นับตั้งแต่กระแสสโลว์ไลฟ์ผุดเข้ามาในชีวิตคนรุ่นใหม่ การใช้ชีวิตแบบมนุษย์เงินเดือนที่กินรายได้จาก “งานประจำ” ก็พลันดูไร้ค่าปานพารามีเซียม (สัตว์เซลล์เดียวเล็กเสียจนไม่อยู่ในห่วงโซ่อาหาร) เพราะภาพลักษณ์การทำงานหนัก เงินเดือนน้อย ถูกจิกหัวใช้ ไม่มีอิสระ แรงปะทะสูง ฯลฯ ไหนเลยจะสู้งานอิสระมีเวลากินสตาร์บัคส์ นั่งกินคลีนฟู้ดร้านชิคๆ กระดิกเท้าคุยเรื่องหุ้นในโรงแรมหรูๆ ดีงาม...
เด็กจบใหม่ทุกวันนี้จึงยืดอกเต็มที่เมื่อนัดเลี้ยงรุ่นแล้วได้บอกเพื่อนๆ ว่าตอนนี้เป็นนักลงทุนกำลังจับตาดูตลาดหุ้นในโมซัมบิก หรือเพิ่งเปิดบริษัทสตารท์อัพในซิมบับเว่ ฯลฯ เพราะมันฟังดูเท่กว่าการมาเป็นลูกจ้างในบริษัทใหญ่ๆ ที่ก่อตั้งมายาวนาน งานมั่นคง ซึ่งเป็นแค่เพียง “มนุษย์เงินเดือน” ธรรมดาๆ ในสายตาของเขา
งานราชการไม่ต้องพูดถึง ถ้างานเอกชนยังดูถูกกันจนเป็นพารามีเซียม งานภาครัฐก็เป็นยิ่งกว่าเชื้อราในร่มผ้า ยกเว้นคนที่พ่อแม่บังคับเท่านั้น...
อาการดูถูกคนทำงานประจำไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในวันนี้ แต่มนุษย์เงินเดือนถูกปั้นแต่งภาพให้ตกต่ำเกินจริงมาตั้งแต่ยุค Work at Home ที่เอางานขายตรงมาบังหน้าการทำแชร์ลูกโซ่ ด้วยการขายฝันให้น้องๆ นิสิต นักศึกษาจบใหม่ โดยอ้างถึง “อิสระภาพ” ที่ไม่ต้องเข้างานแต่เช้า ทำงานได้ตามสะดวก แต่หารู้ไม่ว่านั่นเป็นเพียงฝันกลางวันที่ไม่มีวันเป็นจริง เพราะงานน้อยแต่รายได้ดีไม่มีในโลก กว่าจะรู้ตัวก็เสียเงินให้ต้นสายเป็นหมื่นเป็นแสนเพื่อหวังได้ผลตอบแทนในอนาคต ดีออก...
มาถึงวันนี้คนทำงานประจำก็ถูกซ้ำเติมด้วยค่านิยมใหม่ๆ ที่ดูโก้เก๋ “ลาออกซะ ถ้าอยากรวย” ไม่ก็ “รวยกว่าด้วยงานอิสระ” เห็นได้ทั่วไปนับสิบเล่มบนแผงหนังสือ โดยไม่มีสักเล่มเลยที่บอกว่า “ทำงานประจำเถอะ มั่นคงกว่า”
การทำอาชีพอิสระ หรือกระโจนสู่สมรภูมิสตาร์ตอัพนั้นไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แถมยังสร้างเศรษฐีใหม่มาแล้วหลายราย แต่ในทางหนึ่งก็ต้องยอมรับว่ามันไม่ได้เหมาะกับทุกคน ที่สำคัญ คนที่ประสบความสำเร็จก็ไม่ได้เป็นคนส่วนใหญ่ เช่นเดียวกับคนเล่นหุ้น ที่คนเจ๊งหุ้นเขาไม่ได้ออกมาเขียนหนังสือให้เราได้รับรู้ เราจึงเห็นแต่คนรวยหุ้นซึ่งคิดเป็นจำนวนแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของนักลงทุนทั้งหมดในตลาด
“งานประจำ” ที่โดนดูถูกเหยียดหยามเหลือหลายนั้น ในมุมหนึ่งมันเป็นรากฐานชั้นดีให้น้องๆ ได้สร้างฐานความรู้ สร้างคอนเน็คชั่นกับองค์กรใหญ่ๆ และมีเครื่องไม้เครื่องมือเพียบพร้อม แถมด้วยทรัพยากรมากมายให้เราได้ลองใช้ ก่อนที่จะกระโจนเข้าสู่สมรภูมิด้วยตัวเองในอนาคต
การเป็นมนุษย์เงินเดือน อาจเป็นการปูทางสู่ผู้บริหาร เป็นมือปืนรับจ้าง ได้เติบโตเป็นผู้กำหนดทิศทางขององค์กร ซึ่งทุกวันนี้หากน้องๆ มีฝีมือ หลายๆ องค์กรก็มี Fast Track ปั้นขึ้นเป็นนักบริหารรุ่นใหม่ มีสิทธิประโยชน์มากมายให้ ทั้งเงินเดือนสูงๆ รถประจำตำแหน่ง หุ้น สวัสดิการต่างๆ จนมีรายได้ไม่แพ้เจ้าของกิจการเลย
การดูถูกงานประจำว่าเป็นทาส ดักดาน เป็นลูกจ้างที่ไม่มีวันก้าวหน้า ก็ไม่ต่างอะไรกับการดูถูกตัวเองว่าต้องเป็นพนักงานระดับล่างต๊อกต๋อยไปตลอดชีวิต ไม่ได้คิดถึงการที่เราจะเติบโตในองค์กร เป็นผู้ช่วยผู้จัดการ เป็นผู้อำนวยการ เป็นกรรมการบริหาร หรือแม้แต่เป็นซีอีโอ ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อแวดวงธุรกิจเช่นเดียวกับเจ้าของบริษัท
พารามีเซียมที่เห็น อาจวิวัฒนาการเป็นสิ่งมีชีวิตล้ำหน้า กลับมาเคาะกะโหลกมนุษย์สโลว์ไลฟ์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็ได้ ใครจะรู้...
------------------------------------------------------------------------------------
เพิ่มเติม #2 / 15 สิงหาคม 12:35
คิดไม่ค่อยผิดเท่าไรว่ามาโพสต์เรื่องนี้ใน pantip แล้วคงจะโดนตบกระโหลกไปหลายฉาด
ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นนะครับ โดยเฉพาะความเป็นห่วงเป็นใยว่าผมคงจะเก็บกดมามิใช่น้อย ขอเรียนตรงนี้ว่าเขียนโดยไม่ได้เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางหรอกครับ ตัวผมเองเคยทำธุรกิจส่วนตัว ก่อนจะมีผู้ใหญ่ชวนให้มาบุกเบิกธุรกิจหนึ่ง ก็เปลี่ยนสถานะมาเป็นลูกจ้าง ทำทุกอย่าง ตั้งแต่งานขาย งานผลิต หาลูกค้า ไต่เต้าขึ้นมาเรื่อยๆ จนได้เป็นหุ้นส่วน และเอาบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ผมเป็นซีอีโอบริหารบริษัทนี้อยู่สิบกว่าปี จนเริ่มอิ่มตัวจึงตัดสินใจลาออกมาทำอะไรที่อยากทำเมื่อปลายปีที่แล้วด้วยวัยที่ขึ้นหลักสี่แล้ว ทั้งสอนหนังสือ เรียนภาษาที่เคยอยากเรียน เรียนต่อในสาขาที่สนใจ เรียนขับเครื่องบิน เลี้ยงลูก และรับเป็นที่ปรึกษาให้องค์กรต่างๆ เลยพอจะมีมุมมองทั้ง 2 มุม ว่าการเป็นเจ้าของบริษัท หรือเป็นลูกจ้างนั้นมันมีความแตกต่างกันตรงไหน และบอกได้ว่าไม่มีทางไหนสมบูรณ์ที่สุด หรือมีทางเลือกที่เหมาะกับทุกคนหรอกครับเพราะแต่ละคนก็มีวิถีชีวิต ประสบการณ์ และความรักความชอบที่แตกต่างกัน จริงไหมครับ
เห็นความคิดของเด็กรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งแล้วแปลกใจว่าทำไมถึงคิดได้ผิดไปโลกความเป็นจริงไปมากขนาดนี้ มีอะไรที่เขาหลงลืมไปหรือเปล่า? แต่อาจเป็นเพราะมุมมองที่ผมมีอาจจะแคบไปนิดและไม่ตรงกับเพื่อนๆ ใน pantip นะครับ จึงสะท้อนความคิดออกมาไม่โดนใจหลายๆ คน แต่ก็ดีครับเพราะผมเองก็อยากได้มุมมองที่หลากหลาย
เรื่องนี้ผมเขียนใน facebook ตัวเอง แต่ไม่ค่อยได้เรื่องอะไรนัก เพราะคนมาตอบส่วนใหญ่ก็เพื่อนๆ กันเลยไม่ค่อยมีความเห็นแย้งสักเท่าไร จึงตัดสินใจมาโพสต์ในนี้ ซึ่งไม่ผิดหวังเลย
ว่าแต่... ตบกระโหลกผมเบาๆ กันหน่อยละกันนะครับ ผมยังอ่อนหัด มีอะไรต้องเรียนรู้อีกเยอะ
มียุคไหนไหมนะ ที่สถานะของ "มนุษย์เงินเดือน" จะตกต่ำถึงเพียงนี้...?
เด็กจบใหม่ทุกวันนี้จึงยืดอกเต็มที่เมื่อนัดเลี้ยงรุ่นแล้วได้บอกเพื่อนๆ ว่าตอนนี้เป็นนักลงทุนกำลังจับตาดูตลาดหุ้นในโมซัมบิก หรือเพิ่งเปิดบริษัทสตารท์อัพในซิมบับเว่ ฯลฯ เพราะมันฟังดูเท่กว่าการมาเป็นลูกจ้างในบริษัทใหญ่ๆ ที่ก่อตั้งมายาวนาน งานมั่นคง ซึ่งเป็นแค่เพียง “มนุษย์เงินเดือน” ธรรมดาๆ ในสายตาของเขา
งานราชการไม่ต้องพูดถึง ถ้างานเอกชนยังดูถูกกันจนเป็นพารามีเซียม งานภาครัฐก็เป็นยิ่งกว่าเชื้อราในร่มผ้า ยกเว้นคนที่พ่อแม่บังคับเท่านั้น...
อาการดูถูกคนทำงานประจำไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในวันนี้ แต่มนุษย์เงินเดือนถูกปั้นแต่งภาพให้ตกต่ำเกินจริงมาตั้งแต่ยุค Work at Home ที่เอางานขายตรงมาบังหน้าการทำแชร์ลูกโซ่ ด้วยการขายฝันให้น้องๆ นิสิต นักศึกษาจบใหม่ โดยอ้างถึง “อิสระภาพ” ที่ไม่ต้องเข้างานแต่เช้า ทำงานได้ตามสะดวก แต่หารู้ไม่ว่านั่นเป็นเพียงฝันกลางวันที่ไม่มีวันเป็นจริง เพราะงานน้อยแต่รายได้ดีไม่มีในโลก กว่าจะรู้ตัวก็เสียเงินให้ต้นสายเป็นหมื่นเป็นแสนเพื่อหวังได้ผลตอบแทนในอนาคต ดีออก...
มาถึงวันนี้คนทำงานประจำก็ถูกซ้ำเติมด้วยค่านิยมใหม่ๆ ที่ดูโก้เก๋ “ลาออกซะ ถ้าอยากรวย” ไม่ก็ “รวยกว่าด้วยงานอิสระ” เห็นได้ทั่วไปนับสิบเล่มบนแผงหนังสือ โดยไม่มีสักเล่มเลยที่บอกว่า “ทำงานประจำเถอะ มั่นคงกว่า”
การทำอาชีพอิสระ หรือกระโจนสู่สมรภูมิสตาร์ตอัพนั้นไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แถมยังสร้างเศรษฐีใหม่มาแล้วหลายราย แต่ในทางหนึ่งก็ต้องยอมรับว่ามันไม่ได้เหมาะกับทุกคน ที่สำคัญ คนที่ประสบความสำเร็จก็ไม่ได้เป็นคนส่วนใหญ่ เช่นเดียวกับคนเล่นหุ้น ที่คนเจ๊งหุ้นเขาไม่ได้ออกมาเขียนหนังสือให้เราได้รับรู้ เราจึงเห็นแต่คนรวยหุ้นซึ่งคิดเป็นจำนวนแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ของนักลงทุนทั้งหมดในตลาด
“งานประจำ” ที่โดนดูถูกเหยียดหยามเหลือหลายนั้น ในมุมหนึ่งมันเป็นรากฐานชั้นดีให้น้องๆ ได้สร้างฐานความรู้ สร้างคอนเน็คชั่นกับองค์กรใหญ่ๆ และมีเครื่องไม้เครื่องมือเพียบพร้อม แถมด้วยทรัพยากรมากมายให้เราได้ลองใช้ ก่อนที่จะกระโจนเข้าสู่สมรภูมิด้วยตัวเองในอนาคต
การเป็นมนุษย์เงินเดือน อาจเป็นการปูทางสู่ผู้บริหาร เป็นมือปืนรับจ้าง ได้เติบโตเป็นผู้กำหนดทิศทางขององค์กร ซึ่งทุกวันนี้หากน้องๆ มีฝีมือ หลายๆ องค์กรก็มี Fast Track ปั้นขึ้นเป็นนักบริหารรุ่นใหม่ มีสิทธิประโยชน์มากมายให้ ทั้งเงินเดือนสูงๆ รถประจำตำแหน่ง หุ้น สวัสดิการต่างๆ จนมีรายได้ไม่แพ้เจ้าของกิจการเลย
การดูถูกงานประจำว่าเป็นทาส ดักดาน เป็นลูกจ้างที่ไม่มีวันก้าวหน้า ก็ไม่ต่างอะไรกับการดูถูกตัวเองว่าต้องเป็นพนักงานระดับล่างต๊อกต๋อยไปตลอดชีวิต ไม่ได้คิดถึงการที่เราจะเติบโตในองค์กร เป็นผู้ช่วยผู้จัดการ เป็นผู้อำนวยการ เป็นกรรมการบริหาร หรือแม้แต่เป็นซีอีโอ ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อแวดวงธุรกิจเช่นเดียวกับเจ้าของบริษัท
พารามีเซียมที่เห็น อาจวิวัฒนาการเป็นสิ่งมีชีวิตล้ำหน้า กลับมาเคาะกะโหลกมนุษย์สโลว์ไลฟ์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็ได้ ใครจะรู้...
------------------------------------------------------------------------------------
เพิ่มเติม #2 / 15 สิงหาคม 12:35
คิดไม่ค่อยผิดเท่าไรว่ามาโพสต์เรื่องนี้ใน pantip แล้วคงจะโดนตบกระโหลกไปหลายฉาด
ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นนะครับ โดยเฉพาะความเป็นห่วงเป็นใยว่าผมคงจะเก็บกดมามิใช่น้อย ขอเรียนตรงนี้ว่าเขียนโดยไม่ได้เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางหรอกครับ ตัวผมเองเคยทำธุรกิจส่วนตัว ก่อนจะมีผู้ใหญ่ชวนให้มาบุกเบิกธุรกิจหนึ่ง ก็เปลี่ยนสถานะมาเป็นลูกจ้าง ทำทุกอย่าง ตั้งแต่งานขาย งานผลิต หาลูกค้า ไต่เต้าขึ้นมาเรื่อยๆ จนได้เป็นหุ้นส่วน และเอาบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ผมเป็นซีอีโอบริหารบริษัทนี้อยู่สิบกว่าปี จนเริ่มอิ่มตัวจึงตัดสินใจลาออกมาทำอะไรที่อยากทำเมื่อปลายปีที่แล้วด้วยวัยที่ขึ้นหลักสี่แล้ว ทั้งสอนหนังสือ เรียนภาษาที่เคยอยากเรียน เรียนต่อในสาขาที่สนใจ เรียนขับเครื่องบิน เลี้ยงลูก และรับเป็นที่ปรึกษาให้องค์กรต่างๆ เลยพอจะมีมุมมองทั้ง 2 มุม ว่าการเป็นเจ้าของบริษัท หรือเป็นลูกจ้างนั้นมันมีความแตกต่างกันตรงไหน และบอกได้ว่าไม่มีทางไหนสมบูรณ์ที่สุด หรือมีทางเลือกที่เหมาะกับทุกคนหรอกครับเพราะแต่ละคนก็มีวิถีชีวิต ประสบการณ์ และความรักความชอบที่แตกต่างกัน จริงไหมครับ
เห็นความคิดของเด็กรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งแล้วแปลกใจว่าทำไมถึงคิดได้ผิดไปโลกความเป็นจริงไปมากขนาดนี้ มีอะไรที่เขาหลงลืมไปหรือเปล่า? แต่อาจเป็นเพราะมุมมองที่ผมมีอาจจะแคบไปนิดและไม่ตรงกับเพื่อนๆ ใน pantip นะครับ จึงสะท้อนความคิดออกมาไม่โดนใจหลายๆ คน แต่ก็ดีครับเพราะผมเองก็อยากได้มุมมองที่หลากหลาย
เรื่องนี้ผมเขียนใน facebook ตัวเอง แต่ไม่ค่อยได้เรื่องอะไรนัก เพราะคนมาตอบส่วนใหญ่ก็เพื่อนๆ กันเลยไม่ค่อยมีความเห็นแย้งสักเท่าไร จึงตัดสินใจมาโพสต์ในนี้ ซึ่งไม่ผิดหวังเลย
ว่าแต่... ตบกระโหลกผมเบาๆ กันหน่อยละกันนะครับ ผมยังอ่อนหัด มีอะไรต้องเรียนรู้อีกเยอะ