังจะช่วย ข้ารู้สึกตื้นตันใจยิ่งนัก” เจ้าชายฟาดาเฟียเอ่ย

    “ไหนเลยจะไม่เกี่ยวกับเรา จอมมารสูบวิญญาณจักต้องโดนเราฆ่าด้วยมือเราเอง เมื่อเราได้เปิดจดหมายท่านอ่าน อาการของบิดาท่าน ที่ท่านได้บอกกล่าวในจดหมาย เราก็พอรู้แล้วว่าเป็นฝีมือใคร การปรากฏตัวของจอมมารสูบวิญญาณที่เรารอคอยมา สองร้อยปี วันนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะสะสางบัญชีกับมัน”เจ้าหญิงทอรีเนียเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่

    ไคลน์เริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองหูฝาดหรือเปล่า เมื่อได้ยินเจ้าหญิงทอรีเนียบอกว่ารอมาสองร้อยปีแล้ว นางมีอายุมากกว่าสองร้อยปีเป็นแน่ แล้วไอ้ตัวเล็กๆนี้ก็คงจะอายุมากพอดู ไคลน์ผู้เป็นมนุษย์ไหนเลยจะรู้เรื่องเทพ ไคลน์มีลางสังหรณ์ใจว่าเจ้าหญิงทอรีเนียจะรู้ความคิดตน นางหันมามองเขา จนไคลน์ต้องหลบจากการประสานตาสีเขียวเข้มของนางที่เหมือนจะเจาะทะลุงลงไปในตัวของเขา

“เมื่อเป็นเช่นนี้ เราคงจะห้ามปรามอะไรท่านมิได้ เราขอให้พวกท่านทั้งหลายเดินทางอย่างปลอดภัย และขอขอบใจท่านมากทอรีเนีย เราดีใจที่มีท่านเป็นเพื่อน”

เจ้าชายฟาดาเฟียหันมายิ้มให้เจ้าหญิงทอรีเนีย นางก็ส่งยิ้มให้เจ้าชายเช่นเดียวกัน ไคลน์มองดูแล้วก็อดนึกสงสัยไม่ได้ว่าสองคนนี้เป็นเพื่อนกันได้อย่างไร แถมดูสนิทสนมกันด้วย เขาจะพยายามหาคำตอบเอง

“ทหารที่เราจะให้ไปทำภารกิจสำคัญนี้เป็นทหารที่มีฝีมือยอดเยี่ยม ไคลน์”

เจ้าฟาดาเฟียเอ่ยชื่อไคลน์เป็นคนแรกด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น พร้อมกับการค้อมศีรษะของไคลน์เพื่อรับคำสั่ง

“น้อมรับพ่ะย่ะค่ะ”ไคลน์ตอบรับ

“คนต่อไป เฟรส”

เจ้าชายฟาดาเฟียหันไปทางชขจีายหนุ่มที่ยืนอยู่ทางซ้ายมือ มีที่ร่างกายกำยำแววตาเด็ดเดี่ยว ซึ่งมีบุคลิกที่นิ่งเคร่งขรึมจนใครหลายๆคนต่างเกรงกลัว อาวุธประจำตัวคือกระบี่คู่ที่แขวนไว้ข้างเอวสองด้าน

“น้อมรับพ่ะย่ะค่ะ”

เฟรสในชุดทหารสีน้ำตาลตอบรับด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ไคลน์ที่ยืนฟังอยู่ก็ส่งสายตาแสดงความปลาบปลื้มไปทางเฟรสคู่หูของตน แต่เฟรสยังคนยืนสงบนิ่งไม่แสดงอาการใดๆ ไม่แม้แต่จะหันมาสบตากับไคลน์

“เคียลูส ไฟย่า และเรน พวกเจ้าทั้งสามก็จะจะเดินทางไปด้วยเช่นกันเตรียมตัวให้พร้อม” เจ้าชายฟาดาเฟียหันไปทางเหล่านทหารกล้าทั้งสามที่ยืนอยู่ ข้างเสาหลักของท้องพระโรง

“น้อมรับพ่ะย่ะค่ะ”ทั้งสามตอบรับพร้อมกัน

เคียลูส เป็นทหารวัยฉกรรจ์รูปร่างแข็งแรงตัวใหญ่ ใบหน้าเคร่งขรึมตลอดเวลาฝีมือเก่งกาจสามารถ เป็นทหารที่รับใช้เจ้าชายฟลอเรนเนีย มิคาไซเทียเรน วอเปอร์คิงซึ่งเป็นบิดาของเจ้าชายฟาดาเฟีย มาเป็นเวลานานอาวุธประจำตัวคือดาบสีนิลที่ปลายดาบสลักคำว่า“พิฆาต”เป็นอาวุธที่มองดูแล้วน่ากลัวยิ่งนัก

ไฟย่า หญิงสาวใบหน้ากลมแก้มสีชมพูดูสดใส หน้าตายิ้มแย้มตลอดเวลาอยู่ในชุดทหารสีฟ้าอ่อนรูปร่างสูงโปร่งมองดูปราดเปรียวสง่างดงามยิ่ง อาวุธประจำตัวธนูโดยได้รับฉายาว่า ธนูเพลิง เมื่อไรที่ไฟย่ายกคันธนูขึ้นไม่มีครั้งไหนเลยที่จะยิงพลาดและลูกธนูของเธอสามารถเป็นประกายไฟขึ้นมาได้ทุกเมื่อที่เธอต้องการจะเผาไหม้สิ่งกีดขวางที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานเด็ดขาดไร้ผู้เทียมทาน

เรน ชายหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ ที่มีหน้าตาหล่อเหลาผิวเข้มสีน้ำผึ้งดวงตาเป็นประกายที่แฝงไปด้วยความกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา รูปร่างสูงโปร่งดูแข็งแรงอยู่ในชุดทหารสีน้ำตาล อาวุธประจำตัว คือดาบประจำตระกูลพร้อมกับมีดพกเล่มเล็กที่ซุกซ่อนอยู่รอบตัวไม่มีใครรู้ว่าเรนเก็บมีดไว้ที่ไหนจะรู้ก็ต่อเมื่อเรนได้ปามีดออกไปยังเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว ฝีมือการปามีดของเรนเทียบกับการยิงธนูของไฟย่าแล้วไล่เลี่ยกันเลยก็ว่าได้

“หม่อมฉันขอเดินทางไปยังดินแดนรัตติกาลอีกคนนะเพคะ” ทาเรียเอ่ยขึ้นหลังจากที่เจ้าฟาดาเฟียได้บอกชื่อผู้ที่ต้องเดินทางไปหาคัมภีร์สังหารแต่ไม่มีชื่อตนอยู่

“เจ้าอยู่ที่นี่เทอญทาเรีย ถ้าเจ้าไปอีกคนใครเล่าจะช่วยเราปกป้องบ้านเมือง”เจ้าชายฟาดาเฟียเอ่ยขึ้น

“ใช่แล้ว ท่านพี่มิต้องไปดอกอยู่ที่นี่เป็นการดีกว่าจะได้คอยดูแลอารักขาเจ้าชายด้วย” ไคลน์หันไปพูดกับพี่สาวที่ตอนนี้ได้แต่แสดงสีหน้าเป็นห่วงน้องชายคนเดียวของตน

“เจ้าเป็นห่วงไคลน์หรือไร”

เจ้าฟาดาเฟียเอ่ยถามทาเรีย ทำเอาไคลน์ได้ก้มหน้าลงอย่างเขินอายที่โตป่านนี้แล้ว ยังต้องทำให้พี่สาวเป็นห่วงแบบนี้

“ ข้าพเจ้าเกรงว่ามันจะสร้างความเดือดร้อนให้ท่านทั้งหลาย”

ทาเรียพูดอย่างรู้ทันนิสัยน้องชายทำเอาผู้ที่ยืนฟังต่างอมยิ้มไม่เว้นแม้แต่เจ้าหญิงทอรีเนียยังคลี่ยิ้มที่มุมปาก เป็นเช่นที่นี้ยิ่งทำไคลน์ต้องก้มหัวหดเข้าไปใหญ่ไม่กล้าหันมองหน้าพี่สาว

“ท่านมิต้องเป็นห่วงหรอกเราจะดูแลน้องชายท่านมิให้ออกนอกลู่นอกทาง” เคียลูสพูดขึ้น ทำเอาไคลน์ที่ยืนฟังอยู่ถึงกับเสียวสันหลังวาบ

ใครอยากให้ท่านมาดูแลมิทราบตัวใครตัวมัน ที่แน่ๆข้าพเจ้าไม่อยากอยู่ใกล้เคียลูสเลย อยู่ใกล้ทีไรเหมือนโดนสูบวิญญาณออกจากร่างไปก็มิป่านข้าพเจ้าคิดแล้วก็ยิ่งอึดอัดที่ต้องเดินทางไปพร้อมเคียลูส ข้าพเจ้าขอบอกไว้ก่อนถ้าไม่อยากโดนจับเหวี่ยงหรือไม่อยากเจ็บตัวอยู่ห่างๆเคียลูสไว้เป็นอันปลอดภัย ไคลน์ครุ่นคิดในใจ

“เป็นเช่นนี้ข้าก็หมดห่วง ฝากท่านดูแลมันด้วยนะ” ทาเรียหันไปพูดกับเคียลูส

“ดินแดนที่ทุกท่านจะเดินทางไปนั้น มีอันตรายเป็นยิ่งนักหากแม้ไม่มีสติท่านก็จะตายอย่างไม่ทันรู้ตัวเลยก็ว่าได้” นอสบอกกล่าวแก่เหล่าทหารของเจ้าชายฟาดาเฟีย

“มันเป็นอย่างไร ท่านพอจะบอกกล่าวให้มากกว่านี้ได้หรือไม่ข้าจะได้เตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทันท่วงที” เรนเอ่ยถาม

“คงต้องให้ผู้ที่เคยเดินทางไปยังดินแดนแห่งรัตติกาลเป็นผู้บอกกล่าว”

นอสพูดขึ้นพร้อมกับหันไปทางเซียมิเคนที่นั่งสงบนิ่งมานาน แววตาครุ่นคิดเรื่องราวแม้มองดูตัวยังเล็กเหมือนเด็กแต่รอยแผลเป็นที่โดนของมีคม ยังคงปรากฏบนให้เห็นบนใบหน้าดูแลแล้วน่ากลัวยิ่งนัก

“ดินแดนแห่งรัตติกาล ถูกห้อมล้อมไปด้วยเหล่าสัตว์ร้ายที่พร้อมจะกระชากร่างกายท่านให้ฉีกขาดภายในเวลาไม่ถึงวินาที  เหล่าพ่อมดแม่มดที่ต้องการร่างกายมนุษย์อย่างพวกท่านนำไปปรุงยาเพื่อทำให้ตนเป็นอมตะ พวกมันมีเวทย์มนต์เพียงแค่นี้ท่านก็มิสามารถสู้กับพวกพ่อมดแม่มดได้แล้ว”

“ไม่มีทางอื่นที่พวกข้าจะสามารถต่อกรกับพ่อมดแม่มดเลยหรือ” ไคลน์ถามขึ้นอย่างอยากรู้ทางต่อสู้

“ไม่มี นอกเสียจากท่านจะเป็นพ่อมดเสียเอง”เซียมิเคนพูดน้ำเสียงเยือกเย็น

“นั่นยอมไม่มีทางเป็นไปได้ สรุปว่าพวกข้าจะต้องต่อสู้กับผู้ที่มีเวทย์มนคาถา”ไคลน์พูดต่อ

ข้าพเจ้าหมดหนทางคิดเป็นอย่างอื่นถ้าต้องสู้กับผู้มีคาทาแบบนี้ก็คงจะหนักเอาการ ดีไม่ดีโดนสาปให้กลายเป็นกบทำไงดี ข้าพเจ้าก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าส่งมนุษย์อย่างพวกเราไปสู้กับพ่อมดแม่มด มิส่งเราไปตายหรอกหรือนี่ ไคลน์ครุ่นคิดในใจเองคนเดียว

เฮ้อ !!ไคลน์ลอบถอนหายใจไปทีหนึ่ง กับภาระหน้าขององครักษ์ที่แสนเหนื่อยแลอันตราย แต่เขาก็มิกล้าทำให้เสียชื่อเสียงของวงตระกูลเด็ดขาด บิดาของเขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่นี่คือสิ่งที่เขาทราบแม้จะไม่เคยรู้ว่าหน้าตาบิดาเป็นอย่างไร แต่ตำนานเล่าขานก็เป็นที่ทุกคนต่างจดจำและเล่าสืบต่อกันมา

“ย่อมเป็นเช่นนั้น” เซียมิเคนเสริม

“เป็นการเดินทางไปฆ่าตัวตายชัดๆ” เจ้าฟาดาเฟียเอ่ยขึ้น

“ใครอยากจะถอยตัวตอนนี้ข้าอนุญาต” เจ้าฟาดาเฟียหันไปมองทหารแต่ละคนที่ตอนนี้ได้แต่ยืนนิ่งไม่มีใครพูดอะไร

“ข้าพเจ้ายินดีไปพ่ะย่ะค่ะ” เฟรสเอ่ยขึ้นตามด้วยเรน เคียลูซ ไฟย่า และไคลน์ตามลำดับ อันที่จริงแล้วไคลน์อยากถอนตัวยิ่งนักแต่ก็มิกล้าอายคนอื่น ถ้ามีใครถอนตัวไคลน์คงทำตามเป็นแน่

“ยังมีสมุนของจอมมารสูบวิญญาณที่จะคอยขัดขวางไม่ให้เราเดินทางไปเอาคัมภีร์สังหารที่หุบเขามารณะตลอดเส้นทางเลยก็ว่าได้” เซียมิเคนพูดต่อ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่