Tips (สั้น) ๆ เกี่ยวกับประเทศเอธิโอเปียครับ
1. เพื่อนร่วมทริป สำคัญมากจริง ๆ
เพราะคุณจะต้องนั่งรถด้วยกันเป็นระยะเวลายาวนานมาก
ซึ่งคุณไม่ควรเป็นเพื่อนที่สนิทกันแล้วนะครับ เดี๋ยวจะไม่มีเรื่องคุยกัน
ตอนแรกไม่เคยมีประเทศนี้อยู่ในแพลนเลย จนคุณแม่บ้าน Nukpida ซึ่งเป็นแฟนเก่าของเพื่อนผมมาชวนไปเที่ยวกันสองคน
นุกดาถือเป็นเรื่องที่ผมประทับใจที่สุดในทริปนี้
ถ้าใครเคยเดินทางกับนุกดา จะต้องเห็นด้วยกับผมแน่นอน
ถึงจะเป็นผู้หญิง แต่เดินได้อึดมาก ไม่มีบ่นเลย กินข้าวก็ไม่มีการกลัวอ้วน ไม่กล้าชิมโน่นนี่นั่น เวลาสั่งอาหารมา ก็ช่วยกันทานจนหมด ไม่ใช่สั่งมาแล้วทานนิดหน่อย บอกอิ่มแล้ว
เป็นคนกินอยู่ง่ายมากกก และถึงแม้เราจะต้องนอนห้องเดียวกันเป็นเวลา 18 วัน แต่ก็ไม่มีท่าทีอึดอัด หรือบ่นอะไรเลย ผมยังทักเลยว่า คุณสามีจะไม่ว่าอะไรเหรอ นุกดาบอกว่า ถ้าเป็นผม ไม่เป็นไรหรอก เพราะแฟนเก่าเค้ารับรองว่า ผมไม่ใช่คนฉวยโอกาสอะไรแบบนั้นแน่นอน
เนื่องจากเราใช้เวลาด้วยกัน 24 ชม. ตลอด 18 วัน เราคุยกันทุกเรื่องจนไม่มีเรื่องจะคุย ต้องมาคุยกันเรื่องแฟนเก่า
จากคนไม่เคยเห็นหน้ากัน (อาจเคยเจอกันตอนเป็นแฟนกับเพื่อนผม แต่ก็แบบแป๊บ ๆ จำไม่ได้เลย) พอจบทริป เราสนิทกันมาก เหมือนพี่ชายน้องสาวเลยทีเดียว
นุกดายังเป็นคนร่าเริงได้ในทุกสถานการณ์ และสามารถเล่นเกมเกมเดียวได้ตลอดทั้งทริป ทั้งที่นี่และที่อเมริกากลาง ได้โดยไม่เบื่อ
ดังนั้นถ้าคุณอยากไปประเทศแปลก ๆ อย่าลืมชวนน้องสาวคนนี้ไปเป็นเพื่อนคุณด้วยนะครับ
2. ค่าใช้จ่าย
คิดว่าทุกคนคงพอทราบว่า ถึงแม้จะเป็นประเทศที่ยากจนติดอันดับ หนึ่งในสิบของโลก
แต่ค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะการเดินทาง ไม่ใช่เป็นของถูก ๆ เลยครับ บางสถานที่ เช่น Danakil depression, Er'tale ยังห้ามนักท่องเที่ยวเข้าไปโดยไม่มีไกด์อีกด้วย
การซื้อทัวร์ไปเที่ยวบริเวณดังกล่าว คุณจำเป็นต้องมี ไกด์หนึ่งคน ไกด์ local หนึ่งคน คนขับรถสองคน ตำรวจหนึ่งคน แม่ครัวหนึ่งคน ดังนั้นถ้าคุณไปกันหลายคน อาจช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ลงไปได้
3. อาหาร
อาหารไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมและนุกดา เพราะเป็นคนทานง่ายและชอบลองของแปลกด้วยกันทั้งคู่ แต่สำหรับคนที่ทานยาก แนะนำให้พกอาหารสำเร็จรูปติดตัวไปบ้าง
อาหารหลักของเอธิโอเปีย คือแป้งเอนเจรา (คล้ายกับข้าวสวยบ้านเรา) รสชาติออกเปรี้ยว
ผมและนุกดา ลองทานกันแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น แต่มันไม่อร่อยจริง ๆ ครับ
ที่น่าแปลกใจคือ พิซซ่าที่นี่อร่อยมากครับ เรากินพิซซ่ากับสลัดหรือน้ำซุปกันบ่อยมาก
และถึงจะไม่มีพื้นที่ติดทะเล แต่เมนูปลาย่างของประเทศนี้ก็อร่อยมากเช่นกันครับ
กาแฟเอธิโอเปีย ขึ้นชื่อเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
กระทั่งร้าน Starbucks ยังต้องมาสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก
ขนาดปกติผมไม่ทานกาแฟ อยู่ที่นี่ผมทานแทบทุกมื้อ
แนะนำแมคคิอาโตครับ เพราะจะรสชาติกำลังดี กลมกล่อม
ถ้าเป็นคอกาแฟดำ ลองสั่ง espresso ดูได้ครับ แต่ผมลองแล้วขมมาก
4. การถ่ายรูป
เหมือนบางประเทศที่ยากจน การขอเงินจากนักท่องเที่ยวถือเป็นรายได้หลักส่วนนึงของคนที่นี่
โดยเฉพาะชนเผ่า Musri ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก (เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของนุกดาในทริปนี้เลยทีเดียว) เป็นชนเผ่าที่มีการใส่จานไว้ที่ขอบริมฝีปากล่าง โดยเฉพาะสุภาพสตรี
ส่วนใหญ่จะคิดเงิน 1 รูป/5 Bihr ครับ ถ้าคุณต้องการรูปจำนวนมาก ให้ต่อรองราคากันให้เรียบร้อยก่อนจะได้ไม่มีปัญหากันในภายหลังนะครับ
เพราะชนเผ่านี้เคยเป็นชนเผ่า "กินคน" มาก่อน
ถึงจะเลิกประเพณีนี้ไปนานแล้ว แต่ก็ยังถือว่า มีความดุร้ายกว่าชนเผ่าอื่นในแถบ Omo Valley ครับ
ถ้าต้องการถ่ายรูปกับคนท้องถิ่น ต้องถามเค้าก่อนว่า อนุญาติหรือไม่ หรือคิดราคาเท่าไหร่
จะใช้วิธีแบบผม ที่เอาปากกา ลูกอม ขนม ไปแจกเด็ก ๆ เพื่อขอถ่ายรูป
หรือของนุกดา ที่ใช้ Iphone พร้อมด้วยเคสหน้าตาแบบกระเป๋าถือ พร้อม motto ประจำตัว คือ she เป็นนางงามมิตรภาพ ไปหลอกล่อคนท้องถิ่น จนได้รูปมาเยอะมากกกก
5. น้ำประปา
เนื่องจากน้ำถือเป็นทรัพยากรหายากในประเทศนี้ ดังนั้นการเกิดเหตุการณ์น้ำไม่ไหล โดยเฉพาะในดินแดนห่างไกลความเจริญ ถือเป็นเรื่องปกติที่คุณอาจต้องเจอ
การแก้ปัญหา คือ ซื้อน้ำดื่มเป็นแพค มาใช้อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน แต่อย่าทำในที่สาธารณะ เพราะมันจะเป็นจุดสนใจ อาจทำให้คนไม่พอใจที่คุณใชัทรัพยากรมีค่าของเค้าแบบสิ้นเปลืองครับ
ขวดเปล่า กรุณาอย่าทิ้งนะครับ คุณเก็บรวบรวมเอาไว้ให้กับคนท้องถิ่น บริเวณยากไร้ครับ เพราะเค้าไม่มีเงินที่จะไปซื้อน้ำดื่มทานอย่างพวกเรา ๆ
น้ำดื่มต้องรอจากทางรัฐบาลมาส่งวันละครั้ง การอาบน้ำคือการใช้น้ำคลองเท่านั้น ซึ่งโดยปกติ จะอาบกันวันละครั้งเท่านั้น ดังนั้นกลิ่นสาปอาจจะมีให้ระคายจมูกพวกเราบ้าง แต่อยู่ไปซักพักก็ชินครับ
6. ความปลอดภัย
ประเทศนี้ถือว่ามีอาชญากรรมกับนักท่องเที่ยวน้อยมากครับ แต่การเลือกบริษัททัวร์ โดยใช้ราคาถูกเป็นตัวเลือกนั้น ไม่คุ้มความเสี่ยงที่เราจะได้รับโดยสิ้นเชิงครับ อย่างที่ผมเคยเล่าใน สิบเหตุการณ์ประทับใจในชีวิต
รถที่เรานั่งขับคู่คี่มากับรถอีกคันที่ประสบอุบัติเหตุ จนคนขับเสียชีวิต นักท่องเที่ยวเสียชีวิตไปหนึ่ง บาดเจ็บสาหัสอีกสองคน ทั้งที่บริเวณนั้นเป็นทะเลทรายเวิ้งว้าง มีเพียงฝุ่นตลบที่เกิดจากรถของพวกเราเท่านั้น แค่คิดว่า ถ้าเป็น "เรา" สองคนที่อยู่ในรถคันนั้น คงเป็นการเอาชีวิตมาทิ้งโดยที่กว่าจะมีคนรู้เรื่อง น่าจะใช้เวลาเป็นสัปดาห์ครับ
7. ความสะดวกสบาย
เรื่องแรกคือ internet ที่ไหนมีให้ใช้ คุณจงรีบใช้ครับ เพราะมีที่ที่คุณไม่สามารถหาสัญญาณ Wifi ได้เป็นจำนวนมากครับ เรียกว่านับครั้งได้ที่ที่พักของเรามีไวไฟให้ใช้ครับ
เรื่องที่สอง คือ ถึงแม้เราจะต้องจ่ายค่าทัวร์เป็นเงินจำนวนมาก อย่างที่เราไปกันสองคน เป็นเงิน 4,400 US$/คน แพงมากใช่มั้ยครับ
ราคานี้ไม่รวมค่าอาหารกลางวันและมื้อเย็นที่ไม่ได้อยู่ในบริเวณ Danakil depression นะครับ ค่าตั๋วในประเทศ ค่าถ่ายรูปกับคนในท้องถิ่น ล้วนต้องจ่ายเองต่างหากครับ
แต่ถือว่า เราจ่ายเงินแสนเพื่อไปซื้อความลำบากจริง ๆ ครับ ต้องนอนกลางทะเลทราย อาบน้ำในเพิงที่ทำขึ้นมาเฉพาะกิจ
วันที่นอนค้างบริเวณยอดภูเขาไฟ ต้องนอนในบังเกอร์ของทหารกลางแจ้ง พร้อมกลิ่นฉี่และอึของอูฐเป็นของแถม
ขาขึ้นเราต้องเดินกลางทะเลทราย ตั้งแต่เช้า กว่าจะถึงบริเวณปากปล่องภูเขาไฟ ก็เป็นเวลา 2-3 ทุ่มแล้วครับ เพราะเป็นการเดินขึ้นเขา ขาลงเร็วกว่าหน่อย แต่ก้อน่าจะครึ่งวันเป็นอย่างน้อย แนะนำให้เอา พวกถั่ว energy bar ไปทานระหว่างทางด้วยครับ
8. ความบันเทิงส่วนตัว
เนื่องจากเราต้องนั่งรถนานมาก จึงควรนำเอาเพลงและลำโพงพกพา ติดตัวไปด้วยครับ เพราะเพลงของเค้านอกจากจะฟังไม่รู้เรื่องแล้ว ยังชวนหลับอีกต่างหาก แถมคนขับรถยังชอบเพลงที่เราเปิดมาก ๆ จนต้องมีการเรียกร้องขอ Music จากพวกเราทุกครั้งที่ขึ้นรถ
ผมโหลดหนังไปดูบน Ipad ด้วยครับ ซึ่งก็ได้ดูจริง ๆ ในคืนที่เรานอนในทะเลทราย แถมยังเจอพายุทราย จนนอนกลางแจ้งไม่ได้ ต้องมุดเข้าไปนอนในเต้นท์ร้อนอบอ้าวมาก แถมยังมืดสนิท อาศัยหนังนี่ล่ะครับ เป็นเครื่องผ่อนคลายให้ลืมความร้อนไปได้
9. มรดกโลก
ถึงแม้จะเป็นประเทศยากจน แต่ที่นี่มีมรดกโลกถึง 10-11 แห่ง เช่น Tiya, Lalibela, Danakil depression เป็นต้น
แต่อย่าคาดหวังความอลังการงานสร้างเอาไว้ให้มากจนเกินไปครับ เพราะอาจจะผิดหวังเล็ก ๆ ได้ครับ
10. เครื่องดื่ม
นอกจากกาแฟแล้วที่อยากให้ลองชิมคือ Layered Juice ครับ เป็นน้ำผลไม้หลากสีหลายชนิด ที่ซ้อนกันมาเป็นชั้น ๆ ให้คุณดับกระหาย เราสองคนดื่มแทบทุกวันเลยครับ
อีกอย่างคือ Honey wine เป็นเหมือนคอกเทลแรงพอสมควรทีเดียว อร่อยดีครับ ทำให้การไปเที่ยวผับของเราสนุกขึ้นอีกเยอะ
แถมขากลับยังซัดกันจนเกือบเมาขึ้นเครื่องอีกต่างหาก
11. การจูงมือ
การจูงมือของผู้ชายกับผู้ชายถือเป็นเรื่องปกติของที่นี่ครับ
ไม่ได้หมายความว่า เค้าเป็นเกย์แต่อย่างใด
ที่คิดออกตอนนี้มีเท่านี้ครับ หวังว่า ทิป"สั้น ๆ" ของผม คงเป็นประโยชน์กับทุกคนนะครับ
[CR] เอธิโอเปีย ดินแดนมรดกโลก
1. เพื่อนร่วมทริป สำคัญมากจริง ๆ
เพราะคุณจะต้องนั่งรถด้วยกันเป็นระยะเวลายาวนานมาก
ซึ่งคุณไม่ควรเป็นเพื่อนที่สนิทกันแล้วนะครับ เดี๋ยวจะไม่มีเรื่องคุยกัน
ตอนแรกไม่เคยมีประเทศนี้อยู่ในแพลนเลย จนคุณแม่บ้าน Nukpida ซึ่งเป็นแฟนเก่าของเพื่อนผมมาชวนไปเที่ยวกันสองคน
นุกดาถือเป็นเรื่องที่ผมประทับใจที่สุดในทริปนี้
ถ้าใครเคยเดินทางกับนุกดา จะต้องเห็นด้วยกับผมแน่นอน
ถึงจะเป็นผู้หญิง แต่เดินได้อึดมาก ไม่มีบ่นเลย กินข้าวก็ไม่มีการกลัวอ้วน ไม่กล้าชิมโน่นนี่นั่น เวลาสั่งอาหารมา ก็ช่วยกันทานจนหมด ไม่ใช่สั่งมาแล้วทานนิดหน่อย บอกอิ่มแล้ว
เป็นคนกินอยู่ง่ายมากกก และถึงแม้เราจะต้องนอนห้องเดียวกันเป็นเวลา 18 วัน แต่ก็ไม่มีท่าทีอึดอัด หรือบ่นอะไรเลย ผมยังทักเลยว่า คุณสามีจะไม่ว่าอะไรเหรอ นุกดาบอกว่า ถ้าเป็นผม ไม่เป็นไรหรอก เพราะแฟนเก่าเค้ารับรองว่า ผมไม่ใช่คนฉวยโอกาสอะไรแบบนั้นแน่นอน
เนื่องจากเราใช้เวลาด้วยกัน 24 ชม. ตลอด 18 วัน เราคุยกันทุกเรื่องจนไม่มีเรื่องจะคุย ต้องมาคุยกันเรื่องแฟนเก่า
จากคนไม่เคยเห็นหน้ากัน (อาจเคยเจอกันตอนเป็นแฟนกับเพื่อนผม แต่ก็แบบแป๊บ ๆ จำไม่ได้เลย) พอจบทริป เราสนิทกันมาก เหมือนพี่ชายน้องสาวเลยทีเดียว
นุกดายังเป็นคนร่าเริงได้ในทุกสถานการณ์ และสามารถเล่นเกมเกมเดียวได้ตลอดทั้งทริป ทั้งที่นี่และที่อเมริกากลาง ได้โดยไม่เบื่อ
ดังนั้นถ้าคุณอยากไปประเทศแปลก ๆ อย่าลืมชวนน้องสาวคนนี้ไปเป็นเพื่อนคุณด้วยนะครับ
2. ค่าใช้จ่าย
คิดว่าทุกคนคงพอทราบว่า ถึงแม้จะเป็นประเทศที่ยากจนติดอันดับ หนึ่งในสิบของโลก
แต่ค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะการเดินทาง ไม่ใช่เป็นของถูก ๆ เลยครับ บางสถานที่ เช่น Danakil depression, Er'tale ยังห้ามนักท่องเที่ยวเข้าไปโดยไม่มีไกด์อีกด้วย
การซื้อทัวร์ไปเที่ยวบริเวณดังกล่าว คุณจำเป็นต้องมี ไกด์หนึ่งคน ไกด์ local หนึ่งคน คนขับรถสองคน ตำรวจหนึ่งคน แม่ครัวหนึ่งคน ดังนั้นถ้าคุณไปกันหลายคน อาจช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ลงไปได้
3. อาหาร
อาหารไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมและนุกดา เพราะเป็นคนทานง่ายและชอบลองของแปลกด้วยกันทั้งคู่ แต่สำหรับคนที่ทานยาก แนะนำให้พกอาหารสำเร็จรูปติดตัวไปบ้าง
อาหารหลักของเอธิโอเปีย คือแป้งเอนเจรา (คล้ายกับข้าวสวยบ้านเรา) รสชาติออกเปรี้ยว
ผมและนุกดา ลองทานกันแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น แต่มันไม่อร่อยจริง ๆ ครับ
ที่น่าแปลกใจคือ พิซซ่าที่นี่อร่อยมากครับ เรากินพิซซ่ากับสลัดหรือน้ำซุปกันบ่อยมาก
และถึงจะไม่มีพื้นที่ติดทะเล แต่เมนูปลาย่างของประเทศนี้ก็อร่อยมากเช่นกันครับ
กาแฟเอธิโอเปีย ขึ้นชื่อเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
กระทั่งร้าน Starbucks ยังต้องมาสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก
ขนาดปกติผมไม่ทานกาแฟ อยู่ที่นี่ผมทานแทบทุกมื้อ
แนะนำแมคคิอาโตครับ เพราะจะรสชาติกำลังดี กลมกล่อม
ถ้าเป็นคอกาแฟดำ ลองสั่ง espresso ดูได้ครับ แต่ผมลองแล้วขมมาก
4. การถ่ายรูป
เหมือนบางประเทศที่ยากจน การขอเงินจากนักท่องเที่ยวถือเป็นรายได้หลักส่วนนึงของคนที่นี่
โดยเฉพาะชนเผ่า Musri ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก (เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของนุกดาในทริปนี้เลยทีเดียว) เป็นชนเผ่าที่มีการใส่จานไว้ที่ขอบริมฝีปากล่าง โดยเฉพาะสุภาพสตรี
ส่วนใหญ่จะคิดเงิน 1 รูป/5 Bihr ครับ ถ้าคุณต้องการรูปจำนวนมาก ให้ต่อรองราคากันให้เรียบร้อยก่อนจะได้ไม่มีปัญหากันในภายหลังนะครับ
เพราะชนเผ่านี้เคยเป็นชนเผ่า "กินคน" มาก่อน
ถึงจะเลิกประเพณีนี้ไปนานแล้ว แต่ก็ยังถือว่า มีความดุร้ายกว่าชนเผ่าอื่นในแถบ Omo Valley ครับ
ถ้าต้องการถ่ายรูปกับคนท้องถิ่น ต้องถามเค้าก่อนว่า อนุญาติหรือไม่ หรือคิดราคาเท่าไหร่
จะใช้วิธีแบบผม ที่เอาปากกา ลูกอม ขนม ไปแจกเด็ก ๆ เพื่อขอถ่ายรูป
หรือของนุกดา ที่ใช้ Iphone พร้อมด้วยเคสหน้าตาแบบกระเป๋าถือ พร้อม motto ประจำตัว คือ she เป็นนางงามมิตรภาพ ไปหลอกล่อคนท้องถิ่น จนได้รูปมาเยอะมากกกก
5. น้ำประปา
เนื่องจากน้ำถือเป็นทรัพยากรหายากในประเทศนี้ ดังนั้นการเกิดเหตุการณ์น้ำไม่ไหล โดยเฉพาะในดินแดนห่างไกลความเจริญ ถือเป็นเรื่องปกติที่คุณอาจต้องเจอ
การแก้ปัญหา คือ ซื้อน้ำดื่มเป็นแพค มาใช้อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน แต่อย่าทำในที่สาธารณะ เพราะมันจะเป็นจุดสนใจ อาจทำให้คนไม่พอใจที่คุณใชัทรัพยากรมีค่าของเค้าแบบสิ้นเปลืองครับ
ขวดเปล่า กรุณาอย่าทิ้งนะครับ คุณเก็บรวบรวมเอาไว้ให้กับคนท้องถิ่น บริเวณยากไร้ครับ เพราะเค้าไม่มีเงินที่จะไปซื้อน้ำดื่มทานอย่างพวกเรา ๆ
น้ำดื่มต้องรอจากทางรัฐบาลมาส่งวันละครั้ง การอาบน้ำคือการใช้น้ำคลองเท่านั้น ซึ่งโดยปกติ จะอาบกันวันละครั้งเท่านั้น ดังนั้นกลิ่นสาปอาจจะมีให้ระคายจมูกพวกเราบ้าง แต่อยู่ไปซักพักก็ชินครับ
6. ความปลอดภัย
ประเทศนี้ถือว่ามีอาชญากรรมกับนักท่องเที่ยวน้อยมากครับ แต่การเลือกบริษัททัวร์ โดยใช้ราคาถูกเป็นตัวเลือกนั้น ไม่คุ้มความเสี่ยงที่เราจะได้รับโดยสิ้นเชิงครับ อย่างที่ผมเคยเล่าใน สิบเหตุการณ์ประทับใจในชีวิต
รถที่เรานั่งขับคู่คี่มากับรถอีกคันที่ประสบอุบัติเหตุ จนคนขับเสียชีวิต นักท่องเที่ยวเสียชีวิตไปหนึ่ง บาดเจ็บสาหัสอีกสองคน ทั้งที่บริเวณนั้นเป็นทะเลทรายเวิ้งว้าง มีเพียงฝุ่นตลบที่เกิดจากรถของพวกเราเท่านั้น แค่คิดว่า ถ้าเป็น "เรา" สองคนที่อยู่ในรถคันนั้น คงเป็นการเอาชีวิตมาทิ้งโดยที่กว่าจะมีคนรู้เรื่อง น่าจะใช้เวลาเป็นสัปดาห์ครับ
7. ความสะดวกสบาย
เรื่องแรกคือ internet ที่ไหนมีให้ใช้ คุณจงรีบใช้ครับ เพราะมีที่ที่คุณไม่สามารถหาสัญญาณ Wifi ได้เป็นจำนวนมากครับ เรียกว่านับครั้งได้ที่ที่พักของเรามีไวไฟให้ใช้ครับ
เรื่องที่สอง คือ ถึงแม้เราจะต้องจ่ายค่าทัวร์เป็นเงินจำนวนมาก อย่างที่เราไปกันสองคน เป็นเงิน 4,400 US$/คน แพงมากใช่มั้ยครับ
ราคานี้ไม่รวมค่าอาหารกลางวันและมื้อเย็นที่ไม่ได้อยู่ในบริเวณ Danakil depression นะครับ ค่าตั๋วในประเทศ ค่าถ่ายรูปกับคนในท้องถิ่น ล้วนต้องจ่ายเองต่างหากครับ
แต่ถือว่า เราจ่ายเงินแสนเพื่อไปซื้อความลำบากจริง ๆ ครับ ต้องนอนกลางทะเลทราย อาบน้ำในเพิงที่ทำขึ้นมาเฉพาะกิจ
วันที่นอนค้างบริเวณยอดภูเขาไฟ ต้องนอนในบังเกอร์ของทหารกลางแจ้ง พร้อมกลิ่นฉี่และอึของอูฐเป็นของแถม
ขาขึ้นเราต้องเดินกลางทะเลทราย ตั้งแต่เช้า กว่าจะถึงบริเวณปากปล่องภูเขาไฟ ก็เป็นเวลา 2-3 ทุ่มแล้วครับ เพราะเป็นการเดินขึ้นเขา ขาลงเร็วกว่าหน่อย แต่ก้อน่าจะครึ่งวันเป็นอย่างน้อย แนะนำให้เอา พวกถั่ว energy bar ไปทานระหว่างทางด้วยครับ
8. ความบันเทิงส่วนตัว
เนื่องจากเราต้องนั่งรถนานมาก จึงควรนำเอาเพลงและลำโพงพกพา ติดตัวไปด้วยครับ เพราะเพลงของเค้านอกจากจะฟังไม่รู้เรื่องแล้ว ยังชวนหลับอีกต่างหาก แถมคนขับรถยังชอบเพลงที่เราเปิดมาก ๆ จนต้องมีการเรียกร้องขอ Music จากพวกเราทุกครั้งที่ขึ้นรถ
ผมโหลดหนังไปดูบน Ipad ด้วยครับ ซึ่งก็ได้ดูจริง ๆ ในคืนที่เรานอนในทะเลทราย แถมยังเจอพายุทราย จนนอนกลางแจ้งไม่ได้ ต้องมุดเข้าไปนอนในเต้นท์ร้อนอบอ้าวมาก แถมยังมืดสนิท อาศัยหนังนี่ล่ะครับ เป็นเครื่องผ่อนคลายให้ลืมความร้อนไปได้
9. มรดกโลก
ถึงแม้จะเป็นประเทศยากจน แต่ที่นี่มีมรดกโลกถึง 10-11 แห่ง เช่น Tiya, Lalibela, Danakil depression เป็นต้น
แต่อย่าคาดหวังความอลังการงานสร้างเอาไว้ให้มากจนเกินไปครับ เพราะอาจจะผิดหวังเล็ก ๆ ได้ครับ
10. เครื่องดื่ม
นอกจากกาแฟแล้วที่อยากให้ลองชิมคือ Layered Juice ครับ เป็นน้ำผลไม้หลากสีหลายชนิด ที่ซ้อนกันมาเป็นชั้น ๆ ให้คุณดับกระหาย เราสองคนดื่มแทบทุกวันเลยครับ
อีกอย่างคือ Honey wine เป็นเหมือนคอกเทลแรงพอสมควรทีเดียว อร่อยดีครับ ทำให้การไปเที่ยวผับของเราสนุกขึ้นอีกเยอะ
แถมขากลับยังซัดกันจนเกือบเมาขึ้นเครื่องอีกต่างหาก
11. การจูงมือ
การจูงมือของผู้ชายกับผู้ชายถือเป็นเรื่องปกติของที่นี่ครับ
ไม่ได้หมายความว่า เค้าเป็นเกย์แต่อย่างใด
ที่คิดออกตอนนี้มีเท่านี้ครับ หวังว่า ทิป"สั้น ๆ" ของผม คงเป็นประโยชน์กับทุกคนนะครับ