"แม่" และขนมของผม

กระทู้สนทนา


คงเป็นบันทึกครั้งแรกของผม ที่ได้เขียนถึงแม่ พวกเราเดินทางกันมาไกลมากเลยนะครับ
ไกลจนผมรู้สึกได้ถึงคำว่า "เหนื่อย" จนอยากจะพักยาวๆนะครับ
ถ้าจะถามว่าความสุขของแม่คืออะไร ตั้งแต่ผมจำความได้ ผมรู้สึกว่าคำว่า "พอ" คือความสุขที่แม่มีตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบัน
ถ้าจะบอกว่า การที่แม่มาแต่งงานกับพ่อ   อยากจะบอกเลยว่า โคตรลำบากเลย
ถ้าแม่ไม่แต่งกับพ่อ แม่คงเป็นลูกคุณลูกหนูที่มีความสุขมากที่สุด
ก็คุณตาเป็นถึงผู้กำกับภาพยนต์สมัยนั้น ที่บ้านคุณตายังเป็นโรงถ่ายภาพยนต์เสียอีก แต่พอแม่ย้ายวิกมาอยู่กับพ่อ
แม่เหมือนนางฟ้าตกสวรรค์เลยจริงๆ
ตั้งแต่เกิดมา ผมเห็นแต่น้ำตาแม่มากกว่ารอยยิ้มเสียอีก แต่แม่ก็ยังคงเป็นแม่ที่สุดยอดที่สุดในการเลี้ยงพวกผมแบบมีกุศโลบาย
อาจจะเป็นเพราะความเก่งและแม่เป็นคนฉลาด ทำให้แม่ เอาชนะความลำบาก และความทุกข์ต่างๆที่ผ่านมา
คำว่า"ไม่มีกิน" สำหรับพวกเรา คงเป็นเรื่องปกติ แต่แม่ก็จะหาวิธีที่จะทำกับข้าวให้พวกเรามีกินเหมือนลูกบ้านอื่นๆเขา
ถึงมันจะเป็นเพียง ข้าวผัดน้ำมันใส่ซีอิ๊ว ให้พวกเรากินตอนเช้า วันไหนดีหน่อย ก็เป็นข้าวผัดไข่สีชมพู ผมไม่รู้อะไรมากหรอกนอกจาก
อิ่ม กับอร่อย แล้วก็ไม่กินผัก ทุกๆครั้งผมไม่เคยเห็นแม่กินข้าวพร้อมพวกเรา
จนโตมาถึงได้รู้ว่า แม่ยอมอดเพื่อพวกเรามาตลอด
แม่น่าจะจำได้ ตอนผมต้องเรียนวิชาตัดเย็บ ตอน ป 6 อาจารย์สั่งให้ซื้อผ้ามาตัดกางเกงนอน กับเสื้อนอน
แต่ด้วยความที่เราไม่มีเงิน แม่ก็พยายามไปหาผ้ามา ให้ผมไปเรียนจนได้เสื้อและกางเกงมาเหมือนชาวบ้านเขา
เพื่อนๆในห้องเขาจะมีเสื้อนอนกางเกงนอน ที่เป็นลายน่ารัก สีหวานๆมุ้งมิ้ง
แต่ของผม จะเป็นเสื้อแดงแปร้ดไม่มีลาย กับกางเกงนอนสีเหลืองแปร้ด ไม่มีลาย

ผมรู้นะ ว่าแม่วางหมากไว้ให้ผมตั้งแต่เด็ก ว่าแดงเหลืองนี่ล่ะลูก สีของ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผมโคตรเชื่อเลยนะ
จนตอนนี้ยัง งงๆอยู่เลย ว่าแม่ไปเอาผ้าที่ไหนมาให้ตัด แม่คงไม่ไปเอาผ้าที่เขาผูกตามต้นไทรมาให้นะแม่
ทุกๆวันขึ้นปีใหม่ เด็กๆอย่างพวกเรา ชอบที่จะเซ้าซี้แม่ตลอดเวลาถึงของขวัญ และ ของกินที่น่าเอร็ดอร่อย
แต่แม่ก็ยังคงเป็นแม่ที่ยอดเยี่ยมเช่นเคย
แม่จะมีหนังสือทำอาหาร ของคุณอา พลศรี คชาชีวะ อยู่หลายเล่ม แต่ละเล่ม ข้างในก็จะมีแต่รูปอาหารที่น่ากินเหลือเกิน
ก่อนนอน แม่ก็จะเรียกพวกเรา ล้อมวงกันมานั่งพิงแม่บ้าง นั่งฟังแม่พูดบ้าง  แม่ถามว่า ปีใหม่ใครอยากกินอะไร ใครอยากได้อะไร
ทุกคนก็จะแย่งกันตอบ ชี้มือ ชี้ไม้ จิ้มรูป จนแทบจะสึก แล้วแม่ก็จะจดใส่กระดาษเก่าๆใบหนึ่ง
สมัยนั้นไม่รู้จักหรอกครับ ว่าเคาท์ดาวน์คืออะไร รู้แต่ว่าหลังจากคืนที่เราจดทุกอย่างที่เราอยากได้
รุ่งขึ้น มันก็จะเป็นวันใหม่ ที่มาพร้อมกับคำว่า  "ลืม"   เราเองก็ไม่เคยได้นึกถึงว่า เราอยากได้อะไรกัน อาจจะเพราะความเป็นเด็ก
ต้องบอกจริงๆว่า พวกเรายังมีความโชคดี ตรงที่เรามีคุณ "ปู่"  คุณปู่ที่โคตรจะรักหลานมาก
โจทย์ของชีวิตหลายๆครั้งถูกตอบคำถามได้อย่างลงตัว ด้วยฝีมือของคุณปู่ตลอดมา
เราโตกันมาได้ทุกวันนี้ก็เพราะเงิน ค่าขนมที่คุณปู่ให้มาตลอด
เออ แต่ว่า  "ทำไมไม่มีวันปู่บ้างนะ"

แต่ถึงกระนั้น ถ้าไม่มียอดนักบริหารชีวิตอย่างแม่ผมคงไม่มีวันนี้หรอกครับ
อยากจะบอกแม่ว่า แม่คือสุดยอดของชีวิตผมจริงๆนะครับ

ขนมของผม
ผมไม่รู้ว่าแม่จะคิดอย่างไร ที่ทุกๆครั้ง เวลาที่แม่พาพวกเรา ไปเดินเล่นริมคลองในบ้าน
ผมจะเป็นเด็ก เงียบๆ   ความหมายของการเป็นเด็กเงียบๆ  
คือ กูเดินไปแบบเงียบๆ ไม่ให้แม่เห็น แล้วค่อยๆบรรจงโยนเหรียญค่าขนม ลงคลอง
ถ้าแม่เห็น จะมีเสียง ตามมาทันทีว่า ทำอะไรอะลูก
ผมก็จะตอบไปตามความตั้งใจว่า ให้ปลาไปซื้อขนมกิน แม่ก็คงทำหน้างงๆ แต่ก็ไม่เคยว่าสักครั้ง
มีแต่ไม่ให้ตังค์ค่าขนมติดตัวอีกเลย
แค่นั้นยังไม่พอ ถ้าปลอดจากสายตาของแม่เมื่อไร
ผมจะนั่ง เงียบๆแล้วค่อยๆเลือก หยิบดินริมตลิ่งกิน อาจจะเป็นที่สมัยก่อนระบบนิเวศน์ยังสมบูรณ์ สารพิษยังไม่มี
รสชาดของดินริมตลิ่งจึงเป็นที่ถูก ปากถูกใจผมยิ่งนัก
จะว่าไป สมัยนั้นบ้านผมยังไม่รู้จักหรอก ชอคโกแลตเป็นยังไง แต่ผมว่าไอ้ดินข้างตลิ่งนี่ล่ะมันฟินที่สุดแล้ว

เวลาแม่เรียกขึ้นบ้าน แม่จะสงสัยตลอดว่าทำไม  ผมจะไม่ค่อยพูด
ไม่กล้าที่จะอ้าปาก จนสุดท้ายแม่นี่แหล่ะ ที่ต้องแงะปาก พร้อมคำอุทาน ว่า"ตายแล้วลูกกู" (กูต้องเน้นเสียงสูงเหมือนคุณโน้ต อุดมนะครับ)
จริงๆแม่ผมไม่พูดคำหยาบหรอก แม่พูดไม่เป็น แต่ผมอ่านอายคอนแทคของแม่ออกไง ว่าในใจ แม่คงอยากอุทานคำนั้นแน่ๆ
ก็ ฟันลูกชายมีแต่ดินเต็มปาก ติดเต็มฟันไปหมด
แม่ต้องคอยเอาไม้มานั่งแคะฟันทุกครั้ง
ผมรู้นะว่าแม่เหนื่อย ที่ต้องมานั่งแคะฟันให้ผม
ผมอยากจะบอกว่า แม่เลี้ยงผมดีที่สุด ไม่เคยอดอยากเลยครับ แต่การกินดินมันคือพฤติกรรมส่วนตัวจริงๆครับ

เดี๊ยวๆๆ  ขนมของผมยังมีอีก
แค่นั้นยังไม่พอ
เวลานอนตอนกลางคืน ผมจะเป็นคน นอนติดกับผนังบ้าน
อาจจะเป้นเพราะความขี้สงสัย ว่าทำไมปูนมันถึงมีรูกระเทาะเล็กๆ ด้วยความอยากรู้ถึงปัญหา มันก้ต้องพิสูจน์กันหน่อย
ผมค่อยๆเอามือแคะปูนที่เป็นรู แล้วก็เอาเศษปูนเล็กๆยัดใส่ปาก คือมันเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่พบทางสว่างวาบ
อยากบอกเลยว่า มันกรุบๆกรอบๆ คือมันกรอบๆอะ เคี้ยวอร่อยเลยล่ะ
ปูนมันอร่อยเพียงนี้เลยหรือ
ทุกๆคืน ผมก็จะรีบนอนก่อนคนอื่น แต่จริงๆไม่ใช่หรอกครับ ผมก็แอบไปแทะปูนข้างผนัง จนรูมันใหญ่ขึ้น
ถามว่าใหญ่ขนาดไหนก้ลึกประมาน1เซนติเมตร ความกว้างก็มี2เซนติเมตรได้
ผมยังคงเจริญเติบโตเพราะได้แร่ธาตุข้างผนังมาหล่อเลี้ยง    แล้ววันสุดท้ายก็มาถึง
วันที่แม่จับได้  ก่อนที่ผมจะกินผนังบ้านจนหมดทั้งด้าน
ในขณะที่ผมกำลังแทะผนังบ้านอย่างเมามัน ก็มีเสียงเล็กๆดังขึ้น
"เน็ท ทำอะไรอะลูก"
เสียงนั้นทำเอาผมตัวเย็นเฉียบ หันไปหาต้นเสียง พร้อมกับ เศษปูนที่ติดปากอยู่

อารมณ์มันเหมือนคนติดยาแล้วโดนตำรวจจับมั้ง
แต่แม่ก็ไม่เคยตี ไม่เคยว่า แม่ก็ไปหาวอลเปเปอร์มาปิดรูนั้นไว้

อยากจะบอกว่า "แม่ครับ แม่ไม่ได้เลี้ยงผมให้อดอยากเลย การที่ผมแอบไปกินดินริมตลิ่ง แอบมาแทะฝาผนังปูน ผมไม่ได้หิวหรอกครับ
ผมอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ อยากรู้ อยากลอง แต่พอลองแล้วมันติดใจ "จนต้องมีพฤติกรรมซื้อซ้ำนะครับ

โชคดีที่ตอนนั้นแม่ไม่พาผมไปถ้ำกระบอก
เพราะ ผมมีจิตใจที่เข้มแข็งพอที่จะหักดิบ ดินข้างตลิ่ง กับปูนข้างผนังได้
จำได้แว่วๆว่า เหมือนแม่เคยพูด ตอนแคะฟันให้ผมว่า
"โตขึ้นมาแม่ขออย่างนึงนะลูก หนูอย่าไปเป็นนักการเมืองนะลูก"

ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่