ร้านทำรองเท้าของคุณหมอดิเรกเป็นร้านทำรองเท้าที่แตกต่างจากร้านทั่วไป หมอดิเรกเป็นนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูก โดยเฉพาะกระดูกตั้งแต่ข้อเท้าลงไปถึงปลายนิ้วโป้ง หมอดิเรกใช้ความสามารถในการวิเคราะห์รูปทรงกระดูกของเท้าที่ผิดปกติ เปิดร้านรับทำรองเท้าสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องรูปเท้า กระดูกเท้าและข้อผิดปกติ ผู้ที่มีเล็บงอกขึ้นผิดปกติ การผิดปกติของกล้ามเนื้อและเอ็นทำให้เท้าเปลี่ยนรูป รวมถึงกรณีที่เกิดอุบัติเหตุส่งผลกระทบต่อเท้าและการเดินผิดรูปไป ภาวะเท้าแบน โรงงานทำโรงเท้าองหมอดิเรกจึงได้ชื่อว่าคลินิกรองเท้าสุขภาพ
ร้านของหมอดิเรกเป็นร้านที่มือชื่อเสียงมาก เพราะการใช้รองเท้าที่ออกแบบพิเศษสำหรับผู้ที่มีความปกติเป็นเรื่องที่สำคัญ และคนที่จะสามารถวิเคราะห์ออกแบบรองเท้าพิเศษนี้ได้ก็มีน้อย ทำให้คู่แข่งของหมอดิเรกแทบจะเป็นศูนย์ไปเลย
แก้วตาเพิ่งจะเข้ามาทำงานที่ร้านของหมอดิเรกได้ไม่นาน ก่อนหน้านี้เธออยู่โรงงานเย็บผ้ามาก่อน แผนกแพทเทิร์น ด้วยคำแนะนำของป้าสุนทรีซึ่งเป็นเพื่อนกับน้าสมาน พนักงานอีกคนที่มีหน้าที่ประกอบรองเท้า แก้วตาเข้ารับงานในตำแหน่งขึ้นแพทเทิร์นรองเท้าหลังจากที่หมอมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับโรคที่เป็นและฟิล์มเอ็กซเรย์เกี่ยวกับเท้า ส่วนแผนกเย็บและประกอบเป็นตัวรองเท้ามีเจ้าหน้าที่ที่เหลืออีกสองคนรับผิดชอบ เธอสามารถเรียนรู้และทำงานนี้ได้ไม่ยากนัก เพราะมีพื้นฐานเดิมมาก่อน
ที่โรงงานขนาดเล็กมีคนงานเพียง 4 คนนี้เป็นตึกแถว 3 ชั้น ชั้น 2 และ 3 ถูกดัดแปลงเป็นห้องพักของพนักงาน ที่นี่ติดแอร์ทุกชั้นและทุกห้อง หน้าต่างในแต่ละชั้นถูกปิดตายไม่สามารถเปิดได้ เพราะตึกรอบข้างเป็นร้านอาหารที่ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งจากภายนอกอาคาร แก้วตาและพนักงานอยู่กินกันที่นี่ ด้วยเงินเดือนแตะ 2 หมื่นบาท นั่นมากพอสำหรับแก้วตา ที่ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านในแต่ละเดือน ถือว่าเป็นรายได้ที่ไม่เลวเลยสำหรับเธอ
หมอดิเรกเป็นหมอหนุ่มหน้าตาดี ด้วยงานประจำในโรงพยาบาลและร้านขายรองเท้าพิเศษนี้ ทำให้เขามีรายได้เยอะมากในแต่ละเดือน หมอดิเรกเป็นที่หมายตาของสาวๆรอบตัว รวมถึงแก้วตาด้วยที่เธอแอบชอบหมอดิเรก และด้วยความที่หมอดิเรกเป็นนายจ้างที่ใจดีกับพนักงานในร้านรองเท้า ทำให้ความสนิทสนมของทั้งคู่เป็นเหมือนกับคนที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน แต่แก้วตาไม่กล้าที่จะเปิดเผยความในใจนั้นออกไปให้หมอได้รู้
“คุณหมอดิเรกคะ คือว่าน้าสมานเขาบอกหนูว่าเขาจะลาออกค่ะ” แก้วตาพูดกับหมอดิเรก เมื่อหมอดิเรกนำแพทเทิร์นรองเท้ามาส่ง
“อ้าว...จริงเหรอ เสียดายจริงๆ สมานเขาเป็นคนทำงานประณีตมีฝีมือ เขาจะลาออกทำไมล่ะ” หมอพูด
“เห็นน้าเขาว่ามีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพค่ะ “
“เหรอ น่าสงสารแกเหมือนกัน สมานเขามีหน้าที่ประกอบรองเท้าใช่มั้ย ถ้าช่วงที่ฉันยังหาคนมาทำแทนไม่ได้ แก้วตารับผิดชอบส่วนนี้ไปก่อนได้มั้ยล่ะ แล้วฉันจะขึ้นเงินเดือนให้” หมอดิเรกยื่นเงื่อนไขที่ดูเป็นกันเองให้แก้วตา สำหรับพนักงานทุกคนในร้าน หมอดิเรกมักจะไม่เคยคิดจะเอาเปรียบลูกน้องอยู่แล้ว
“ได้ค่ะหมอ หนูทำได้” แก้วตาตอบรับข้อเสนอของหมอดิเรก
เวลาผ่านไปหลายเดือน แก้วตาทำงานด้วยความสุข ด้วยชีวิตที่มั่นคง และการที่ได้เจอหน้ากับหมอดิเรกบ่อยๆก็ทำให้เธอชอบที่จะทำงานอยู่ที่นี่ แม้จะเหนื่อยเป็น 2 เท่าเพราะต้องรับผิดชอบการทำงานส่วนของสมานที่ลาออกไปนานแล้ว แต่นั่นไม่ทำให้เธอรู้สึกท้อใจกับงาน
วันนี้แก้วตารู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ หมอดิเรกนัดเธอไปทานอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แม้เธอจะรู้ว่าหมอดิเรกเพียงแค่จะนัดให้เธอไปรับแพทเทิร์นรองเท้าและรวดเลี้ยงอาหารเธอเป็นการตอบแทน ที่เธอทำงานดีมาตลอด คืนนั้นเธอเลือกชุดที่สวยที่สุดเพื่ออกไปเจอหน้าคุณหมอ
แก้วตานั่งแท็กซี่ไปยังชานเมือง เธอบอกให้คนขับจอดที่หน้าสวนอาหารแห่งหนึ่ง หมอดิเรกบอกว่าวันนี้เป็นวันที่เขากลับมาเยี่ยมพ่อและแม่ที่นี่ จึงไม่สะดวกที่จะเข้าไปที่โรงงาน จึงขอให้เธอมารับเอกสารที่นี่
“อ้าว...มาถึงแล้ว นั่งก่อนๆ อยากกินอะไรสั่งเลยนะ” หมอดิเรกที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะแล้วพูดขึ้นทันทีที่เห็นแก้วตาเดินเข้ามา
แก้วตาขยับเก้าอี้นั่ง เธอมองพร้อมยิ้มไปที่หมอดิเรก โดยที่หมอดิเรกไม่ได้สนใจมากนัก เมื่อทานข้าวเสร็จ แก้วตานั่งรถแท็กซี่กลับที่พักพร้อมเอกสาร คืนนั้นเธอนอนฝันหวานถึงหมอดิเรกทั้งคืน
“จริงหรือคะป้าสุนทรี น้าสมานเสียแล้วเหรอ” แก้วตาตกใจเมื่อป้าสุนทรีโทรมาแจ้งข้าวการตายของสมาน
“จริงสิ สมานเพิ่งจะเสียเมื่อคืนที่โรงบาล ป้าไปอยู่ดูใจแกเมื่อคืนทั้งคืนเลย”
“หมอบอกหรือเปล่าคะว่าน้าสมานเป็นอะไรตาย” แก้วตาถามด้วยน้ำเสียงที่ยังไม่หายตกใจ
“เห็นหมอบอกว่าเนื้อเยื่อที่ปอดถูกทำลายนะ”
“เอ... น้าแกเป็นโรคนี้ได้ยังไงนะ”
“หมอบอกว่าสมานสูดดมสารเคมีติดต่อกันเป็นเวลานาน นานจนเข้าขั้นเรื้อรังไม่ทันรักษาแล้ว”
“สารเคมี!” แก้วตาฉุกคิดว่าสารเคมีที่ไหนที่น้าสมานจะสูดดมเป็นเวลานาน แต่เธอก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ “หนูเสียใจด้วยค่ะป้า” แก้วตาเอ่ยอำลาป้าสุนทรีด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า
แก้วตานอนครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องสารเคมีที่น้าสมานสูดดมเป็นเวลานาน เธอคิดได้ว่าหรืออาจจะเป็นกาวสำหรับทำรองเท้าที่ระเหยออกมาจากชั้นล่าง และด้วยลักษณะของตึกที่ถูกปิดทึบไว้ตลอด ทำให้สารระเหยจากกาวยังวนเวียนอยู่แต่ในตึกไม่ออกไปไหน
เธอต้องพยายามพิสูจน์ให้ได้ว่าข้อสันนิษฐานของเธอเป็นจริง เพราะหากเป็นเช่นนั้นเธอจะได้ขอให้หมอดิเรกจัดการกับปัญหานี้
แก้วตาได้เบอร์โทรศัพท์ติดต่อกับพนักงานที่ลาออกไปก่อนหน้าที่เธอจะเข้ามาทำงานแทน ในตอนนั้นสมานบอกว่าพนักงานคนนั้นมีปัญหาเรื่องสุขภาพเหมือนกัน บางทีเธออาจจะได้เบาะแสเกี่ยวกับเรื่องนี้
“สวัสดีค่ะ นั่นคุณลลิตาใช่มั้ยคะ” แก้วตาพูดผ่านสายโทรศัพท์
“ใช่ค่ะ นั่นใครคะ”
แก้วตาแนะนำตัวเอง เธอบอกข่าวเกี่ยวกับสมานให้ลลิตาฟัง จากนั้นถามถึงสุขภาพของลลิตา ลลิตาได้ยินดังนั้นก็อธิบายทุกอย่างให้แก้วตาฟัง
“ใช่แล้วล่ะ ที่โรงงานทำรองเท้าของหมอดิเรกมีพนักงานเข้าๆออกๆเป็นเรื่องปกติมานานแล้ว และส่วนใหญ่ที่ออกเพราะเป็นเรื่องปัญหาสุขภาพนี่แหละ" ลลิตาพูด
“ใช่จริงๆด้วย แล้วทำไมไม่เคยมีใครเอาเรื่องนี้ไปพูดกับหมอดิเรกล่ะคะ”
“มีสิ พี่เคยพูดเรื่องนี้กับหมอดิเรกก่อนที่พี่จะลาออกจากที่นั่นแล้วนะ แต่ดูเหมือนหมอแกจะไม่ให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพของพนักงานเลย”
“จริงหรือคะ น่าแปลกจัง ทั้งๆที่หมอดิเรกก็ดูแลเรื่องความเป็นอยู่ของลูกน้องอย่างดี แต่ทำไมไม่ใส่ใจเรื่องสุขภาพของพนักงานเลย”
สิ้นเสียงพูดของแก้วตา ลลิตาหัวเราะในลำคอเบาๆแต่แก้วตายังได้ยิน
“หมอเขาคงอยากให้พนักงานทุกคนตายอยู่แล้วมั้ง สมานไม่ใช่รายแรก และก็จะไม่ใช่รายสุดท้าย” ลลิตาวางหูโทรศัพท์ลงทันทีที่พูดจบ คำพูดของเธอทำให้แก้วตาถึงกับเสียวสันหลังวาบ
หลายวันมานี้เธอทำงานตามปกติในโรงงานตึกแถวหลังนี้ แต่ในใจเธอกระวนกระวายเกี่ยวกับเรื่องกลิ่นสารเคมีจากกระป๋องกาวที่คละคลุ้งจางๆ ได้
แก้วตาชั่งใจอยู่นานว่าจะพูดแม้จะอยู่ในห้องพักที่เธอนอน เธอค่อนข้างจะมั่นใจว่าสุขภาพของเธอแข็งแรง เพราะเธอคิดว่าการเต้นแอโรบิคที่เธอทำประจำทุกๆเย็น จะช่วยทำให้เธอรอดพ้นจากโรคร้ายเหล่านี้ขอร้องให้หมอดิเรกปรับปรุงตัวอาคาร หรือไม่ก็ซื้อเครื่องระบายอากาศขนาดใหญ่มาติดตั้งทั้งตึก แต่เธอก็กลัวว่าจะถูกหมอดิเรกปฏิเสธคำขอนั้น เพราะหากหมอดิเรกจะแก้ปัญหาเรื่องนี้จริง ทำไมไม่ทำตั้งนานแล้ว กลับปล่อยให้พนักงานเป็นโรคร้ายถึงกลับตาย
แม้ความคลางแคลงใจที่แก้วตามีต่อหมอจะยังคงมีอยู่ แต่ด้วยการปฏิบัติของหมอที่ดีต่อแก้วตา ทำให้แก้วตาใจอ่อน ไม่สามารถโกรธหรือเกลียดหมอได้ เธอยังคงยิ้มและมีความสุขทุกครั้งที่อยู่ใกล้หมอ บางครั้งความสุขเหล่านี้ทำให้เธอลืมเรื่องสารเคมีที่ลอยคลุ้งในตัวอาคารไปหมดสิ้น
และแล้วก็ถึงวันของแก้วตา เธอเริ่มรู้สึกไอบ่อยขึ้น หายใจลำบาก หอบเหนื่อยง่าย แม้จะไม่มากแต่นั่นก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเธออาจจะเป็นโรคร้ายเหมือนสมานและลลิตา เธอพยายามเก็บอาการและไม่บอกให้ใครรู้ เพราะเธอกลัวว่าเธอจะไม่ได้ทำงานรองเท้าที่เธอรัก และอาจจะไม่ได้เห็นหน้าหมอดิเรกอีกหากไม่ได้ทำงานที่นี่
แก้วตาตัดสินใจไปตรวจที่คลินิกโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เธอหวังว่าจะได้รับยาเพื่อบรรเทาอาการที่เธอเป็นอยู่นี้ ผลตรวจปรากฏว่าเธอจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่นาน เมื่อรู้ความจริงข้อนี้เธอไม่เสียใจ เพราะเธอรักคุณหมอดิเรก
คลินิกให้ยาแก้วตามากิน ทำให้อาการของเธอดีขึ้น เพราะความรักที่เธอมีให้กับหมอ ทำให้เธอยอมอดทนอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน หมอดิเรกก็ทำตัวปกติกับพนักงานทุกคนเหมือนไม่มีเร่องเกี่ยวกับสารเคมีในอาคารเกิดขึ้น
อยู่มาวันหนึ่ง หมอดิเรกยื่นบัตรเชิญงานแต่งงานให้แก้วตา เธอเปิดดูบัตรเชิญและรู้สึกสะเทือนใจที่ชื่อในบัตรเชิญนั้นไม่ใช่ชื่อของเธอ ลับหลังเธอแอบร้องไห้ฟูมฟายเสียใจ แก้วตาหลงเข้าข้างตัวเองมานานแล้วว่าหมอดิเรกมีใจให้กับเธอ แต่วันนี้กับสิ่งที่หมอดิเรกทำ นั่นยิ่งตอกย้ำอย่างชัดเจนแล้วว่า เธอคิดไปเองมาตลอด
จากความผิดหวังเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น จากความโกรธแค้นเปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง แก้วตาตัดสินใจหนีออกมาจากตึกนั้นในคืนวันนั้นทันทีที่ได้รับข่าวสะเทือนใจ เธอหนีออกมาพร้อมข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นส่วนหนึ่ง และบัตรเชิญงานแต่งนั้น
ไม่มีใครสามารถติดต่อแก้วตาได้อีกเลยแม้แต่หมอดิเรก หรือบางทีหมอดิเรกก็อาจจะไม่คิดจะติดต่อตามหาเธออีกแล้ว แก้วตาคิดแบบนั้นในหัว เธอหนีกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดกับพ่อแม่ เธอไม่บอกเรื่องโรคร้ายนี้ให้ใครรู้ เพราะทำใจไม่ได้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เวลาผ่านไปจากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน แต่เวลาก็ไม่สามารถเยียวยาจิตใจของเธอได้เลยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งอาการของปอดที่ถูกทำร้ายเริ่มกำเริบยิ่งเพิ่มความเครียดแค้นเกลียดชังเพิ่มเป็นทวีคูน เธอหยิบบัตรเชิญงานแต่งของหมอดิเรกขึ้นมาดูพร้อมสายน้ำตาที่หยดลงบนบัตรเชิญใบนั้น
งานแต่งงานของหมอดิเรกถูกจัดในโรงแรมสุดหรู หมอดิเรกในชุดทักซิโด้เข้ารูปยิ่งทำให้เขาดูโดดเด่นที่สุดในงาน เจ้าสาวของเขาในชุดเจ้าสาวราคาแพงระยับยืนเคียงข้างคอยต้อนรับแขกระดับเศรษฐีที่เข้ามาร่วมงาน
แขกนับร้อยทยอยเข้ามาในงาน หากแต่ไม่มีใครสังเกตเห็นแขกคนหนึ่งแอบลอบเข้ามาในงานโดยแต่งชุดพนักงานของทางโรงแรม ในกระเป๋าเสื้อของเธอมีบัตรเชิญเข้างานที่เปื้อนคราบรอยน้ำตาโผล่ออกมา แต่เธอคิดว่าคงไม่ต้องใช้
ถึงจังหวะที่คู่บ่าวสาวขึ้นมากล่าวแนะนำตัวบนเวที
“ขอบคุณสำหรับแขกผู้มีเกียรติทุกท่านครับ ที่มาร่วมงานเป็นสักขีพยานในพิธีมงคลสมรสและงานเลี้ยงฉลองในค่ำคืนนี้ ผมและเนตรเราคบกันมาหลายปีแล้ว เราศึกษาดูใจจนแน่ใจว่าเราคู่กัน” ดิเรกกล่าวบนเวทีสั้นๆ นั่นเรียกเสียงปรบมือกังวานทั่วทั้งห้องจัดงาน
แขกเหรื่อทุกคนต่างชื่นชมยินดีกับคู่บ่าวสาวใหม่ เจ้าบ่าวที่ทั้งร่ำรวยและเก่ง รวมถึงเจ้าสาวที่สวยและมาจากตระกูลผู้ดี นั่นทำให้คู่สมรสคู่นี้ต่างได้รับการยอมรับและยกย่องจากผู้มาร่วมงาน คงจะมีแต่แขกที่ปลอมตัวเข้ามาในชุดพนักงานของโรงแรมเพียงคนเดียว ที่เครียดแค้นและชิงชังเจ้าบ่าวของงาน
และก็มาถึงช่วงที่โรงแรมจัดชุดอาหารโต๊ะจีนไปเสิร์ฟในแต่ละโต๊ะ อาหารในงานคืนนี้คือตือฮวนจากภัตตาคารชื่อดัง และขั้นตอนการเสิร์ฟอาหาร แขกลึกลับในชุดพนักงานก็เข้าไปมีส่วนร่วมในการเสิร์ฟอาหารในครั้งนี้ด้วย
ในขณะที่ทุกคนบนโต๊ะกำลังเพลิดเพลินกับตือฮวนสุดอร่อย น้ำซุปสุดเข้มข้น บนเวทีมีการบรรเลงเปียโนเพลงรัก และภาพจากโปรเจคเตอร์กำลังแสดงภาพพรีเว้ดดิ้งของคู่บ่าวสาว นั่นเกือบทำให้บ่อน้ำตาของแขกลึกลับคนนั้นต้องแตกออกมา โชคดีที่เธอกัดฟันข่มอารมณ์ความรู้สึกนั้นไว้ได้ ไม่อย่างนั้นแผนการที่เธอเตรียมมาอย่างดีทุกอย่างในคืนนี้คงต้องพังพินาศ
เมื่อเสียงโน้ตเปียโนตัวสุดท้ายจบลง ภาพสไลด์เฟรมสุดท้ายปรากฏ คู่บ่าวสาวเตรียมตัวเดินขึ้นเวทีอีกครั้ง และจังหวะนี้ที่แขกลึกลับคนนั้นรีบวิ่งชิงขึ้นไปบนเวทีแซงหน้าคู่บ่าวสาว
แขกลึกลับเมื่อยืนอยู่หน้าไมโครโฟน เธอพูดประกาศใส่ไมค์ทันที
เรื่องสั้น : ความในใจ
ร้านของหมอดิเรกเป็นร้านที่มือชื่อเสียงมาก เพราะการใช้รองเท้าที่ออกแบบพิเศษสำหรับผู้ที่มีความปกติเป็นเรื่องที่สำคัญ และคนที่จะสามารถวิเคราะห์ออกแบบรองเท้าพิเศษนี้ได้ก็มีน้อย ทำให้คู่แข่งของหมอดิเรกแทบจะเป็นศูนย์ไปเลย
แก้วตาเพิ่งจะเข้ามาทำงานที่ร้านของหมอดิเรกได้ไม่นาน ก่อนหน้านี้เธออยู่โรงงานเย็บผ้ามาก่อน แผนกแพทเทิร์น ด้วยคำแนะนำของป้าสุนทรีซึ่งเป็นเพื่อนกับน้าสมาน พนักงานอีกคนที่มีหน้าที่ประกอบรองเท้า แก้วตาเข้ารับงานในตำแหน่งขึ้นแพทเทิร์นรองเท้าหลังจากที่หมอมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับโรคที่เป็นและฟิล์มเอ็กซเรย์เกี่ยวกับเท้า ส่วนแผนกเย็บและประกอบเป็นตัวรองเท้ามีเจ้าหน้าที่ที่เหลืออีกสองคนรับผิดชอบ เธอสามารถเรียนรู้และทำงานนี้ได้ไม่ยากนัก เพราะมีพื้นฐานเดิมมาก่อน
ที่โรงงานขนาดเล็กมีคนงานเพียง 4 คนนี้เป็นตึกแถว 3 ชั้น ชั้น 2 และ 3 ถูกดัดแปลงเป็นห้องพักของพนักงาน ที่นี่ติดแอร์ทุกชั้นและทุกห้อง หน้าต่างในแต่ละชั้นถูกปิดตายไม่สามารถเปิดได้ เพราะตึกรอบข้างเป็นร้านอาหารที่ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งจากภายนอกอาคาร แก้วตาและพนักงานอยู่กินกันที่นี่ ด้วยเงินเดือนแตะ 2 หมื่นบาท นั่นมากพอสำหรับแก้วตา ที่ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้านในแต่ละเดือน ถือว่าเป็นรายได้ที่ไม่เลวเลยสำหรับเธอ
หมอดิเรกเป็นหมอหนุ่มหน้าตาดี ด้วยงานประจำในโรงพยาบาลและร้านขายรองเท้าพิเศษนี้ ทำให้เขามีรายได้เยอะมากในแต่ละเดือน หมอดิเรกเป็นที่หมายตาของสาวๆรอบตัว รวมถึงแก้วตาด้วยที่เธอแอบชอบหมอดิเรก และด้วยความที่หมอดิเรกเป็นนายจ้างที่ใจดีกับพนักงานในร้านรองเท้า ทำให้ความสนิทสนมของทั้งคู่เป็นเหมือนกับคนที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน แต่แก้วตาไม่กล้าที่จะเปิดเผยความในใจนั้นออกไปให้หมอได้รู้
“คุณหมอดิเรกคะ คือว่าน้าสมานเขาบอกหนูว่าเขาจะลาออกค่ะ” แก้วตาพูดกับหมอดิเรก เมื่อหมอดิเรกนำแพทเทิร์นรองเท้ามาส่ง
“อ้าว...จริงเหรอ เสียดายจริงๆ สมานเขาเป็นคนทำงานประณีตมีฝีมือ เขาจะลาออกทำไมล่ะ” หมอพูด
“เห็นน้าเขาว่ามีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพค่ะ “
“เหรอ น่าสงสารแกเหมือนกัน สมานเขามีหน้าที่ประกอบรองเท้าใช่มั้ย ถ้าช่วงที่ฉันยังหาคนมาทำแทนไม่ได้ แก้วตารับผิดชอบส่วนนี้ไปก่อนได้มั้ยล่ะ แล้วฉันจะขึ้นเงินเดือนให้” หมอดิเรกยื่นเงื่อนไขที่ดูเป็นกันเองให้แก้วตา สำหรับพนักงานทุกคนในร้าน หมอดิเรกมักจะไม่เคยคิดจะเอาเปรียบลูกน้องอยู่แล้ว
“ได้ค่ะหมอ หนูทำได้” แก้วตาตอบรับข้อเสนอของหมอดิเรก
เวลาผ่านไปหลายเดือน แก้วตาทำงานด้วยความสุข ด้วยชีวิตที่มั่นคง และการที่ได้เจอหน้ากับหมอดิเรกบ่อยๆก็ทำให้เธอชอบที่จะทำงานอยู่ที่นี่ แม้จะเหนื่อยเป็น 2 เท่าเพราะต้องรับผิดชอบการทำงานส่วนของสมานที่ลาออกไปนานแล้ว แต่นั่นไม่ทำให้เธอรู้สึกท้อใจกับงาน
วันนี้แก้วตารู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ หมอดิเรกนัดเธอไปทานอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แม้เธอจะรู้ว่าหมอดิเรกเพียงแค่จะนัดให้เธอไปรับแพทเทิร์นรองเท้าและรวดเลี้ยงอาหารเธอเป็นการตอบแทน ที่เธอทำงานดีมาตลอด คืนนั้นเธอเลือกชุดที่สวยที่สุดเพื่ออกไปเจอหน้าคุณหมอ
แก้วตานั่งแท็กซี่ไปยังชานเมือง เธอบอกให้คนขับจอดที่หน้าสวนอาหารแห่งหนึ่ง หมอดิเรกบอกว่าวันนี้เป็นวันที่เขากลับมาเยี่ยมพ่อและแม่ที่นี่ จึงไม่สะดวกที่จะเข้าไปที่โรงงาน จึงขอให้เธอมารับเอกสารที่นี่
“อ้าว...มาถึงแล้ว นั่งก่อนๆ อยากกินอะไรสั่งเลยนะ” หมอดิเรกที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะแล้วพูดขึ้นทันทีที่เห็นแก้วตาเดินเข้ามา
แก้วตาขยับเก้าอี้นั่ง เธอมองพร้อมยิ้มไปที่หมอดิเรก โดยที่หมอดิเรกไม่ได้สนใจมากนัก เมื่อทานข้าวเสร็จ แก้วตานั่งรถแท็กซี่กลับที่พักพร้อมเอกสาร คืนนั้นเธอนอนฝันหวานถึงหมอดิเรกทั้งคืน
“จริงหรือคะป้าสุนทรี น้าสมานเสียแล้วเหรอ” แก้วตาตกใจเมื่อป้าสุนทรีโทรมาแจ้งข้าวการตายของสมาน
“จริงสิ สมานเพิ่งจะเสียเมื่อคืนที่โรงบาล ป้าไปอยู่ดูใจแกเมื่อคืนทั้งคืนเลย”
“หมอบอกหรือเปล่าคะว่าน้าสมานเป็นอะไรตาย” แก้วตาถามด้วยน้ำเสียงที่ยังไม่หายตกใจ
“เห็นหมอบอกว่าเนื้อเยื่อที่ปอดถูกทำลายนะ”
“เอ... น้าแกเป็นโรคนี้ได้ยังไงนะ”
“หมอบอกว่าสมานสูดดมสารเคมีติดต่อกันเป็นเวลานาน นานจนเข้าขั้นเรื้อรังไม่ทันรักษาแล้ว”
“สารเคมี!” แก้วตาฉุกคิดว่าสารเคมีที่ไหนที่น้าสมานจะสูดดมเป็นเวลานาน แต่เธอก็ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ “หนูเสียใจด้วยค่ะป้า” แก้วตาเอ่ยอำลาป้าสุนทรีด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า
แก้วตานอนครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องสารเคมีที่น้าสมานสูดดมเป็นเวลานาน เธอคิดได้ว่าหรืออาจจะเป็นกาวสำหรับทำรองเท้าที่ระเหยออกมาจากชั้นล่าง และด้วยลักษณะของตึกที่ถูกปิดทึบไว้ตลอด ทำให้สารระเหยจากกาวยังวนเวียนอยู่แต่ในตึกไม่ออกไปไหน
เธอต้องพยายามพิสูจน์ให้ได้ว่าข้อสันนิษฐานของเธอเป็นจริง เพราะหากเป็นเช่นนั้นเธอจะได้ขอให้หมอดิเรกจัดการกับปัญหานี้
แก้วตาได้เบอร์โทรศัพท์ติดต่อกับพนักงานที่ลาออกไปก่อนหน้าที่เธอจะเข้ามาทำงานแทน ในตอนนั้นสมานบอกว่าพนักงานคนนั้นมีปัญหาเรื่องสุขภาพเหมือนกัน บางทีเธออาจจะได้เบาะแสเกี่ยวกับเรื่องนี้
“สวัสดีค่ะ นั่นคุณลลิตาใช่มั้ยคะ” แก้วตาพูดผ่านสายโทรศัพท์
“ใช่ค่ะ นั่นใครคะ”
แก้วตาแนะนำตัวเอง เธอบอกข่าวเกี่ยวกับสมานให้ลลิตาฟัง จากนั้นถามถึงสุขภาพของลลิตา ลลิตาได้ยินดังนั้นก็อธิบายทุกอย่างให้แก้วตาฟัง
“ใช่แล้วล่ะ ที่โรงงานทำรองเท้าของหมอดิเรกมีพนักงานเข้าๆออกๆเป็นเรื่องปกติมานานแล้ว และส่วนใหญ่ที่ออกเพราะเป็นเรื่องปัญหาสุขภาพนี่แหละ" ลลิตาพูด
“ใช่จริงๆด้วย แล้วทำไมไม่เคยมีใครเอาเรื่องนี้ไปพูดกับหมอดิเรกล่ะคะ”
“มีสิ พี่เคยพูดเรื่องนี้กับหมอดิเรกก่อนที่พี่จะลาออกจากที่นั่นแล้วนะ แต่ดูเหมือนหมอแกจะไม่ให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพของพนักงานเลย”
“จริงหรือคะ น่าแปลกจัง ทั้งๆที่หมอดิเรกก็ดูแลเรื่องความเป็นอยู่ของลูกน้องอย่างดี แต่ทำไมไม่ใส่ใจเรื่องสุขภาพของพนักงานเลย”
สิ้นเสียงพูดของแก้วตา ลลิตาหัวเราะในลำคอเบาๆแต่แก้วตายังได้ยิน
“หมอเขาคงอยากให้พนักงานทุกคนตายอยู่แล้วมั้ง สมานไม่ใช่รายแรก และก็จะไม่ใช่รายสุดท้าย” ลลิตาวางหูโทรศัพท์ลงทันทีที่พูดจบ คำพูดของเธอทำให้แก้วตาถึงกับเสียวสันหลังวาบ
หลายวันมานี้เธอทำงานตามปกติในโรงงานตึกแถวหลังนี้ แต่ในใจเธอกระวนกระวายเกี่ยวกับเรื่องกลิ่นสารเคมีจากกระป๋องกาวที่คละคลุ้งจางๆ ได้
แก้วตาชั่งใจอยู่นานว่าจะพูดแม้จะอยู่ในห้องพักที่เธอนอน เธอค่อนข้างจะมั่นใจว่าสุขภาพของเธอแข็งแรง เพราะเธอคิดว่าการเต้นแอโรบิคที่เธอทำประจำทุกๆเย็น จะช่วยทำให้เธอรอดพ้นจากโรคร้ายเหล่านี้ขอร้องให้หมอดิเรกปรับปรุงตัวอาคาร หรือไม่ก็ซื้อเครื่องระบายอากาศขนาดใหญ่มาติดตั้งทั้งตึก แต่เธอก็กลัวว่าจะถูกหมอดิเรกปฏิเสธคำขอนั้น เพราะหากหมอดิเรกจะแก้ปัญหาเรื่องนี้จริง ทำไมไม่ทำตั้งนานแล้ว กลับปล่อยให้พนักงานเป็นโรคร้ายถึงกลับตาย
แม้ความคลางแคลงใจที่แก้วตามีต่อหมอจะยังคงมีอยู่ แต่ด้วยการปฏิบัติของหมอที่ดีต่อแก้วตา ทำให้แก้วตาใจอ่อน ไม่สามารถโกรธหรือเกลียดหมอได้ เธอยังคงยิ้มและมีความสุขทุกครั้งที่อยู่ใกล้หมอ บางครั้งความสุขเหล่านี้ทำให้เธอลืมเรื่องสารเคมีที่ลอยคลุ้งในตัวอาคารไปหมดสิ้น
และแล้วก็ถึงวันของแก้วตา เธอเริ่มรู้สึกไอบ่อยขึ้น หายใจลำบาก หอบเหนื่อยง่าย แม้จะไม่มากแต่นั่นก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเธออาจจะเป็นโรคร้ายเหมือนสมานและลลิตา เธอพยายามเก็บอาการและไม่บอกให้ใครรู้ เพราะเธอกลัวว่าเธอจะไม่ได้ทำงานรองเท้าที่เธอรัก และอาจจะไม่ได้เห็นหน้าหมอดิเรกอีกหากไม่ได้ทำงานที่นี่
แก้วตาตัดสินใจไปตรวจที่คลินิกโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ เธอหวังว่าจะได้รับยาเพื่อบรรเทาอาการที่เธอเป็นอยู่นี้ ผลตรวจปรากฏว่าเธอจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่นาน เมื่อรู้ความจริงข้อนี้เธอไม่เสียใจ เพราะเธอรักคุณหมอดิเรก
คลินิกให้ยาแก้วตามากิน ทำให้อาการของเธอดีขึ้น เพราะความรักที่เธอมีให้กับหมอ ทำให้เธอยอมอดทนอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน หมอดิเรกก็ทำตัวปกติกับพนักงานทุกคนเหมือนไม่มีเร่องเกี่ยวกับสารเคมีในอาคารเกิดขึ้น
อยู่มาวันหนึ่ง หมอดิเรกยื่นบัตรเชิญงานแต่งงานให้แก้วตา เธอเปิดดูบัตรเชิญและรู้สึกสะเทือนใจที่ชื่อในบัตรเชิญนั้นไม่ใช่ชื่อของเธอ ลับหลังเธอแอบร้องไห้ฟูมฟายเสียใจ แก้วตาหลงเข้าข้างตัวเองมานานแล้วว่าหมอดิเรกมีใจให้กับเธอ แต่วันนี้กับสิ่งที่หมอดิเรกทำ นั่นยิ่งตอกย้ำอย่างชัดเจนแล้วว่า เธอคิดไปเองมาตลอด
จากความผิดหวังเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น จากความโกรธแค้นเปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง แก้วตาตัดสินใจหนีออกมาจากตึกนั้นในคืนวันนั้นทันทีที่ได้รับข่าวสะเทือนใจ เธอหนีออกมาพร้อมข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นส่วนหนึ่ง และบัตรเชิญงานแต่งนั้น
ไม่มีใครสามารถติดต่อแก้วตาได้อีกเลยแม้แต่หมอดิเรก หรือบางทีหมอดิเรกก็อาจจะไม่คิดจะติดต่อตามหาเธออีกแล้ว แก้วตาคิดแบบนั้นในหัว เธอหนีกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดกับพ่อแม่ เธอไม่บอกเรื่องโรคร้ายนี้ให้ใครรู้ เพราะทำใจไม่ได้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เวลาผ่านไปจากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน แต่เวลาก็ไม่สามารถเยียวยาจิตใจของเธอได้เลยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งอาการของปอดที่ถูกทำร้ายเริ่มกำเริบยิ่งเพิ่มความเครียดแค้นเกลียดชังเพิ่มเป็นทวีคูน เธอหยิบบัตรเชิญงานแต่งของหมอดิเรกขึ้นมาดูพร้อมสายน้ำตาที่หยดลงบนบัตรเชิญใบนั้น
งานแต่งงานของหมอดิเรกถูกจัดในโรงแรมสุดหรู หมอดิเรกในชุดทักซิโด้เข้ารูปยิ่งทำให้เขาดูโดดเด่นที่สุดในงาน เจ้าสาวของเขาในชุดเจ้าสาวราคาแพงระยับยืนเคียงข้างคอยต้อนรับแขกระดับเศรษฐีที่เข้ามาร่วมงาน
แขกนับร้อยทยอยเข้ามาในงาน หากแต่ไม่มีใครสังเกตเห็นแขกคนหนึ่งแอบลอบเข้ามาในงานโดยแต่งชุดพนักงานของทางโรงแรม ในกระเป๋าเสื้อของเธอมีบัตรเชิญเข้างานที่เปื้อนคราบรอยน้ำตาโผล่ออกมา แต่เธอคิดว่าคงไม่ต้องใช้
ถึงจังหวะที่คู่บ่าวสาวขึ้นมากล่าวแนะนำตัวบนเวที
“ขอบคุณสำหรับแขกผู้มีเกียรติทุกท่านครับ ที่มาร่วมงานเป็นสักขีพยานในพิธีมงคลสมรสและงานเลี้ยงฉลองในค่ำคืนนี้ ผมและเนตรเราคบกันมาหลายปีแล้ว เราศึกษาดูใจจนแน่ใจว่าเราคู่กัน” ดิเรกกล่าวบนเวทีสั้นๆ นั่นเรียกเสียงปรบมือกังวานทั่วทั้งห้องจัดงาน
แขกเหรื่อทุกคนต่างชื่นชมยินดีกับคู่บ่าวสาวใหม่ เจ้าบ่าวที่ทั้งร่ำรวยและเก่ง รวมถึงเจ้าสาวที่สวยและมาจากตระกูลผู้ดี นั่นทำให้คู่สมรสคู่นี้ต่างได้รับการยอมรับและยกย่องจากผู้มาร่วมงาน คงจะมีแต่แขกที่ปลอมตัวเข้ามาในชุดพนักงานของโรงแรมเพียงคนเดียว ที่เครียดแค้นและชิงชังเจ้าบ่าวของงาน
และก็มาถึงช่วงที่โรงแรมจัดชุดอาหารโต๊ะจีนไปเสิร์ฟในแต่ละโต๊ะ อาหารในงานคืนนี้คือตือฮวนจากภัตตาคารชื่อดัง และขั้นตอนการเสิร์ฟอาหาร แขกลึกลับในชุดพนักงานก็เข้าไปมีส่วนร่วมในการเสิร์ฟอาหารในครั้งนี้ด้วย
ในขณะที่ทุกคนบนโต๊ะกำลังเพลิดเพลินกับตือฮวนสุดอร่อย น้ำซุปสุดเข้มข้น บนเวทีมีการบรรเลงเปียโนเพลงรัก และภาพจากโปรเจคเตอร์กำลังแสดงภาพพรีเว้ดดิ้งของคู่บ่าวสาว นั่นเกือบทำให้บ่อน้ำตาของแขกลึกลับคนนั้นต้องแตกออกมา โชคดีที่เธอกัดฟันข่มอารมณ์ความรู้สึกนั้นไว้ได้ ไม่อย่างนั้นแผนการที่เธอเตรียมมาอย่างดีทุกอย่างในคืนนี้คงต้องพังพินาศ
เมื่อเสียงโน้ตเปียโนตัวสุดท้ายจบลง ภาพสไลด์เฟรมสุดท้ายปรากฏ คู่บ่าวสาวเตรียมตัวเดินขึ้นเวทีอีกครั้ง และจังหวะนี้ที่แขกลึกลับคนนั้นรีบวิ่งชิงขึ้นไปบนเวทีแซงหน้าคู่บ่าวสาว
แขกลึกลับเมื่อยืนอยู่หน้าไมโครโฟน เธอพูดประกาศใส่ไมค์ทันที