พระลิขิต กับ พระบัญชา มีความแตกต่างกันอย่างไร

กระทู้สนทนา


พระบัญชา กับพระลิขิต (ภาคขยายความ)

ครั้งก่อน ได้อธิบายความแตกต่างระหว่าง พระบัญชา กับ พระลิขิต ของสมเด็จพระสังฆราชว่า มีความแตกต่างกันอย่างไร อะไรเรียกว่าพระบัญชา อะไรเรียกว่าพระลิขิต

มาตอนนี้ ได้มีการกล่าวอ้างอีกว่า พระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชเป็น “กฎหมาย” ที่มหาเถรสมาคมและคณะสงฆ์ต้องปฏิบัติตาม ดูเหมือนว่า จะเถลเถไถไปอีกแล้ว จึงขอนำเอาข้อเขียนที่เคยโพสต์ไว้ มาอธิบายขยายความให้สมบูรณ์ เพื่อให้เข้าใจตรงกัน ดังนี้

๑. พระบัญชา คือ คำสั่งของสมเด็จพระสังฆราช หรือผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ที่คณะสงฆ์ไทยจะต้องปฏิบัติตาม เช่น พระบัญชาแต่งตั้ง ผู้ช่วยเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส หรือเจ้าอาวาสพระอารามหลวง เจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค รองเจ้าคณะภาค เจ้าคณะใหญ่ ฯลฯ ไปจนถึงกรรมการมหาเถรสมาคม

อีกประเภทหนึ่งเป็นพระบัญชา เมื่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในฐานะเป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคม นำกราบทูลเพื่อทรงพิจารณา เรียกว่า “บันทึกข้อความขอรับพระบัญชา” พระองค์จะมีพระบัญชาอย่างใด สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็รับไปสนองพระบัญชา เช่น การกำหนดทรงตั้งเปรียญธรรม ๓ ประโยค ในหนต่างๆ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็จะนำกราบทูลว่า แต่ละแห่งจะจัดที่ใด โดยกำหนดสถานที่ที่จะจัดในบันทึกกราบทูลเพื่อทรงวินิจฉัย หากพระองค์เห็นชอบ ก็จะมีพระบัญชาในบันทึกข้อความที่นำกราบทูลไว้ ทรงมีพระบัญชาอย่างไร สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็จะดำเนินการตามที่ทรงมีพระบัญชา
การต่างๆ เหล่านี้จัดเป็นกฎหมายที่ต้องปฏิบัติ สำหรับคณะสงฆ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

แต่การที่สมเด็จพระสังฆราชจะทรงมีพระบัญชาใดๆ นั้น จะมีเกณฑ์กำหนดอยู่ด้วย ตามความในมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ว่า “มาตรา ๘ สมเด็จพระสังฆราชทรงดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก ทรงบัญชาการคณะสงฆ์ และทรงตราพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช โดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม”

พูดง่ายๆ ตามประสาชาวบ้านคือ พระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชจะต้องไม่ขัดหรือแย้งกับ “กฎหมายบ้านเมือง พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม” เงื่อนไขนี้เป็นข้อสำคัญในการวินิจฉัย กรณีเรื่องพระบัญชาที่เคยกล่าวถึงกัน หากพระบัญชาฉบับใดขัดหรือแย้งกับข้อใดข้อหนึ่ง ใน ๓ เงื่อนไขนั้น ก็จะเป็นพระบัญชาที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายที่บัญญัติไว้

พระบัญชาจะมีลักษณะเช่นเดียวกับคำสั่งของทางราชการ เช่น คำสั่งแต่งตั้ง โยกย้าย เลื่อนขั้นเงินเดือน ข้าราชการ ที่ไม่ขัดกับกฎหมาย ระเบียบ ฯลฯ ของราชการ หรือบริษัทหรือห้างร้านทั่วไป หากเป็นภาษาเป็นชาวบ้านธรรมดา ก็จะเหมือนพ่อแม่หรือผู้ใหญ่สั่งเด็กๆ ให้ทำเรื่องบางอย่าง หากไม่ทำตามก็อาจถูกด่า ตำหนิ หรือลงโทษตามสมควร

พระบัญชาและคำสั่งมีลักษณะคือ หากไม่ปฏิบัติตาม จะมีโทษตามที่กำหนดไว้

๒. พระลิขิต คือ ข้อเขียนธรรมดาทั่วไป ตามพระประสงค์ จะปรากฏเป็นข้อความธรรมดา จัดเป็นคำสอน ไม่ใช่คำสั่ง จึงไม่เป็นกฎหมาย ตามที่หลายท่านเข้าใจหรือกล่าวอ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นพระลิขิตสั้นๆ ไม่เกิน ๒ หน้ากระดาษ ปรากฏในรูปแบบต่าง ๆ เช่น พระวรธรรมคติ พระโอวาท พระวรธรรโมวาท พระธรรโมวาท สุดแต่จะทรงตั้งหัวข้อ ที่พบจะเป็นพระลิขิตในโอกาสต่างๆ เช่น พรปีใหม่ วันเด็ก วันครู เป็นต้น ไม่มีผลต่อการจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติตาม

ส่วนหัวกระดาษที่ใช้ สำหรับพระบัญชากับพระลิขิต จะมีลักษณะต่างกันโดยสิ้นเชิง...

เมื่อก่อน ที่อ้างตามข่าว่า มหาเถรสมาคมขัด.."พระบัญชา"..ตรวจสอบแล้ว..ความจริงเป็น.."พระลิขิต" เท่านั้น แต่ปัจจุบันมากล่าว อ้างกันอีกว่า มหาเถรสมาคมขัดพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราช จึงไม่เป็นความจริงอย่างแน่นอน ขนาดพระบัญชายังต้องเป็นไปตามเกณฑ์ทั้ง ๓ ข้อ ดังนั้น พระลิขิตที่นำมากล่าวอ้างนั้นก็ขัดกับเกณฑ์ข้อสุดท้ายอยู่แล้วคือ ขัดกับกฎมหาเถรสมาคม

ในฐานะที่เคยสนองงานมหาเถรสมาคมมา ๑๓ ปีกว่า ไม่เคยมีพระบัญชาใดขัดหรือแย้งกับเงื่อนไขทั้ง ๓ ข้อ ข้อใดข้อหนึ่ง คนที่อ้างเพื่อจะให้ดำเนินการตามพระลิขิตนั้น แทนที่จะเป็นการเทิดทูนสมเด็จพระสังฆราช มองในมุมกลับ จะเป็นการอ้างที่ทำให้พระองค์เสื่อมเสียพระเกียรติด้วยซ้ำ

ทำไม จึงกล่าวอย่างนั้น เพราะมีกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๒๑) ว่าด้วยการลงนิคหกรรม ซึ่งเป็นกฎที่เกี่ยวกับระบบศาลของคณะสงฆ์ไทย และประกาศใช้พื่อพิจารณาคดีที่เป็นอาบัติโดยเฉพาะ แบ่งเป็น ๓ ศาล ตามแบบอย่างศาลทางโลก คือ ชั้นต้น ชั้นอุธทรณ์ และชั้นฎีกา มีกระบวนการพิจารณาละเอียดยิบ แต่มีข้อสรุปในข้อ ๒๖ ว่า “การพิจารณาวินิจฉัยลงนิคหกรรมชั้นฏีกา ให้เป็นอำนาจของมหาเถรสมาคม”
กล่าวตามประสาชาวบ้านก็คือ มหาเถรสมาคมเป็นศาลฎีกา และเนื่องจากสมเด็จพระสังฆราชทรงเป็น ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม โดยตำแหน่ง พระองค์จึงเปรียบเหมือนประธานศาลฎีกาของทางโลกนั่นเอง

กรณีที่มีการอ้างพระลิขิตนั้น ผู้อ้างควรจะนึกถึงหลักความจริงว่า สมเด็จพระสังฆราช ทุกพระองค์ ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ จะทรงผ่านตำแหน่ง สมเด็จพระราชาคณะ ซึ่งจะเป็น กรรมการมหาเถรสมาคม โดยตำแหน่ง มาก่อน พูดตามจริงก็คือ พระองค์ทรงเป็น กรรมการมหาเถรสมาคม มาตั้งแต่ปี ๒๕๐๖ จึงทรงร่วมและพิจารณากฎนิคหกรรมที่ประกาศใช้ในปี ๒๕๒๑ ด้วย

ขอเปรียบอย่างคร่าวๆ ให้พิจารณาว่า เมื่อเกิดเหตุนาย ก. ขับรถชนกับรถ นาย ข. บนถนนที่วิ่งสวนกัน ขณะที่มีการตรวจสอบหลักฐานและสอบสวนอยู่ว่าใครผิดใครถูกและส่งฟ้องศาลชั้นต้นพิจาณา จะเป็นไปได้หรือไม่ ที่ประธานศาลฎีกาจะมีคำตัดสินว่า นาย ก. หรือ นาย ข. ถูก ขณะที่ศาลชั้นต้นยังไม่พิจารณา ..ฝากให้คิดกันครับ..

ผู้เสียหายคือ พระพุทธศาสนา.. มหาเถรสมาคม.. ซึ่งเป็นพระมหาเถระรุ่นพ่อ.. และคณะสงฆ์ทั้งหมด.. ช่วยกันหน่อยครับ.. พระพุทธศาสนาเสียหายมามากแล้ว ด้วยคนเพียงไม่กี่คน.. และเป็นคนที่ไม่มีคุณค่าใดๆ ในกิจการพระพุทธศาสนา

มันจะเกินไปละมั๊ง..?

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1466747963625022&id=100008694968507&substory_index=0

ของท่านพิศาล แช่มโสภา
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่