เรื่องนี้แต่งเอาไว้เมื่อนานมาแล้วค่ะ เอากลับมาเล่าใหม่ :]
ติชมกันได้ค่ะ ขอบคุณค้า
www.facebook.com/the.samanthachiew
By Iamlukkling ( iamlukkling@gmail.com )

บนโลกใบนี้ มีหนังสือหลายร้อยเล่มได้บันทึกเรื่องราวของเหล่าบรรดาวีรบุรุษผู้ชนะสงคราม ทุกเล่มนั้นล้วนหนาหนัก และใช้ถ้อยคำที่อ่านยาก น่ารำคาญ จึงไม่น่าแปลก ที่มีเด็กน้อยคนนักจะมาเปิดหนังสือเหล่านั้นอ่าน แล้วก็ยิ่งยากขึ้นไปอีกที่เด็กกลุ่มนั้นจะสามารถทำความเข้าใจถึงความนัยของอำนาจอันยิ่งใหญ่ ความบ้าคลั่งของอารมณ์ หรือการเสียสละเพื่อความสำเร็จ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญกระไรเลย ที่เด็กจะต้องมารับรู้
แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ในเช้าวันหนึ่ง ซึ่งเป็นวันแสนธรรมดาอีกหนึ่งวันนั้น ได้มีเด็กชายตัวเล็กคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องสมุดที่ยังไม่มีคน บรรณารักษ์ก็เหนื่อยล้าเสียจนเผลองีบหลับไปบนเก้าอี้ส่วนตัว เธอหลับสนิทเสียจนไม่ทันสังเกตเห็นร่างเขาเดินตรงไปยังกองหนังสือเล่มหนาๆน่าเบื่อ -- -- กองเดียวกับที่เราได้พูดถึงก่อนหน้านี้นั่
นเอง
เด็กชายค่อยๆดึงหนังสือที่อยู่ใต้กองสุดออกมาอย่างแผ่วเบา ปัดฝุ่นมันออกเล็กน้อย ก่อนจะตั้งมันบนโต๊ะ แล้วตั้งใจอ่านตั้งแต่แผ่นแรกของเล่ม
เล่มแรกจบไป เด็กชายก็หยิบเล่มที่สองมาอ่าน -- --
เล่มที่สองจบไป ก็หยิบเล่มที่สามมาอ่าน -- --
จากนั้นก็หยิบอีกเล่มถัดไป ..... ถัดไป .... กระทั่งหนังสือบนโต๊ะหมดลง ....ไม่มีเหลือให้เด็กชายเปิดอ่านต่อสักเล่ม
เด็กชายลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ สลัดความเมื่อยทิ้งไปจากท่อนแขนและขา ก่อนจะเดินออกจากห้องสมุด ตรงไปยังห้องเรียน
วันนั้นเด็กชายจำได้ว่า คุณครูถามว่า อะไรคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนักรบผู้มีเคราเงินได้กระทำเอาไว้ ทุกคนในห้องร้องตอบว่า “หนูรู้ค่ะ ผมรู้ครับ นักรบผู้นั้นสร้างอาณาจักรให้กว้างใหญ่ขึ้นกว่าเดิม!”
แต่มีเด็กชายเพียงคนเดียวที่ตอบเพิ่มเข้าไปอีกว่า “โดยการบุกรุกแย่งชิงเมืองรอบข้างครับ”
“อะไรกันนี่!” ครูอุทานเสียงสูง “นี่เธอจะกล่าวโทษนักรบผู้ทรงเกียรติว่าเขาไปรุกรานเมืองเพื่อนบ้านกระนั้นรึ !”
“เปล่าครับ” เด็กน้อยตอบอย่างสุภาพ “ผมเพียงแต่อ่านเจอมาว่า เขาต้องการให้ตนมีชื่อเสียงที่เป็นอมตะ จึงตัดสินใจที่จะเพิ่มอาณาเขตของเมืองตน นั่นก็คือต้องไปยึดบ้านเมืองข้างเคียงเสียให้หมด ไม่ว่าจะทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออกและ -- --”
“หยุด หยุด !! หยุดเอาไว้แค่นั้นเสียเถิดเด็กน้อยผู้โง่เขลา ตอนนี้เธออาจมิเข้าใจถ่องแท้ถึงความทะเยอะทะยาน แต่วันหนึ่งเธอจะเข้าใจมันเอง" ครูกล่าวเช่นนั้น จากนั้นก็ทำโทษให้เขาไปวิ่งรอบสนามหญ้าสิบรอบ
เช้าวันต่อมาของห้องเรียน ครูมีคำถามใหม่มาให้แก่นักเรียนของเธอ
“เด็กเอ๋ยเด็กดี ตอบครูซี ว่านักรบผู้มีเคราสีเทานั้นกระทำการสิ่งใดเอาไว้”
เด็กนักเรียนต่างพากันตอบว่า “รู้ค่ะ รู้ครับ นักรบผู้นั้นเปลี่ยนให้ทุกคนหันมานับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เดียวกัน !”
-- --แล้วก็มีเสียงของเด็กชายแทรกขึ้นต่อว่า “โดยการทำลายร้างสถาบันความเชื่ออื่นจนสิ้นครับ”
คราวนี้ครูเริ่มทำหน้าดุ “อย่าทะลึ่งเชียวนะเจ้าหนู รู้ไหมว่ากำลังพูดเรื่องเหลวไหลอะไรออกมา”
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้เจตนาจะแสดงกิริยาไม่เหมาะสมกระไรเลยครับ” เด็กชายตอบอย่างซื่อๆ “แค่เพียงผมอ่านเจอมาว่า เขาไม่ต้องการให้ใครอื่นเชื่อแตกต่าง และแปลกแยกออกไปจากสิ่งที่เขาเชื่อ ถ้าเขาเลือกที่จะเชื่อว่าพระมารดาอยู่ในสายฝน ทุกคนก็ต้องเชื่อในสายฝน ไม่ใช่แม่น้ำ ไม่ใช่ทะเลสาบ ถ้าเขาเลือกที่จะเกรงกลัวเคารพสายฟ้าฟาด ทุกคนก็ต้องบูชาสายฟ้า ไม่ใช่พายุ หรือสายลม เขาจึงทำลายสถาบันอื่นทิ้งเสีย เผาคัมภีร์ทุกเล่มในกองเพลิง และสั่งตัดลิ้นผู้เผยแพร่ -- --“
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ !” ครูส่งเสียงปรามเด็ดขาด “ไปอ่านอะไรไร้สาระมาแบบนี้ หืม ฉันไม่เคยจำได้เลยนะ ว่าสอนให้เธอกลายเป็นเด็กแบบนี้ไปได้ นั่งลงเสีย แล้วก็อย่าก่อเรื่องอีก เข้าใจไหม” แล้วครูก็ทำโทษเขา ให้นั่งคัดคำสอนในคัมภีร์นักรบสีเทา จำนวนร้อยจบตลอดทั้งคืน
เด็กชายไม่เข้าใจเลยว่าครูกำลังให้เขาพยายามทำความเข้าใจในสิ่งใดอยู่ เขาไม่รู้แม้กระทั่งความผิดที่เขาก่อขึ้นมาให้ครูไม่พอใจด้วยซ้ำไป มีอะไรในความรู้ของเขาที่ผิดหรือ อะไรในถ้อยคำถ้อยวาจาของเขาที่ฟังดูไม่เหมาะสม พูดในสิ่งที่รู้มันผิดหรือไร
ดังนั้นแล้ว ในเช้าวันต่อมา เด็กชายก็ยังคงตอบเพิ่มเติมขึ้นมาจากเพื่อนร่วมห้องเช่นเดิม
ในขณะที่ทุกคนตอบคำถามที่ว่า “ตอบครูซี นักรบผู้มีเคราสีแดง กระทำการสิ่งใดเอาไว้เสียยิ่งใหญ่เป็นตำนาน” เป็นเสียงเดียวกันว่า “รู้ค่ะ รู้ครับ เขาฆ่าคนที่คิดก่อกบฎทรยศค่ะ”
“โดยการสั่งประหารบาทหลวงที่ลอบทำพิธีสมรสของคู่รัก”
คราวนี้ครูโกรธจัดจนหน้าแดง เธอชี้นิ้วสั่งให้เด็กชายขอโทษต่อนักรบสีแดง แต่เด็กชายไม่ยอม
“ขอโทษจริงๆครับ” เขากล่าว “แต่ผมแค่เพียงไปอ่านเจอมาว่า เขาเป็นชายผู้ไม่เคยมีรักแท้ให้แก่ใคร และไม่เคยมีสตรีรอบกายคนใดมอบความจริงใจให้แก่เขา เขาจึงโกรธแค้นที่เห็นหนุ่มสาวคู่ใดก็ตาม มีความรักให้แก่กันและกัน แล้วพากันจูงมือเข้าวิวาห์ เขายังเคียดแค้นบาทหลวงทุกคนที่เห็นดีเห็นงามไปกับการสมรส จึงประนามว่าพวกเขาคือกบฎแผ่นดิน ทรราชของบ้านเมือง เขาจึงประหาร-- -- ”
“ยื่นมือของเธอออกมา แล้วก็จีบปลายนิ้วเข้าหากัน แหงนมันขึ้นฟ้า เดี๋ยวนี้ !” ครูสั่งเสียงแหลมสูง ใบหน้าแดง โกรธจนลมออกหู เธอคว้าแปรงลบกระดานที่อยู่ข้างกายมาในทันที แล้วก็หวดส่วนที่เป็นไม้แข็งๆเข้าตรงไปยังปลายนิ้วที่จีบเข้าด้วยกันของเด็กชาย -- -- เสียงที่แทรกผ่านอากาศ เสียงกระแทกกับปลายนิ้ว ทำให้ทั้งห้องพากันนั่งเงียบกริบด้วยความกลัว
เด็กชายน้ำตาไหลกับความเจ็บปวดที่ได้รับ ปลายนิ้วเขาร้วดร้าว แดงอักเสบ และเริ่มปวดระบม เขามองใบหน้าของครูผ่านหยาดน้ำตา รอคอยคำอธิบายถึงความผิดที่เขาได้ก่อขึ้น -- --
แต่เปล่าเลย ..... ครูไม่อธิบายอะไร ครูแค่วางแปลงแข็งๆนั้นลงบนโต๊ะ แล้วก็เดินออกจากห้องไป ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น -- -- ราวกับไม่เคยทำโทษเขาอย่างเจ็บปวดไร้เหตุผลมาก่อน .....
From a Tower Stone and Feather เรื่องเล่าจากหอคอย ก้อนหิน ขนนก
ติชมกันได้ค่ะ ขอบคุณค้า
www.facebook.com/the.samanthachiew
By Iamlukkling ( iamlukkling@gmail.com )
บนโลกใบนี้ มีหนังสือหลายร้อยเล่มได้บันทึกเรื่องราวของเหล่าบรรดาวีรบุรุษผู้ชนะสงคราม ทุกเล่มนั้นล้วนหนาหนัก และใช้ถ้อยคำที่อ่านยาก น่ารำคาญ จึงไม่น่าแปลก ที่มีเด็กน้อยคนนักจะมาเปิดหนังสือเหล่านั้นอ่าน แล้วก็ยิ่งยากขึ้นไปอีกที่เด็กกลุ่มนั้นจะสามารถทำความเข้าใจถึงความนัยของอำนาจอันยิ่งใหญ่ ความบ้าคลั่งของอารมณ์ หรือการเสียสละเพื่อความสำเร็จ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญกระไรเลย ที่เด็กจะต้องมารับรู้
แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ในเช้าวันหนึ่ง ซึ่งเป็นวันแสนธรรมดาอีกหนึ่งวันนั้น ได้มีเด็กชายตัวเล็กคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องสมุดที่ยังไม่มีคน บรรณารักษ์ก็เหนื่อยล้าเสียจนเผลองีบหลับไปบนเก้าอี้ส่วนตัว เธอหลับสนิทเสียจนไม่ทันสังเกตเห็นร่างเขาเดินตรงไปยังกองหนังสือเล่มหนาๆน่าเบื่อ -- -- กองเดียวกับที่เราได้พูดถึงก่อนหน้านี้นั่
นเอง
เด็กชายค่อยๆดึงหนังสือที่อยู่ใต้กองสุดออกมาอย่างแผ่วเบา ปัดฝุ่นมันออกเล็กน้อย ก่อนจะตั้งมันบนโต๊ะ แล้วตั้งใจอ่านตั้งแต่แผ่นแรกของเล่ม
เล่มแรกจบไป เด็กชายก็หยิบเล่มที่สองมาอ่าน -- --
เล่มที่สองจบไป ก็หยิบเล่มที่สามมาอ่าน -- --
จากนั้นก็หยิบอีกเล่มถัดไป ..... ถัดไป .... กระทั่งหนังสือบนโต๊ะหมดลง ....ไม่มีเหลือให้เด็กชายเปิดอ่านต่อสักเล่ม
เด็กชายลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ สลัดความเมื่อยทิ้งไปจากท่อนแขนและขา ก่อนจะเดินออกจากห้องสมุด ตรงไปยังห้องเรียน
วันนั้นเด็กชายจำได้ว่า คุณครูถามว่า อะไรคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนักรบผู้มีเคราเงินได้กระทำเอาไว้ ทุกคนในห้องร้องตอบว่า “หนูรู้ค่ะ ผมรู้ครับ นักรบผู้นั้นสร้างอาณาจักรให้กว้างใหญ่ขึ้นกว่าเดิม!”
แต่มีเด็กชายเพียงคนเดียวที่ตอบเพิ่มเข้าไปอีกว่า “โดยการบุกรุกแย่งชิงเมืองรอบข้างครับ”
“อะไรกันนี่!” ครูอุทานเสียงสูง “นี่เธอจะกล่าวโทษนักรบผู้ทรงเกียรติว่าเขาไปรุกรานเมืองเพื่อนบ้านกระนั้นรึ !”
“เปล่าครับ” เด็กน้อยตอบอย่างสุภาพ “ผมเพียงแต่อ่านเจอมาว่า เขาต้องการให้ตนมีชื่อเสียงที่เป็นอมตะ จึงตัดสินใจที่จะเพิ่มอาณาเขตของเมืองตน นั่นก็คือต้องไปยึดบ้านเมืองข้างเคียงเสียให้หมด ไม่ว่าจะทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออกและ -- --”
“หยุด หยุด !! หยุดเอาไว้แค่นั้นเสียเถิดเด็กน้อยผู้โง่เขลา ตอนนี้เธออาจมิเข้าใจถ่องแท้ถึงความทะเยอะทะยาน แต่วันหนึ่งเธอจะเข้าใจมันเอง" ครูกล่าวเช่นนั้น จากนั้นก็ทำโทษให้เขาไปวิ่งรอบสนามหญ้าสิบรอบ
เช้าวันต่อมาของห้องเรียน ครูมีคำถามใหม่มาให้แก่นักเรียนของเธอ
“เด็กเอ๋ยเด็กดี ตอบครูซี ว่านักรบผู้มีเคราสีเทานั้นกระทำการสิ่งใดเอาไว้”
เด็กนักเรียนต่างพากันตอบว่า “รู้ค่ะ รู้ครับ นักรบผู้นั้นเปลี่ยนให้ทุกคนหันมานับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เดียวกัน !”
-- --แล้วก็มีเสียงของเด็กชายแทรกขึ้นต่อว่า “โดยการทำลายร้างสถาบันความเชื่ออื่นจนสิ้นครับ”
คราวนี้ครูเริ่มทำหน้าดุ “อย่าทะลึ่งเชียวนะเจ้าหนู รู้ไหมว่ากำลังพูดเรื่องเหลวไหลอะไรออกมา”
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้เจตนาจะแสดงกิริยาไม่เหมาะสมกระไรเลยครับ” เด็กชายตอบอย่างซื่อๆ “แค่เพียงผมอ่านเจอมาว่า เขาไม่ต้องการให้ใครอื่นเชื่อแตกต่าง และแปลกแยกออกไปจากสิ่งที่เขาเชื่อ ถ้าเขาเลือกที่จะเชื่อว่าพระมารดาอยู่ในสายฝน ทุกคนก็ต้องเชื่อในสายฝน ไม่ใช่แม่น้ำ ไม่ใช่ทะเลสาบ ถ้าเขาเลือกที่จะเกรงกลัวเคารพสายฟ้าฟาด ทุกคนก็ต้องบูชาสายฟ้า ไม่ใช่พายุ หรือสายลม เขาจึงทำลายสถาบันอื่นทิ้งเสีย เผาคัมภีร์ทุกเล่มในกองเพลิง และสั่งตัดลิ้นผู้เผยแพร่ -- --“
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ !” ครูส่งเสียงปรามเด็ดขาด “ไปอ่านอะไรไร้สาระมาแบบนี้ หืม ฉันไม่เคยจำได้เลยนะ ว่าสอนให้เธอกลายเป็นเด็กแบบนี้ไปได้ นั่งลงเสีย แล้วก็อย่าก่อเรื่องอีก เข้าใจไหม” แล้วครูก็ทำโทษเขา ให้นั่งคัดคำสอนในคัมภีร์นักรบสีเทา จำนวนร้อยจบตลอดทั้งคืน
เด็กชายไม่เข้าใจเลยว่าครูกำลังให้เขาพยายามทำความเข้าใจในสิ่งใดอยู่ เขาไม่รู้แม้กระทั่งความผิดที่เขาก่อขึ้นมาให้ครูไม่พอใจด้วยซ้ำไป มีอะไรในความรู้ของเขาที่ผิดหรือ อะไรในถ้อยคำถ้อยวาจาของเขาที่ฟังดูไม่เหมาะสม พูดในสิ่งที่รู้มันผิดหรือไร
ดังนั้นแล้ว ในเช้าวันต่อมา เด็กชายก็ยังคงตอบเพิ่มเติมขึ้นมาจากเพื่อนร่วมห้องเช่นเดิม
ในขณะที่ทุกคนตอบคำถามที่ว่า “ตอบครูซี นักรบผู้มีเคราสีแดง กระทำการสิ่งใดเอาไว้เสียยิ่งใหญ่เป็นตำนาน” เป็นเสียงเดียวกันว่า “รู้ค่ะ รู้ครับ เขาฆ่าคนที่คิดก่อกบฎทรยศค่ะ”
“โดยการสั่งประหารบาทหลวงที่ลอบทำพิธีสมรสของคู่รัก”
คราวนี้ครูโกรธจัดจนหน้าแดง เธอชี้นิ้วสั่งให้เด็กชายขอโทษต่อนักรบสีแดง แต่เด็กชายไม่ยอม
“ขอโทษจริงๆครับ” เขากล่าว “แต่ผมแค่เพียงไปอ่านเจอมาว่า เขาเป็นชายผู้ไม่เคยมีรักแท้ให้แก่ใคร และไม่เคยมีสตรีรอบกายคนใดมอบความจริงใจให้แก่เขา เขาจึงโกรธแค้นที่เห็นหนุ่มสาวคู่ใดก็ตาม มีความรักให้แก่กันและกัน แล้วพากันจูงมือเข้าวิวาห์ เขายังเคียดแค้นบาทหลวงทุกคนที่เห็นดีเห็นงามไปกับการสมรส จึงประนามว่าพวกเขาคือกบฎแผ่นดิน ทรราชของบ้านเมือง เขาจึงประหาร-- -- ”
“ยื่นมือของเธอออกมา แล้วก็จีบปลายนิ้วเข้าหากัน แหงนมันขึ้นฟ้า เดี๋ยวนี้ !” ครูสั่งเสียงแหลมสูง ใบหน้าแดง โกรธจนลมออกหู เธอคว้าแปรงลบกระดานที่อยู่ข้างกายมาในทันที แล้วก็หวดส่วนที่เป็นไม้แข็งๆเข้าตรงไปยังปลายนิ้วที่จีบเข้าด้วยกันของเด็กชาย -- -- เสียงที่แทรกผ่านอากาศ เสียงกระแทกกับปลายนิ้ว ทำให้ทั้งห้องพากันนั่งเงียบกริบด้วยความกลัว
เด็กชายน้ำตาไหลกับความเจ็บปวดที่ได้รับ ปลายนิ้วเขาร้วดร้าว แดงอักเสบ และเริ่มปวดระบม เขามองใบหน้าของครูผ่านหยาดน้ำตา รอคอยคำอธิบายถึงความผิดที่เขาได้ก่อขึ้น -- --
แต่เปล่าเลย ..... ครูไม่อธิบายอะไร ครูแค่วางแปลงแข็งๆนั้นลงบนโต๊ะ แล้วก็เดินออกจากห้องไป ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น -- -- ราวกับไม่เคยทำโทษเขาอย่างเจ็บปวดไร้เหตุผลมาก่อน .....