ผมจบจากมหาวิทยาลัย 2 แห่งในภาคเหนือ คือ มช. และแม่โจ้ สาเหตุมาจาก เกรดจบ มช.ไม่ค่อยดี เลยไปต่อตรีอีกใบที่แม่โจ้ เพื่อเรียนต่อโท
ซึ่งมุมมองในการรับน้องที่นำเสนอนั้น จะมองในมุมที่แตกต่างพอสมควร เพราะแม้จะเคยรับน้อง ของ มช. มาก่อน แต่ก็รับน้องของแม่โจ้ ในฐานะคนที่จบตรี มาแล้ว
ขอเริ่มเลย
มช.ต่างแม่โจ้อย่างอย่างหนึ่ง ซึ่งจริงๆก็อาจจะต่างจากมหาวิทยาลัยอื่นตรงที่ แม่โจ้มีความเป็นมหาวิทยาลัยสูง แต่ มช. มีความเป็นคณะสูง ทั้งนี้เพราะจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง วึ่งมันโยงไปถึงการรับน้องด้วย
แม่โจ้ เกิดขึ้นมาในฐานะของโรงเรียนเกษตร แล้วพัฒนาไปสู่มหาวิทยาลัยในปัจจุบัน แต่ มช.ในปัจจุบันมาจากคณะเกิดใหม่ในอดีต ที่บางคณะนั้นกัดกันมาตั้งก่อนเข้ามหาวิทยาลัยเสียอีก ดังนั้นแม่โจ้จึงมีความเป้นกลุ่มก้อน แต่ มช.จะรวมกันเป็นกลุ่มๆคระใคร คณะมัน
จุดเริ่มต้นของการรับน้องแม่โจ้ ตำนานโซตัสของประเทศไทย
ก่อนยุคสร้างแม่โจ้ พื้นที่แม่โจ้ในปัจจุบันนั้น แห้งแล้ง จนมีคำกล่าวในเพลงของแม่โจ้ว่า แม้เป็นนกจะไม่โผผินบินผ่าน นั่นเพราะมันแล้งนั่นเอง
การรับน้องในยุคสร้างแม่โจ้ มาจากเหตุผลหลักๆคือ เพื่อสวัสดิภาพของนักเรียน และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของการอยู่ร่วมกัน
ที่ว่าสวัสดิภาพของนักเรียนนั้น มาจาก แม่โจ้นั้นอยู่ในเขตมาลาเรีย ดังนั้นนักเรียนแม่โจ้ในยุคแรกบางคนเรียนไม่จบเพราะเป็นไข้ป่าตาย รวมถึงการละลายพฤติกรรม ในส่วนการละลายพฤติกรรมนี้เองที่สืบประเพณีมาถึงปัจจุบัน เพราะสมัยก่อน นักศึกษาแม่โจ้มีตั้งแต่ลูกตาสีตาสา จนถึงลูกท้าวลูกพระยา ดังนั้นจึงไม่แปลกที่พวกลุกคุณหนูจากกรุงเทพมีของติดตัวจากบ้านมามาก และเมื่ออาศัยอยู่รวมกันจะทำให้เกิดความแตกต่างและปัญหาขึ้นภายหลัง จึงทำให้เกิดการรับน้องในยุคแรกคือ การปล้น ในตอนกลางดึก รุ่นพี่จะยิงปืนขึ้น แล้วต้อนรุ่นน้อง มารวมกันสิ่งของส่วนเกิน ทั้งเงินและของใช้เกินความจำเป็นจะถูกเก็บเข้าส่วนกลาง ส่วนของกิน จะถูกรุ่นพี่กิน และด้วยเหตุผลนี้เองทำให้การขโมยของของนักศึกษาแม่โจ้ด้วยกันบทลงโทษตามธรรมนูญแม่โจ้มีโทษหนักมาก วึ่งรูปแบบการรับน้องแม่โจ้ในปัจจุบันนั้นคือการจำลองเหตุการณ์รับน้องในอดีตนั่นเองและที่ผ่านมาก็มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบตามยุคสมัย
ยกตัวอย่างเช่น เหตุการระเบิดที่มาจากอุบัติเหตุ วึ่งมีการวิพากษ์วิจารณืไปต่างๆ นั้น ประทัดยักษ์ที่ใช้ ใช้เพื่อเป็นสัญญาณเลียนแบบการยิงปืนในสมัยก่อน
การริบสิ่งของมีค่าในช่วงรับน้องมาจากการปล้นในสมัยก่อน และที่สำคัญแผ่นดินแม่โจ้นั้นเจ้าที่แรงมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว สมัยก่อนใครหลบหลู่หรือผิดผีนั้น มักจะตายเอาง่ายๆ ดังนั้นในช่วงรับน้องนั้นมีข้อห้ามต่างๆเพื่อสวัสดิภาพของนักศึกษาจากสิ่งที่มองไม่เห็น
ยุคแม่โจ้เกรียงไร และจุดเริ่มต้นของการรับน้อง มช.
ยุคแม่โจ้เกียงไกรนั้น หมายถึงช่วงที่แม่โจ้ยกฐานะขึ้นจากเดิม น่าจะอยู่ในช่วง 2500 ต้น ยุคเดียวกับการสร้าง มช. เป็นยุคแห่งนักเรียนตีกัน กฏหลายอย่างเกิดมาเพราะยุคนี้เป็นยุคนักเรียนตีกันของเชียงใหม่ สถาบันการศึกษาต่างเช่น แม่โจ้ วิทยาลัยครู วิทยาลัย พละ เทคนิค เทคโน หรือตชด.แม่ริม นั้นตีกันบ่อยมาก ดังนั้นแม่โจ้จึงมีกฏว่าห้ามใส่เสื้อแม่โจ้เข้าเมือง เพื่อป้องกันการโดนตี และต่อมาเมื่อหมดยุคนักเรียนตีกัน ก็มีกฏให้ปี1แต่งชุดสุภาพเข้าเมือง เพื่อสะดวกในการระบุตัวตนและสามารถช่วยเหลือได้
และยุคนี้มันไปเกี่ยวกับการรับน้องตรง มช. ตรงที่ แรกเริ่มสร้าง มช.นั้นมี3คณะ คือวิทยาศาสตร์ มนุษยืและสังคม ต่อมารวมกับมหาวิทยาลัยแพทย์เชียงใหม่ วึ่งต่อมาคือคณะแพทย์ และสายสุขภาพทั้งหมด และมีคณะอื่นเพิ่มเข้ามาอย่าง วิศวะ เกษตร ศึกษา เป็นต้น นี่คือสาเหตุทำไมยุคนักเรียนตีกันมันเกี่ยวกับการรับน้อง มช. ก้เพราะแต่เดิม แม่โจ้(เกษตร) เทคโน(วิศวะ) วิทยาลัยครู+วิทยาลัยพละ(ศึกษา) มันตีกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่พอสร้างมช. จากคนละสถาบันและไม่ถูกกันเลยมาอยู่สถาบันเดียวกัน นอกจะจะตีกันแล้วยังนำการรับน้องมาใช้เพื่อความเป็นหนึ่งเดียวกันในหมู่คณะ และคณะเกิดใหม่ ก็สร้างการรับน้องขึ้นมาเพื่อความเข้มแข็งของกลุ่มก้อนตัวเอง ปัจจุบัน คณะใน มช.เท่าที่ทราบและประกาศตัวเป็นโซตัส ประกอบด้วย เกษตร ศึกษา วิศวะ และรับศาสตร์ ส่วนนอกนั้น หากไม่ใช่กึ่งโซตัส ก็มีการรับน้องเป็นของตัวเอง อย่างเช่นฝั่งสวนดอก หรือวิจิตร
มุมมองเรื่องการรับน้องโหด
จากที่เรียนแม่โจ้ ซึ่งบอกว่ารับน้องโหด อันนี้แล้วแต่มุมมองเลย เพราะว่าข่าว ข้อมูลต่างๆนั้นที่หลุดออกมานั้น มาจากกลุ่มผู้ดิสเครดิสมหาลัย วึ่งมีจุดประสงค์คือสร้างความเสียหายแก่ภาพลักษณ์ เพราะคนที่หวังดีย่อมไม่แอบถ่ายคลิปแน่ๆ วึ่งผมเมื่อรับน้องแม่โจ้ก็ไม่ใช่เฟรชชี่เสียทีเดียว เพราะจบจากมช.แล้ว ดังนั้นการรับน้องรุ่นผมมันจึงมีเหตุผลอยู่ในตัว
1.การรับน้องแม่โจ้ไม่ถือเป็นการละเมิดสิทธิ์ เพราะนักศึกษาใหม่ใช้สิทธิ์ในการเลือกที่จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมการรับนอกตั้งแต่แรกแล้วและยังต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง ดังนั้นจึงไม่สามารถเอาเรื่องการละเมิดสิทธิ์ไปต่อสู้ในชั้นศาลได้
2.กิจกรรมทั้งหมด มีรูปแบบโครงการตรวจสอบได้ มีอาจารย์ควบคุมดูแลทุกขั้นตอนจริง และหากพบว่าการกระทำนอกเหนือจากเหตุที่สมควร เช่น ทำร้ายร่างกาย หรือให้รุ่นน้องทานเหล้า สามารถแจ้งไปที่มหาวิทยาลัยเพื่อลงโทษรุ่นพี่ได้ โทษสูงสุดคือสิ้นสภาพการศึกษา
3.ทุกกิจกรรมนั้นมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงความเหมาะสมตามยุคสมัยและผ่านกรรมการพิจารณาแล้ว
4.กิจกรรมรับน้องของแม่โจ้ไม่ได้ลักลอบจัด และผ่านการพิจารณาแล้ว ดังนั้นจะจัดว่าเป็นการรับน้องโหดไม่ได้
5.อุบัติเหตุจากการรับน้องไม่ได้มาจากความรุนแรงในการทำกิจกรรม แต่ส่วนใหญ่เกิดจากสภาพร่างกายของนักศึกษาเองและฝืนจนเกิดร่างกายจะรับไหว ซึ่งตลอดกิจกรรม ทางมหาวิทยาลัยได้ประสานกับโรงพยาบาลสันทรายตลอดเวลา
ส่วนการรับน้องของมช.จะคล้ายๆของแม่โจ้คือ ทั้งส่วนของมหาวิทยาลัยและคณะทุกกิจกรรมต้องผ่านความเห็นชอบ มีอาจารยืดูแลทุกขั้นตอน สามารถตรวจสอบได้ ไม่มีการลักลอบจัดกิจกรรม และการรับน้องจังหวัดจะอยู่ภายใต้การดูแลของมหาวิทยาลัยด้วย
ซึ่งจากที่บอกไป ก็คือ โหดไม่โหดมันอยู่ที่มุมมอง เพราะทุกกิจกรรมทุกกิจกรรมนั้นผ่านการพิจารณาจากอาจารย์และผู้บริหารและควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด
ป.ล.อย่าหาว่าโซตัสและการรับน้องไม่ดี อย่างน้อย ทหารตำรวจที่ผ่านโรงเรียนนายก้ก็เป็นโซตัส และทั้งนายกรัฐมนตรีและประธาน กปปส. ก็มาจากคณะที่เป็นโซตัสเหมือนกัน
ประสบการณืรับน้องจากสองมหาวิทยาลัย - จุดเริ่มต้น และมุมมองเรื่องรับน้องโหด
ซึ่งมุมมองในการรับน้องที่นำเสนอนั้น จะมองในมุมที่แตกต่างพอสมควร เพราะแม้จะเคยรับน้อง ของ มช. มาก่อน แต่ก็รับน้องของแม่โจ้ ในฐานะคนที่จบตรี มาแล้ว
ขอเริ่มเลย
มช.ต่างแม่โจ้อย่างอย่างหนึ่ง ซึ่งจริงๆก็อาจจะต่างจากมหาวิทยาลัยอื่นตรงที่ แม่โจ้มีความเป็นมหาวิทยาลัยสูง แต่ มช. มีความเป็นคณะสูง ทั้งนี้เพราะจุดเริ่มต้นที่แตกต่าง วึ่งมันโยงไปถึงการรับน้องด้วย
แม่โจ้ เกิดขึ้นมาในฐานะของโรงเรียนเกษตร แล้วพัฒนาไปสู่มหาวิทยาลัยในปัจจุบัน แต่ มช.ในปัจจุบันมาจากคณะเกิดใหม่ในอดีต ที่บางคณะนั้นกัดกันมาตั้งก่อนเข้ามหาวิทยาลัยเสียอีก ดังนั้นแม่โจ้จึงมีความเป้นกลุ่มก้อน แต่ มช.จะรวมกันเป็นกลุ่มๆคระใคร คณะมัน
จุดเริ่มต้นของการรับน้องแม่โจ้ ตำนานโซตัสของประเทศไทย
ก่อนยุคสร้างแม่โจ้ พื้นที่แม่โจ้ในปัจจุบันนั้น แห้งแล้ง จนมีคำกล่าวในเพลงของแม่โจ้ว่า แม้เป็นนกจะไม่โผผินบินผ่าน นั่นเพราะมันแล้งนั่นเอง
การรับน้องในยุคสร้างแม่โจ้ มาจากเหตุผลหลักๆคือ เพื่อสวัสดิภาพของนักเรียน และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของการอยู่ร่วมกัน
ที่ว่าสวัสดิภาพของนักเรียนนั้น มาจาก แม่โจ้นั้นอยู่ในเขตมาลาเรีย ดังนั้นนักเรียนแม่โจ้ในยุคแรกบางคนเรียนไม่จบเพราะเป็นไข้ป่าตาย รวมถึงการละลายพฤติกรรม ในส่วนการละลายพฤติกรรมนี้เองที่สืบประเพณีมาถึงปัจจุบัน เพราะสมัยก่อน นักศึกษาแม่โจ้มีตั้งแต่ลูกตาสีตาสา จนถึงลูกท้าวลูกพระยา ดังนั้นจึงไม่แปลกที่พวกลุกคุณหนูจากกรุงเทพมีของติดตัวจากบ้านมามาก และเมื่ออาศัยอยู่รวมกันจะทำให้เกิดความแตกต่างและปัญหาขึ้นภายหลัง จึงทำให้เกิดการรับน้องในยุคแรกคือ การปล้น ในตอนกลางดึก รุ่นพี่จะยิงปืนขึ้น แล้วต้อนรุ่นน้อง มารวมกันสิ่งของส่วนเกิน ทั้งเงินและของใช้เกินความจำเป็นจะถูกเก็บเข้าส่วนกลาง ส่วนของกิน จะถูกรุ่นพี่กิน และด้วยเหตุผลนี้เองทำให้การขโมยของของนักศึกษาแม่โจ้ด้วยกันบทลงโทษตามธรรมนูญแม่โจ้มีโทษหนักมาก วึ่งรูปแบบการรับน้องแม่โจ้ในปัจจุบันนั้นคือการจำลองเหตุการณ์รับน้องในอดีตนั่นเองและที่ผ่านมาก็มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบตามยุคสมัย
ยกตัวอย่างเช่น เหตุการระเบิดที่มาจากอุบัติเหตุ วึ่งมีการวิพากษ์วิจารณืไปต่างๆ นั้น ประทัดยักษ์ที่ใช้ ใช้เพื่อเป็นสัญญาณเลียนแบบการยิงปืนในสมัยก่อน
การริบสิ่งของมีค่าในช่วงรับน้องมาจากการปล้นในสมัยก่อน และที่สำคัญแผ่นดินแม่โจ้นั้นเจ้าที่แรงมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว สมัยก่อนใครหลบหลู่หรือผิดผีนั้น มักจะตายเอาง่ายๆ ดังนั้นในช่วงรับน้องนั้นมีข้อห้ามต่างๆเพื่อสวัสดิภาพของนักศึกษาจากสิ่งที่มองไม่เห็น
ยุคแม่โจ้เกรียงไร และจุดเริ่มต้นของการรับน้อง มช.
ยุคแม่โจ้เกียงไกรนั้น หมายถึงช่วงที่แม่โจ้ยกฐานะขึ้นจากเดิม น่าจะอยู่ในช่วง 2500 ต้น ยุคเดียวกับการสร้าง มช. เป็นยุคแห่งนักเรียนตีกัน กฏหลายอย่างเกิดมาเพราะยุคนี้เป็นยุคนักเรียนตีกันของเชียงใหม่ สถาบันการศึกษาต่างเช่น แม่โจ้ วิทยาลัยครู วิทยาลัย พละ เทคนิค เทคโน หรือตชด.แม่ริม นั้นตีกันบ่อยมาก ดังนั้นแม่โจ้จึงมีกฏว่าห้ามใส่เสื้อแม่โจ้เข้าเมือง เพื่อป้องกันการโดนตี และต่อมาเมื่อหมดยุคนักเรียนตีกัน ก็มีกฏให้ปี1แต่งชุดสุภาพเข้าเมือง เพื่อสะดวกในการระบุตัวตนและสามารถช่วยเหลือได้
และยุคนี้มันไปเกี่ยวกับการรับน้องตรง มช. ตรงที่ แรกเริ่มสร้าง มช.นั้นมี3คณะ คือวิทยาศาสตร์ มนุษยืและสังคม ต่อมารวมกับมหาวิทยาลัยแพทย์เชียงใหม่ วึ่งต่อมาคือคณะแพทย์ และสายสุขภาพทั้งหมด และมีคณะอื่นเพิ่มเข้ามาอย่าง วิศวะ เกษตร ศึกษา เป็นต้น นี่คือสาเหตุทำไมยุคนักเรียนตีกันมันเกี่ยวกับการรับน้อง มช. ก้เพราะแต่เดิม แม่โจ้(เกษตร) เทคโน(วิศวะ) วิทยาลัยครู+วิทยาลัยพละ(ศึกษา) มันตีกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่พอสร้างมช. จากคนละสถาบันและไม่ถูกกันเลยมาอยู่สถาบันเดียวกัน นอกจะจะตีกันแล้วยังนำการรับน้องมาใช้เพื่อความเป็นหนึ่งเดียวกันในหมู่คณะ และคณะเกิดใหม่ ก็สร้างการรับน้องขึ้นมาเพื่อความเข้มแข็งของกลุ่มก้อนตัวเอง ปัจจุบัน คณะใน มช.เท่าที่ทราบและประกาศตัวเป็นโซตัส ประกอบด้วย เกษตร ศึกษา วิศวะ และรับศาสตร์ ส่วนนอกนั้น หากไม่ใช่กึ่งโซตัส ก็มีการรับน้องเป็นของตัวเอง อย่างเช่นฝั่งสวนดอก หรือวิจิตร
มุมมองเรื่องการรับน้องโหด
จากที่เรียนแม่โจ้ ซึ่งบอกว่ารับน้องโหด อันนี้แล้วแต่มุมมองเลย เพราะว่าข่าว ข้อมูลต่างๆนั้นที่หลุดออกมานั้น มาจากกลุ่มผู้ดิสเครดิสมหาลัย วึ่งมีจุดประสงค์คือสร้างความเสียหายแก่ภาพลักษณ์ เพราะคนที่หวังดีย่อมไม่แอบถ่ายคลิปแน่ๆ วึ่งผมเมื่อรับน้องแม่โจ้ก็ไม่ใช่เฟรชชี่เสียทีเดียว เพราะจบจากมช.แล้ว ดังนั้นการรับน้องรุ่นผมมันจึงมีเหตุผลอยู่ในตัว
1.การรับน้องแม่โจ้ไม่ถือเป็นการละเมิดสิทธิ์ เพราะนักศึกษาใหม่ใช้สิทธิ์ในการเลือกที่จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมการรับนอกตั้งแต่แรกแล้วและยังต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง ดังนั้นจึงไม่สามารถเอาเรื่องการละเมิดสิทธิ์ไปต่อสู้ในชั้นศาลได้
2.กิจกรรมทั้งหมด มีรูปแบบโครงการตรวจสอบได้ มีอาจารย์ควบคุมดูแลทุกขั้นตอนจริง และหากพบว่าการกระทำนอกเหนือจากเหตุที่สมควร เช่น ทำร้ายร่างกาย หรือให้รุ่นน้องทานเหล้า สามารถแจ้งไปที่มหาวิทยาลัยเพื่อลงโทษรุ่นพี่ได้ โทษสูงสุดคือสิ้นสภาพการศึกษา
3.ทุกกิจกรรมนั้นมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงความเหมาะสมตามยุคสมัยและผ่านกรรมการพิจารณาแล้ว
4.กิจกรรมรับน้องของแม่โจ้ไม่ได้ลักลอบจัด และผ่านการพิจารณาแล้ว ดังนั้นจะจัดว่าเป็นการรับน้องโหดไม่ได้
5.อุบัติเหตุจากการรับน้องไม่ได้มาจากความรุนแรงในการทำกิจกรรม แต่ส่วนใหญ่เกิดจากสภาพร่างกายของนักศึกษาเองและฝืนจนเกิดร่างกายจะรับไหว ซึ่งตลอดกิจกรรม ทางมหาวิทยาลัยได้ประสานกับโรงพยาบาลสันทรายตลอดเวลา
ส่วนการรับน้องของมช.จะคล้ายๆของแม่โจ้คือ ทั้งส่วนของมหาวิทยาลัยและคณะทุกกิจกรรมต้องผ่านความเห็นชอบ มีอาจารยืดูแลทุกขั้นตอน สามารถตรวจสอบได้ ไม่มีการลักลอบจัดกิจกรรม และการรับน้องจังหวัดจะอยู่ภายใต้การดูแลของมหาวิทยาลัยด้วย
ซึ่งจากที่บอกไป ก็คือ โหดไม่โหดมันอยู่ที่มุมมอง เพราะทุกกิจกรรมทุกกิจกรรมนั้นผ่านการพิจารณาจากอาจารย์และผู้บริหารและควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด
ป.ล.อย่าหาว่าโซตัสและการรับน้องไม่ดี อย่างน้อย ทหารตำรวจที่ผ่านโรงเรียนนายก้ก็เป็นโซตัส และทั้งนายกรัฐมนตรีและประธาน กปปส. ก็มาจากคณะที่เป็นโซตัสเหมือนกัน