การมี รธน. ให้มีสถานะภาพเป็นกฏหมายสูงสุดของประเทศไทย ที่มีการบริหารประเทศในระบอบประชาธิปไตย นั้นมิได้บังเกิดขึ้นจากความคิดสร้างแต่งของชาวไทยเองแต่เป็นการนำเอาระบบที่มีเอามาคัดลอกใช้ ฉนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดปรกติเมื่อมีการตีความหมายหรือต่อเติมฯ กับตัวระบบขึ้นมา อันก็เป็นเหตุผลสำคัญที่มีคำอ้างผิดเพี้ยนไปว่า “เป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ” เป็นต้น ครับ
ก่อนอื่นจำเป็นต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า “รัฐธรรมนูญ” ก็คือ “สัญญาประชาคม ที่ในแง่ของกฎหมายไม่แตกต่างอะไร กับการสัญญาต่างๆ คือความชอบธรรมของ รธน. จะบังเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการสมยอมและรับรองโดยคู่สัญญาเป็นหลักสำคัญของสภาพรธน. สำหรับ รธน.ไทย ก็คือการลงประชามติ นั่นเอง เพราะ รธน.ไทย ได้ยกให้องศ์พระมหากษัตริย์เป็นประมุข เป็นเหตุให้ รธน.นั้นๆ เพื่อสามารถประกาศในพระราชกิจจานุเบกษาและจึงจะมีผลบังคับใช้ได้ มีความจำเป็นที่ต้องทูลเกล้าฯ ขอพระราชโองการ อันเป็นข้อชีชัดทางกฏหมายถึงความแตกต่าง ระหว่างความชอบธรรมของ รธน. ไม่ใช่ด้วยการสนองพระราชโองการ ที่ทรงอนุญาติให้มีผลบังคับใช้ ถูกใหม ครับ
ฉนั้นขั้นตอนที่มาของความชอบธรรม ของ รธน.นั้นๆ จะเริ่มด้วย
๑.) การลงประชามติ ในร่าง รธน. ที่ถือว่าเป็นเจจตนารมณ์ของ คู่สัญญาประชาคมทั้งหลาย
๒.) การมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ อันถือได้ว่า มีผลให้สามารถนำไปบังคับใช้
จาก รธน.๕๐ มีความชอบธรรมสมบูรณ์แบบโดยผ่านการลงประชามติ และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สามารถนำไปบังคับใช้ได้ อันแตกต่างจาก รธน.๕๗ (ฉบับชั่วคราว) ที่ไม่ได้ผ่านการลงประชามติ อันหมายถึงขาดความชอบธรรมในการเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ส่วนพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สามารถนำไปบังคับใช้นั้น ในแง่ของกฎหมายมิได้ครอบคลุ่มโดยปริยายถึงความชอบธรรม นั่นเอง ครับ
ที่มาของ รธน.๕๗ เริ่มมาจากการประกาศใช้ “พรบ.กฎอัยการศึก” การใช้อำนาจการประกาศใช้ โดยให้เหตุผล ตาม พรบ.กฎอัยการศึก ม.๒ “...เพื่อรักษาความเรียบร้อยปราศจากภัย ซึ่งจะมีมาจากภายนอกหรือภายในราชอาณาจักร...” อันการประกาศใช้ยังมิได้ตรวจสอบถึงเหตุผลสมควร โดย ตามบทบัญญัติให้อำนาจถึง “....บรรดาข้อความในพระราชบัญญัติหรือบทกฎหมายใด ๆ ซึ่งขัดกับความของกฎอัยการศึกที่ให้ใช้บังคับต้องระงับและใช้บทบัญญัติของกฎอัยการศึกที่ให้ใช้บังคับนั้นแทน” อันการประกาศใช้ พรบ.กฎอัยการศึก สามารถอย่างมากก็เพียง ระงับการบังคับใช้ แต่มิใช่ให้เลิกใช้ รธน.๕๐ การประกาศให้เลิกใช้ รธน.๕๐ ที่สืบทอดมาจาก การประกาศใช้ พรบ.กฎอัยการศึก จึ่งไม่มีผลให้ ความชอบธรรมและการบังคับใช้ รธน.๕๐ หมดสิ้นลงไป ครับ
การมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สามารถนำ รธน.๕๗ (ฉบับชั่วคราว) ไปบังคับใช้ได้ด้วยข้อจำกัด สองประการ
๑.) ในกรณีที่ไม่มี รธน. ที่มีความชอบธรรม ใช้บังคับอยู่
๒.) ประกาศใช้ชั่วคราวจนกว่าจะมี รธน. ที่มีความชอบธรรมใช้ต่อไป
ในเมื่อ รธน.๕๐ ยังไม่สิ้นสภาพ “ความชอบธรรม” และก็ไม่มีพระบรมราชโองการให้ยกเลิกการบังคับใช้ ก็คือการคงสถานะภาพในการเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศไทย จนบัดนี้ ส่วน รธน.๕๗ (ฉบับชั่วคราว) ไม่ได้มีสถานะภาพความชอบธรรมเฉกเช่น รธน.๕๐ เพราะขาดการยอมรับโดยประชามติ หรือ “ขาดความชอบธรรม” นั่นเอง และด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ เป็นผลให้ยังไม่บังเกิดช่วงขณะของการรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ของ รธน.๕๗ (ฉบับชั่วคราว) ครับ
ผลสุดท้ายก็คงต้องตั้งคำถามทิ้งเอาไว้ว่า "เขากำลังทำอะไร? กับกรณี รธน. กันอยู่" ครับ
มองหาความชอบธรรม ของ รธน.๕๗ (ฉบับชั่วคราว) ........
ก่อนอื่นจำเป็นต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า “รัฐธรรมนูญ” ก็คือ “สัญญาประชาคม ที่ในแง่ของกฎหมายไม่แตกต่างอะไร กับการสัญญาต่างๆ คือความชอบธรรมของ รธน. จะบังเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการสมยอมและรับรองโดยคู่สัญญาเป็นหลักสำคัญของสภาพรธน. สำหรับ รธน.ไทย ก็คือการลงประชามติ นั่นเอง เพราะ รธน.ไทย ได้ยกให้องศ์พระมหากษัตริย์เป็นประมุข เป็นเหตุให้ รธน.นั้นๆ เพื่อสามารถประกาศในพระราชกิจจานุเบกษาและจึงจะมีผลบังคับใช้ได้ มีความจำเป็นที่ต้องทูลเกล้าฯ ขอพระราชโองการ อันเป็นข้อชีชัดทางกฏหมายถึงความแตกต่าง ระหว่างความชอบธรรมของ รธน. ไม่ใช่ด้วยการสนองพระราชโองการ ที่ทรงอนุญาติให้มีผลบังคับใช้ ถูกใหม ครับ
ฉนั้นขั้นตอนที่มาของความชอบธรรม ของ รธน.นั้นๆ จะเริ่มด้วย
๑.) การลงประชามติ ในร่าง รธน. ที่ถือว่าเป็นเจจตนารมณ์ของ คู่สัญญาประชาคมทั้งหลาย
๒.) การมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ อันถือได้ว่า มีผลให้สามารถนำไปบังคับใช้
จาก รธน.๕๐ มีความชอบธรรมสมบูรณ์แบบโดยผ่านการลงประชามติ และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สามารถนำไปบังคับใช้ได้ อันแตกต่างจาก รธน.๕๗ (ฉบับชั่วคราว) ที่ไม่ได้ผ่านการลงประชามติ อันหมายถึงขาดความชอบธรรมในการเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ส่วนพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สามารถนำไปบังคับใช้นั้น ในแง่ของกฎหมายมิได้ครอบคลุ่มโดยปริยายถึงความชอบธรรม นั่นเอง ครับ
ที่มาของ รธน.๕๗ เริ่มมาจากการประกาศใช้ “พรบ.กฎอัยการศึก” การใช้อำนาจการประกาศใช้ โดยให้เหตุผล ตาม พรบ.กฎอัยการศึก ม.๒ “...เพื่อรักษาความเรียบร้อยปราศจากภัย ซึ่งจะมีมาจากภายนอกหรือภายในราชอาณาจักร...” อันการประกาศใช้ยังมิได้ตรวจสอบถึงเหตุผลสมควร โดย ตามบทบัญญัติให้อำนาจถึง “....บรรดาข้อความในพระราชบัญญัติหรือบทกฎหมายใด ๆ ซึ่งขัดกับความของกฎอัยการศึกที่ให้ใช้บังคับต้องระงับและใช้บทบัญญัติของกฎอัยการศึกที่ให้ใช้บังคับนั้นแทน” อันการประกาศใช้ พรบ.กฎอัยการศึก สามารถอย่างมากก็เพียง ระงับการบังคับใช้ แต่มิใช่ให้เลิกใช้ รธน.๕๐ การประกาศให้เลิกใช้ รธน.๕๐ ที่สืบทอดมาจาก การประกาศใช้ พรบ.กฎอัยการศึก จึ่งไม่มีผลให้ ความชอบธรรมและการบังคับใช้ รธน.๕๐ หมดสิ้นลงไป ครับ
การมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สามารถนำ รธน.๕๗ (ฉบับชั่วคราว) ไปบังคับใช้ได้ด้วยข้อจำกัด สองประการ
๑.) ในกรณีที่ไม่มี รธน. ที่มีความชอบธรรม ใช้บังคับอยู่
๒.) ประกาศใช้ชั่วคราวจนกว่าจะมี รธน. ที่มีความชอบธรรมใช้ต่อไป
ในเมื่อ รธน.๕๐ ยังไม่สิ้นสภาพ “ความชอบธรรม” และก็ไม่มีพระบรมราชโองการให้ยกเลิกการบังคับใช้ ก็คือการคงสถานะภาพในการเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศไทย จนบัดนี้ ส่วน รธน.๕๗ (ฉบับชั่วคราว) ไม่ได้มีสถานะภาพความชอบธรรมเฉกเช่น รธน.๕๐ เพราะขาดการยอมรับโดยประชามติ หรือ “ขาดความชอบธรรม” นั่นเอง และด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ เป็นผลให้ยังไม่บังเกิดช่วงขณะของการรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ของ รธน.๕๗ (ฉบับชั่วคราว) ครับ
ผลสุดท้ายก็คงต้องตั้งคำถามทิ้งเอาไว้ว่า "เขากำลังทำอะไร? กับกรณี รธน. กันอยู่" ครับ