พุทธวจน
ภิกษุย่อมรู้จักใจ รู้จัก
ธรรมารมณ์ และรู้จักใจและธรรมารมณ์ทั้ง ๒ นั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิดของ
สังโยชน์
.......................................................................................
ผู้มีความสงสัย เคลือบแคลง ไม่แน่ใจในสัทธรรม
กรรมทั้งหลายที่อนัตตาทำ จักถูกต้องตัวได้อย่างไร
ความสะดุ้งกลัวและอุปาทาน
ย่อมเกิดขึ้น ใจก็ถอยกลับอย่างนี้ว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ อะไรเล่าเป็นตนของเรา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ก็ความเป็นผู้มีความสงสัย เคลือบแคลง ไม่แน่ใจในสัทธรรม
เช่นนั้นเป็นสังขาร.
ก็สังขารนั้น มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิดขึ้น มีอะไรเป็น
กำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! สังขารนั้น เกิดจากตัณหาที่เกิดขึ้น แก่ปุถุชน
ผู้มิได้สดับ ผู้อันความเสวยอารมณ์ที่เกิดแต่อวิชชาสัมผัสถูกต้อง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย !
ด้วยประการฉะนี้แล แม้สังขารนั้น ก็ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง
อาศัยเหตุเกิดขึ้น
แม้ตัณหานั้นแม้เวทนานั้น แม้ผัสสะนั้น แม้อวิชชานั้น ก็ไม่เที่ยง
อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุเกิดนั้น.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย !
เมื่อบุคคลแม้รู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ อาสวะทั้งหลาย ย่อมสิ้นไปโดย
ลำดับ.
.......................................................................................................................
เมื่อทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย อวิชชาคืออาสวะ ที่ยังไม่เกิด ก็ย่อมเกิดขึ้น ที่เกิดแล้ว ก็เจริญยิ่งขึ้น
อวิชชาคืออาสวะ
อวิชชาคือธรรมารมณ์
อวิชชาคือธรรมารมณ์กระทบใจเกิดเวทนา
เวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปทาน
เพราะมีอุปทาน จึง มีความเร่าร้อนเพราะขันธิ์5 จึงเกิดขึ้น
เพราะมีความเร่าร้อนเพราะเพราะขันธิ์5 เกิดขึ้นจึงมี
มโนสัญเจตนาหาร
...................................................................................................
พุทธวจน
บุรุษมีกำลังสองคนช่วยกันจับบุรุษนั้นที่แขนคนละข้าง ฉุดเข้าไป
ในหลุมถ่านเพลิง.
ดูกรมาคัณฑิยะ ! ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นจะต้องดิ้นรนไป
อย่างนี้ๆ บ้างซิหนอ?
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ก็มโนสัญเจตนาหาร จะพึงเห็นได้อย่างไร ?
เหมือนอย่างว่า มีหลุมถ่านเพลิงอยู่แห่งหนึ่ง ลึกมากกว่าชั่วบุรุษเต็มไปด้วยถ่านเพลิง
ไม่มีเปลว ไม่มีควัน
ครั้งนั้นมีบุรุษคนหนึ่ง อยากมีชีวิตอยู่ ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์เดินมา
บุรุษ ๒ คน มีกำลัง จับเขาที่แขนข้างละคน คร่าไปสู่หลุมถ่านเพลิง
ทันใดนั้นเอง เขามีเจตนาปรารถนาตั้งใจ อยากจะไกลจากหลุมถ่านเพลิง
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเขารู้ว่าถ้าเขาจักตกหลุมถ่านเพลิงนี้ ก็จักต้องตายหรือถึงทุกข์แทบตาย
ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า พึงเห็นมโนสัญเจตนาหาร ฉันนั้นเหมือนกัน
เมื่ออริยสาวกกำหนดมโนสัญเจตนาหาร ได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้ตัณหาทั้งสามได้แล้ว
เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้ตัณหาทั้งสามได้แล้ว เรากล่าวว่าไม่มี
สิ่งใดที่อริยสาวกพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว
เปิดธรรมที่ถูกปิด อวิชชาลวงใจ อวิชชาเป็นธรรมารมณ์ อวิชชาเป็นสังโยชน์ อวิชชาเป็นอาสวะ
ภิกษุย่อมรู้จักใจ รู้จัก
ธรรมารมณ์ และรู้จักใจและธรรมารมณ์ทั้ง ๒ นั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิดของ
สังโยชน์
.......................................................................................
ผู้มีความสงสัย เคลือบแคลง ไม่แน่ใจในสัทธรรม
กรรมทั้งหลายที่อนัตตาทำ จักถูกต้องตัวได้อย่างไร
ความสะดุ้งกลัวและอุปาทาน
ย่อมเกิดขึ้น ใจก็ถอยกลับอย่างนี้ว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ อะไรเล่าเป็นตนของเรา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ก็ความเป็นผู้มีความสงสัย เคลือบแคลง ไม่แน่ใจในสัทธรรม
เช่นนั้นเป็นสังขาร.
ก็สังขารนั้น มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิดขึ้น มีอะไรเป็น
กำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! สังขารนั้น เกิดจากตัณหาที่เกิดขึ้น แก่ปุถุชน
ผู้มิได้สดับ ผู้อันความเสวยอารมณ์ที่เกิดแต่อวิชชาสัมผัสถูกต้อง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! ด้วยประการฉะนี้แล แม้สังขารนั้น ก็ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง
อาศัยเหตุเกิดขึ้น แม้ตัณหานั้นแม้เวทนานั้น แม้ผัสสะนั้น แม้อวิชชานั้น ก็ไม่เที่ยง
อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุเกิดนั้น.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อบุคคลแม้รู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ อาสวะทั้งหลาย ย่อมสิ้นไปโดย
ลำดับ.
.......................................................................................................................
เมื่อทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย อวิชชาคืออาสวะ ที่ยังไม่เกิด ก็ย่อมเกิดขึ้น ที่เกิดแล้ว ก็เจริญยิ่งขึ้น
อวิชชาคืออาสวะ
อวิชชาคือธรรมารมณ์
อวิชชาคือธรรมารมณ์กระทบใจเกิดเวทนา
เวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปทาน
เพราะมีอุปทาน จึง มีความเร่าร้อนเพราะขันธิ์5 จึงเกิดขึ้น
เพราะมีความเร่าร้อนเพราะเพราะขันธิ์5 เกิดขึ้นจึงมี
มโนสัญเจตนาหาร
...................................................................................................
พุทธวจน
บุรุษมีกำลังสองคนช่วยกันจับบุรุษนั้นที่แขนคนละข้าง ฉุดเข้าไป
ในหลุมถ่านเพลิง.
ดูกรมาคัณฑิยะ ! ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นจะต้องดิ้นรนไป
อย่างนี้ๆ บ้างซิหนอ?
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ก็มโนสัญเจตนาหาร จะพึงเห็นได้อย่างไร ?
เหมือนอย่างว่า มีหลุมถ่านเพลิงอยู่แห่งหนึ่ง ลึกมากกว่าชั่วบุรุษเต็มไปด้วยถ่านเพลิง
ไม่มีเปลว ไม่มีควัน
ครั้งนั้นมีบุรุษคนหนึ่ง อยากมีชีวิตอยู่ ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์เดินมา
บุรุษ ๒ คน มีกำลัง จับเขาที่แขนข้างละคน คร่าไปสู่หลุมถ่านเพลิง
ทันใดนั้นเอง เขามีเจตนาปรารถนาตั้งใจ อยากจะไกลจากหลุมถ่านเพลิง
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเขารู้ว่าถ้าเขาจักตกหลุมถ่านเพลิงนี้ ก็จักต้องตายหรือถึงทุกข์แทบตาย
ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า พึงเห็นมโนสัญเจตนาหาร ฉันนั้นเหมือนกัน
เมื่ออริยสาวกกำหนดมโนสัญเจตนาหาร ได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้ตัณหาทั้งสามได้แล้ว
เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้ตัณหาทั้งสามได้แล้ว เรากล่าวว่าไม่มี
สิ่งใดที่อริยสาวกพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว