นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงด้านการคลัง เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการประเมินความเสี่ยงด้านการคลังในระยะ 5 ปีข้างหน้า โดยคาดว่าในปี 2564 สัดส่วนหนี้สาธารณะของไทยเพิ่มขึ้นแตะระดับ 60% ของจีดีพี ชนเพดานตามกรอบวินัยทางการเงินการคลังที่กำหนดไว้ว่าหนี้สาธารณะของไทยไม่ควรเกิน 60% ของจีดีพี โดยล่าสุดหนี้สาธารณะ อยู่ในระดับ 42-43% ของจีดีพี
ทั้งนี้ หนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นอยู่บนสมมุติฐานจีดีพีโตเฉลี่ยนับจากนี้ที่ระดับ 5% หากจีดีพีโตมากกว่านี้อยู่ที่ 6-7% ระดับหนี้สาธารณะอยู่ในระดับที่ต่ำที่ประเมินไว้ แต่ที่ผ่านมาช่วง 2-3 ปี จีดีพียังไม่เคยโตกว่า 5% ดังนั้นหากจีดีพีโตต่ำกว่า 5% จะเป็นความเสี่ยงหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะถึงกรอบความเร็วกว่ากำหนด
อย่างไรก็ตาม กรอบหนี้สาธารณะที่ระดับ 60% นั้นเป็นกรอบการทำงานที่กระทรวงการคลังตั้งไว้ เพื่อดูแลการใช้จ่ายเงินของประเทศให้เกิดความยั่งยืน โดยก่อนหน้านี้เคยกำหนดเป้าหมายงบประมาณสมดุล คือรายรับรายจ่ายเท่ากัน ไม่ต้องกู้มาใช้ในปีงบ 2560 แต่พอรัฐบาลชุดนี้เข้ามามองว่าไทยจำเป็นต้องใช้เงินในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ดังนั้น ยังจำเป็นกู้เพื่อมาลงทุน จึงต้องทำงบขาดดุลเพิ่มขึ้น ดังนั้น เป้าหมายงบสมดุลต้องชะลอไปก่อน โดยคณะทำงานของกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าไทยควรจะก้าวเข้าสู่งบประมาณสมดุลอีกเมื่อไหร่
"หนี้สาธารณะที่สูงขึ้นจนถึงกรอบที่กำหนดไว้นั้นยังไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล เพราะถ้าเทียบกับประเทศอื่นๆ ไทยยังมีหนี้สาธารณะที่ต่ำ อาทิ ในยุโรปบางประเทศหนี้สาธารณะอยู่ในระดับที่ 100% ต่อจีดีพี" นายรังสรรค์ กล่าว
นายรังสรรค์ กล่าวว่า การประเมินหนี้สาธารณะที่ระดับ 60% ของจีดีพีนั้นเป็นการประเมินบนฐานของการจัดเก็บรายได้ในขณะนี้ ซึ่งไม่มีการปรับขึ้นภาษีใดๆ ถ้าในอนาคตรัฐบาลหารายได้จากภาษีอื่นๆ เพิ่มขึ้น ทำให้กู้น้อยลง มีเงินมาใช้หนี้เดิมมากขึ้น หนี้สาธารณะลดลง โดยภาษีที่สามารถปรับขึ้นเพื่อเพิ่มรายได้ อาทิ ภาษีมูลค่าเพิ่ม(แวต) หากขึ้น 1% จะมีรายได้เพิ่มขึ้น 6-7หมื่นล้านบาท ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่จะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นนับแสนล้านบาท เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม แม้ไทยจะยังไม่ขึ้นภาษี และการจัดเก็บรายได้ปีล่าสุดจะต่ำกว่าเป้าหมาย 1 แสนล้านบาท ยังไม่น่าเป็นกังวล เพราะไทยยังมีเงินคงคลังกว่า 2 แสนล้านบาท สิ่งที่กระทรวงการคลังดำเนินการได้ในกรณีที่ไม่สามารถจัดเก็บภาษีตัวใหม่ได้เพิ่มเติม คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บให้สูงขึ้น
JJNY : "คลัง"รับ หนี้สาธารณะอาจแตะ 60% ของจีดีพีในปี′64
ทั้งนี้ หนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นอยู่บนสมมุติฐานจีดีพีโตเฉลี่ยนับจากนี้ที่ระดับ 5% หากจีดีพีโตมากกว่านี้อยู่ที่ 6-7% ระดับหนี้สาธารณะอยู่ในระดับที่ต่ำที่ประเมินไว้ แต่ที่ผ่านมาช่วง 2-3 ปี จีดีพียังไม่เคยโตกว่า 5% ดังนั้นหากจีดีพีโตต่ำกว่า 5% จะเป็นความเสี่ยงหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะถึงกรอบความเร็วกว่ากำหนด
อย่างไรก็ตาม กรอบหนี้สาธารณะที่ระดับ 60% นั้นเป็นกรอบการทำงานที่กระทรวงการคลังตั้งไว้ เพื่อดูแลการใช้จ่ายเงินของประเทศให้เกิดความยั่งยืน โดยก่อนหน้านี้เคยกำหนดเป้าหมายงบประมาณสมดุล คือรายรับรายจ่ายเท่ากัน ไม่ต้องกู้มาใช้ในปีงบ 2560 แต่พอรัฐบาลชุดนี้เข้ามามองว่าไทยจำเป็นต้องใช้เงินในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ดังนั้น ยังจำเป็นกู้เพื่อมาลงทุน จึงต้องทำงบขาดดุลเพิ่มขึ้น ดังนั้น เป้าหมายงบสมดุลต้องชะลอไปก่อน โดยคณะทำงานของกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าไทยควรจะก้าวเข้าสู่งบประมาณสมดุลอีกเมื่อไหร่
"หนี้สาธารณะที่สูงขึ้นจนถึงกรอบที่กำหนดไว้นั้นยังไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล เพราะถ้าเทียบกับประเทศอื่นๆ ไทยยังมีหนี้สาธารณะที่ต่ำ อาทิ ในยุโรปบางประเทศหนี้สาธารณะอยู่ในระดับที่ 100% ต่อจีดีพี" นายรังสรรค์ กล่าว
นายรังสรรค์ กล่าวว่า การประเมินหนี้สาธารณะที่ระดับ 60% ของจีดีพีนั้นเป็นการประเมินบนฐานของการจัดเก็บรายได้ในขณะนี้ ซึ่งไม่มีการปรับขึ้นภาษีใดๆ ถ้าในอนาคตรัฐบาลหารายได้จากภาษีอื่นๆ เพิ่มขึ้น ทำให้กู้น้อยลง มีเงินมาใช้หนี้เดิมมากขึ้น หนี้สาธารณะลดลง โดยภาษีที่สามารถปรับขึ้นเพื่อเพิ่มรายได้ อาทิ ภาษีมูลค่าเพิ่ม(แวต) หากขึ้น 1% จะมีรายได้เพิ่มขึ้น 6-7หมื่นล้านบาท ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่จะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นนับแสนล้านบาท เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม แม้ไทยจะยังไม่ขึ้นภาษี และการจัดเก็บรายได้ปีล่าสุดจะต่ำกว่าเป้าหมาย 1 แสนล้านบาท ยังไม่น่าเป็นกังวล เพราะไทยยังมีเงินคงคลังกว่า 2 แสนล้านบาท สิ่งที่กระทรวงการคลังดำเนินการได้ในกรณีที่ไม่สามารถจัดเก็บภาษีตัวใหม่ได้เพิ่มเติม คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บให้สูงขึ้น