พอดีอยู่ดีๆ ก็นึกเรื่องนี้ขึ้นมา แล้วรู้สึกว่าเป็นโครงการที่ค่อนข้างจะทำลายเศรษฐกิจ
อย่างเช่น ยกตัวอย่าง โคตรงการรถคันแรก ที่ทำให้คนออกรถกันตรึมทั้งๆที่บางคนเงินทองก็ไม่มีก็ไปผ่อน
จนสุดท้ายก็เป็นหนี้และพอหาเงินผ่อนไม่ทันสุดท้ายก็หลุด เพราะจำได้ว่า หลังจากช่วงนั้น 1 ปี รถผ่อนไม่หมดแล้วหลุดเยอะมาก
เรียกได้ว่าช่วงนั้นรถมือสองมีแต่ดีๆทั้งนั้น
2. ค่าแรง 300 (เหมือนดาบสองคม)
ค่างแรงขั่นตํ่า 300 จะมองว่าดีมันก็ดีที่คนจนทำงานรายเดือนก็จะได้เงินเยอะขึ้นเมื่อเงินเยอะขึ้นการใช้จ่ายก็เยอะตามทำให้เงินหมุนเวียนเศรษฐกิจมากขึ้น
แต่ข้อเสียคือเมื่อค่าแรงเพิ่มขึ้นค่าครองชีพก็สูงตาม แต่ปัญหาคือมันมาตกกับคนที่ตกงาน และ ยิ่ง ค่าแรง 300 ทำให้คนตกงานเยอะขึ้น
เพราะโรงงานต่างๆ พากันถอดพนักงานเพื่อลดค่าจ้าง และหลายโรงงานเลือกที่จะปิดตัวลงและไปลงทุนที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว และ เวียดนาม ที่ค่าแรงค่อนข้างถูก
ผมเลยรู้สึกว่า 2 โครงการนี้ข้างข้างจะไม่โอเครเท่าไหร่
ขอโทษด้วยที่ใช้ศัพท์เรื่องเศรษฐกิจไม่ค่อยดี เพราะไม่ได้เรียนทางนี้
เลยใช้คำแบบบ้านๆ หวังว่าจะเข้าใจครับ
นึกย้อนกลับไปเลยสงสัยว่า โครงการรถคันแรก กับ ค่าแรงขั่นตํ่า 300 สมควรมีไหม
อย่างเช่น ยกตัวอย่าง โคตรงการรถคันแรก ที่ทำให้คนออกรถกันตรึมทั้งๆที่บางคนเงินทองก็ไม่มีก็ไปผ่อน
จนสุดท้ายก็เป็นหนี้และพอหาเงินผ่อนไม่ทันสุดท้ายก็หลุด เพราะจำได้ว่า หลังจากช่วงนั้น 1 ปี รถผ่อนไม่หมดแล้วหลุดเยอะมาก
เรียกได้ว่าช่วงนั้นรถมือสองมีแต่ดีๆทั้งนั้น
2. ค่าแรง 300 (เหมือนดาบสองคม)
ค่างแรงขั่นตํ่า 300 จะมองว่าดีมันก็ดีที่คนจนทำงานรายเดือนก็จะได้เงินเยอะขึ้นเมื่อเงินเยอะขึ้นการใช้จ่ายก็เยอะตามทำให้เงินหมุนเวียนเศรษฐกิจมากขึ้น
แต่ข้อเสียคือเมื่อค่าแรงเพิ่มขึ้นค่าครองชีพก็สูงตาม แต่ปัญหาคือมันมาตกกับคนที่ตกงาน และ ยิ่ง ค่าแรง 300 ทำให้คนตกงานเยอะขึ้น
เพราะโรงงานต่างๆ พากันถอดพนักงานเพื่อลดค่าจ้าง และหลายโรงงานเลือกที่จะปิดตัวลงและไปลงทุนที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว และ เวียดนาม ที่ค่าแรงค่อนข้างถูก
ผมเลยรู้สึกว่า 2 โครงการนี้ข้างข้างจะไม่โอเครเท่าไหร่
ขอโทษด้วยที่ใช้ศัพท์เรื่องเศรษฐกิจไม่ค่อยดี เพราะไม่ได้เรียนทางนี้
เลยใช้คำแบบบ้านๆ หวังว่าจะเข้าใจครับ