ลองมองในมุมมองของนักเรียนโรงเรียนวิทยาศาสตร์.. เมื่อเรากำลังแก้ปัญหาผิดที่โดยไม่รู้ตัว

ลองมองในมุมมองของนักเรียนโรงเรียนวิทยาศาสตร์.. เมื่อเรากำลังแก้ปัญหาผิดที่โดยไม่รู้ตัว

        จากข่าวที่ว่าทางกลุ่ม ปตท ได้สนับสนุนการสร้างโรงเรียนกำเนิดวิทย์ เพื่อสร้างนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัย ผมเชื่อว่าหลายๆ คนไม่ทราบว่าประเทศไทยมีโรงเรียนวิทยาศาสตร์เพื่อสร้างนักวิจัยอยู่แล้ว แต่ปัญหาของวงการวิทยาศาสตร์ไทยไม่ได้อยู่ที่การขาดแคลนบุคลากรเก่งๆครับ ปัญหาของประเทศไทยจริงๆ นั้นอยู่ที่รัฐบาลไม่สนับสนุนการวิจัยและค่านิยมของคนในสังคมที่ไม่เห็นความสำคัญของงานวิจัยครับ

         ผมเองเป็นนักเรียนในโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ครับ คนส่วนใหญ่มักจะมองว่านักเรียนโรงเรียนนี้จบไปส่วนใหญ่เป็นแพทย์ แต่จริงๆ แล้วก็มีนักเรียนจำนวนไม่น้อยจาก 240 คนนั้นที่อยากทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่เรียนแพทย์เพราะเป็นอาชีพสายวิทยาศาสตร์สายเดียวที่เป็นที่ต้องการและไม่ตกงาน รวมถึงค่านิยมของสังคมไทยที่ชอบมองว่าคนเก่งต้องเป็นแพทย์

        โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์มีเป้าหมายเพื่อพัฒนานักวิทยาศาสตร์เพื่อเป็นบุคลากรในการพัฒนาประเทศ นักเรียนจำนวน 24 คนต่อห้องจำนวน 10 ห้อง นักเรียนทั้งหมดพักในหอพักของโรงเรียนและโรงเรียนมีทุนการศึกษาเต็มจำนวนให้กับนักเรียนทุกคน มีหลักสูตรเฉพาะที่เน้นทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงวิชาการทำโครงงานวิทยาศาสตร์และการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีหลักสูตรแลกเปลี่ยนทางด้านวิทยาศาสตร์กับนักเรียนในโรงเรียนวิทยาศาสตร์ทั่วโลกและการเข้าร่วมงานสัมนาทางด้านวิทยาศาสตร์ต่างๆ นักเรียนทุกคนต้องเข้าฟังบรรยายจากนักวิทยาศาสตร์ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ และศึกษาดูงานในหน่วยงานทางด้านการวิจัย ตามจำนวนที่โรงเรียนกำหนด (สามารถดูวีดิโอแนะนำโรงเรียนได้ที่นี่: https://www.youtube.com/watch?v=BbIrElBhD-w )

        จากประสบการณ์ของพวกเราเอง จากการได้ไปแลกเปลี่ยนยังโรงเรียนวิทยาศาสตร์ที่ประเทศต่างๆ เช่นญี่ปุ่น เกาหลี จีน อังกฤษ ออสเตรเลีย สิงคโปร์ และการแข่งขันโครงงานวิทยาศาสตร์ต่างๆ ในต่างประเทศ และจากการที่นักเรียนแลกเปลี่ยนเหล่านี้มายังโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ปัญหาของประเทศไทยนั้นไม่ได้อยู่ที่คุณภาพนักเรียนครับ โครงงานของนักเรียนนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่านักเรียนประเทศอื่นๆ เลย ระดับความยากและคุณภาพของโครงงานไม่ต่างไปจากโครงงานของนักเรียนในโรงเรียนวิทยาศาสตร์ชั้นนำอย่าง KSA , Ritsumeikan, RJC, John Monash และโรงเรียนอื่นๆ เลย หลักสูตรมีความยากไม่ต่างจากโรงเรียนเหล่านี้ รวมถึงการเรียนการสอนและการทำการทดลองในห้องเรียนก็มีคุณภาพไม่ต่างกัน นักเรียนไทยมีความรู้ความสามารถไม่แพ้นักเรียนในโรงเรียนวิทยาศาสตร์อื่นๆ แต่จากที่ผมได้ไปแลกเปลี่ยนมา ความแตกต่างที่สำคัญมากๆ ระหว่างนักเรียนไทยกับนักเรียนโรงเรียนในต่างประเทศเหล่านี้คือคำถามที่ว่า “อยากทำงานอะไร” ถ้าเป็นนักเรียนต่างชาติ แม้กระทั่งในแถบเอเชียเองอย่างสิงคโปร์หรือญี่ปุ่น คำตอบส่วนใหญ่มักจะเป็น นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย วิศวกร และแพทย์ครับ 

        ผมเองเคยไปศึกษาดูงานที่ประเทศญี่ปุ่นที่มหาวิทยาลัย Ishikawa ครับ สิ่งที่แตกต่างระหว่างเรากับนักเรียนญี่ปุ่นอย่างเห็นได้ชัดคือการต่อยอดงานวิจัยครับ อย่างเช่นงานวิจัยของประเทศญี่ปุ่นเกี่ยวกับถ้วยบะหมี่ของบริษัทฮาจิบัง(บะหมี่หมายเลข8นั่นแหละครับ) ก็ให้นักวิจัยของบริษัททำเพื่อที่จะหาวัสดุที่ดีที่สุด ทำให้ลูกค้าไม่ร้อนมือ และทนทานที่สุด หลายๆอย่าง หลายๆ งานของนักวิจัยญี่ปุ่นนั้นคือทำจริงจัง มีบริษัทเอกชนรับไปทำงานวิจัยต่อยอดครับ อย่างที่มหาลัยมีชมรมรถพลังงานแสงอาทิตย์ที่สามารถวิ่งได้จริงและได้รับการสนับสนุนจากบริษัทรถอย่าง Honda การวิจัยเหล่านี้ก็ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเอกชนต่างๆ มหาวิทยาลัยก็มีเครื่องมีที่พร้อมมากๆ ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล รัฐบาลมองถึงอนาคตของประเทศว่าต้องสร้างงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง ผมเองก็เคยได้คุยกับนักเรียนที่มาแลกเปลี่ยนจาก KSA (โรงเรียนวิทยาศาสตร์ของเกาหลีของมหาลัย KAIST) นักเรียนส่วนใหญ่คือได้รับการสนับสนุน อย่างจบไปแล้วก็มีบริษัทซัมซุงที่รับเข้าทำงานในด้านการวิจัยต่างๆ

        เมื่อมองกลับมายังประเทศไทย ประเทศไทยเราเครื่องมือในการวิจัยนั้นก็ถือได้ว่าคุณภาพอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดี แต่ส่วนใหญ่มักจะมีเพียงแค่มหาลัยใหญ่ๆ หน่วยงานใหญ่ๆ บางที่เท่านั้น และงานวิจัยต่างๆ ขาดการต่อยอด (หรือที่เรียกว่า งานวิจัยขึ้นหิ้งนั่นแหละครับ) จากที่ผมเคยไปศึกษาดูงานในคณะวิทยาศาสตร์ในมหาลัยต่างๆ ส่วนใหญ่มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่างบประมาณขอค่อนข้างยากมาก ขาดบริษัทเอกชนเอาไปทำงานต่อยอด อย่างเช่นประเทศไทยมีงานวิจัยเรื่องข้าวค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องนับเมล็ดข้าว เครื่องตรวจสอบคุณภาพ ข้าวพันธุ์ทนเค็มต่างๆ แต่สุดท้าย เกือบทั้งหมดก็หยุดอยู่ที่ขั้นตอนต้นแบบ(prototype) ส่วนใหญ่ไม่มีบริษัทรับไปทำต่อยอด หรือทำต่อยอดแล้วไม่ดี ไม่ทำกำไรบ้าง ทั้งๆที่ประเทศไทยควรจะมีงานวิจัยในด้านการเกษตรหรือข้าวให้มากๆ เพราะเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศ (และประเทศไทยยังคงเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้ผลผลิตต่อไร่ต่ำที่สุดจากการที่ชาวนาขาดความรู้และขาดหน่วยงานรัฐเข้าไปดูแล มากกว่าเพียงแค่พม่า กัมพูชา เท่านั้น อ้างอิงจากกรมการข้าว ปี 2556-2557)งานวิจัยต่างๆ ของนักวิจัยไทยในด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ก็เช่นกัน ไม่มีบริษัทเอกชนรับไปทำต่อเหมือนที่ประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น ส่วนใหญ่มักจะหยุดอยู่ที่ขั้นตอนการวิจัยการพัฒนา ซึ่งผมเองมองว่า นอกจากภาครัฐแล้ว เอกชนก็เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนวงการวิทยาศาสตร์ของไทยเช่นกัน จากที่งานวิจัยเองขาดการสนับสนุน และนักวิจัยส่วนใหญ่มีโอกาสตกงานได้ค่อนข้างมาก และเป็นอาชีพที่สังคมต้องการค่อนข้างน้อย ก็เลยเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญๆ ที่ทำให้นักเรียนไปเลือกเรียนแพทย์ที่ได้รับการสนับสนุนและเป็นที่ต้องการมากกว่า และนักเรียนส่วนใหญ่ที่ต้องการเป็นนักวิจัยมักจะเลือกที่จะไปศึกษาต่อต่างประเทศในด้านการวิจัยมากกว่าศึกษาในคณะวิทยาศาสตร์ของไทยเองครับ

        นักเรียนโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์เองมีจำนวนไม่น้อยที่ได้รับทุนไปศึกษาต่อต่างประเทศในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและเลือกที่จะทำงานเป็นนักวิจัย มีอาจารย์สนับสนุนในการสอบทุนและการสอบสัมภาษณ์ มีการพูดสร้างแรงบันดาลในในการเป็นนักวิทยาศาสตร์จากนักวิทยาศาสตร์ต่างๆ และรุ่นพี่ที่จบไปเป็นนักวิจัยจากต่างประเทศ เพียงแต่ว่า อีกปัญหาหลักของสังคมไทยก็คือทุนต่างๆ มีข้อผูกมัด จากที่ผมเคยได้กล่าวถึงไปแล้วว่าประเทศส่วนใหญ่อย่างญี่ปุ่น เกาหลี ระบบเอกชนมีบทบาทที่สำคัญมากในการพัฒนานวัตกรรม เพราะเอกชนคือผู้ที่จะนำนวัตกรรมเหล่านั้นไปต่อยอด และผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ออกสู่ท้องตลาดในตลาดโลก แต่ประเทศไทยกลับเลือกที่จะผูกมัดทุนเหล่านี้ไว้กับมหาลัยรัฐบาล โดยกำหนดว่าต้องกลับมาทำงานในหน่วยงานรัฐเท่านั้น (ซึ่งหน่วยงานรัฐเหล่านี้เองก็ไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าที่ควร)  ถึงแม้ว่าจะอนุญาตให้ทำงานเอกชนได้เป็นบางเวลา แต่ก็ยังต้องผูกมัดกับรัฐบาลอยู่ดีครับ ซึ่งก็ก่อปัญหาให้นักเรียนหลายๆ คนที่ได้ทุนโอลิมปิกวิชาการ(ทุนที่ให้สำหรับนักเรียนที่เป็นตัวแทนประเทศในการแข่งขันโอลิมปิกวิชาการไปศึกษาต่อต่างประเทศ ที่ใดก็ได้ในสาขาที่ตัวเองเป็นผู้แทนประเทศ) ก็ปฏิเสธทุนแล้วมาเรียนแพทย์เพราะไม่อยากทำงานใช้ทุนในหน่วยงานรัฐ ประเทศไทยมีสัดส่วนนักวิจัยต่อประชากรที่ต่ำมากๆ(11:10000 อ้างอิงจากสวทชในปี 2557) ซึ่งหลายๆ คนก็มองข้ามไปว่า ไม่ว่านักวิจัยจะอยู่ในหน่วยงานรัฐหรือเอกชน ต่างก็สามารถพัฒนาประเทศไทยให้เดินไปข้างหน้าเหมือนกัน

        นอกจากเหตุผลของการขาดการสนับสนุนการวิจัยแล้ว สาเหตุอีกสาเหตุหนึ่งที่นักเรียนจบไปเป็นแพทย์ก็คือค่านิยมของสังคมไทยครับ ร้อยละร้อยของผู้ใหญ่ในสังคมมักจะถามประมาณว่า “อ่าวหนู เรียนเก่งหนาดนี้ทำไมไม่เป็นหมอล่ะ” เมื่อพวกเราบางคนตอบไปว่า “อยากไปเรียน Biology Research ค่ะ” หรือ “อยากไปเรียนวิศวะกรรมการบินครับ” ก็มักจะได้คำตอบกลับมาว่า “เดี๋ยวตกงานหรอก เลือกหมอสิมั่นคง ลูกป้าได้เกรด 4 ตอนนี้เรียนหมออยู่นะ” แน่นอนครับ นักเรียนมีจำนวนไม่น้อยอยากเรียนทางสายด้านการวิจัย แต่ว่า ทั้งผู้ปกครองและญาติ ก็ต่างพูดว่า “เป็นหมอสิ มันมั่นคง” โดยอาจจะลืมไปว่า หัวใจของอาชีพแพทย์นั้นคือการช่วยเหลือคน ไม่ใช่การมองรายได้และเรื่องเงินเป็นหลัก เคยมีแม้กระทั่งรุ่นพี่ที่ได้ทุนไปเรียนต่อทางด้านการวิจัยในต่างประเทศแต่ทางบ้านไม่ให้ บอกว่าจะบังคับให้เรียนหมอ นักเรียนบางส่วนที่ชอบทางด้านการวิจัย โครงงานของนักเรียนคนนั้นเคยได้รางวัลมาไม่น้อยในเวทีนานาชาติต่างๆ แต่กลับต้องมาต่อสู้กับครอบครัวที่อยากให้เรียนหมอ จริงๆ แล้วผมมองว่าปัญหาเหล่านี้มันไม่ได้อยุ่ที่การปลูกฝังอุดมการณ์ของโรงเรียน ทุกคนต้องการที่จะพัฒนาประเทศ มีความสามารถในการทำงานวิจัย แต่ว่าปัญหาจริงๆ อยู่ที่การสนับสนุนหลังเรียนจบและค่านิยมของสังคมไทยเกี่ยวกับการเป็นแพทย์และการวิจัยมากกว่าครับ 

        ประเทศไทยตอนนี้กำลังเผชิญปัญหาในการใช้บุคลากรครับ ไม่ใช่ปัญหาในการสร้างบุคลากร คล้ายๆ กับสมมติว่า เราต้องการที่จะให้คนทั้งหมดเปลี่ยนไปใช้รถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า แต่คนไม่ใช้กันเพราะว่าไม่มีสถานีให้ชาร์จพลังงานไฟฟ้า สิ่งที่เราทำคือพยายามพูดว่าให้ใช้รถพลังงานไฟฟ้าสิในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่พูดว่ารถพลังงานไฟฟ้ามันไม่ดีหรอก น้ำมันมันดีกว่า แรงกว่าเป็นไหนๆ โดยลืมมองถึงอนาคตที่ว่าน้ำมันกำลังจะหมด และสิ่งที่เราทำคือการเร่งสร้างรถพลังงานไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่สร้างสถานีชาร์จไฟเลยเพราะมองว่าไม่จำเป็น งานการวิจัยของเราก็คล้ายๆ แบบนี้แหละครับ สุดท้ายแล้ว รถเหล่านี้ก็ขายไม่ออกแล้วเราก็ไม่ประสบความสำเร็จ แล้วเราก็ต้องส่งไปขายต่างประเทศที่มีสถานีชาร์จที่ดีกว่า สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครอยากเป็นนักวิจัยกันเพราะตกงาน และนักวิจัยที่เก่งๆ ที่จบมาจากต่างประเทศก็เลือกที่จะไปทำงานในต่างประเทศที่มีงานรองรับมากกว่าในประเทศไทย

        โรงเรียนกำเนิดวิทย์ก็ใช้หลักสูตรส่วนใหญ่คล้ายกับโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ มีแนวคิดส่วนใหญ่ในการสร้างอุดมการณ์การเป็นนักวิจัยของนักเรียนไม่ต่างกัน ดังนั้นแนวโน้มของโรงเรียนนี้ที่จะประสบปัญหากับนักเรียนเรียนแพทย์ไม่ต่างกันครับ หมายความว่าโรงเรียนนี้ก็สามารถสร้างนักเรียนที่มีคุณภาพได้เช่นกัน แต่นักเรียนไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน พวกเราก็อาจจะไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรให้กับสังคมได้มากนัก ตราบใดที่การเป็นหมอยังตราตรึงในค่านิยมไทยแบบผิดๆและงานวิจัยยังถูกมองอย่างสั้นๆไม่คิดถึงอนาคตว่าเป็นการผลาญงบประมาณครับ  
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่