เคยรู้สึกมั้ย..ตอนซื้อของนึกแต่อยากได้ มันมือ..ช้อปไม่หยุด พอกลับมาบ้านดันงงตัวเอง ซื้อมาใช้ไม่ครบ ซื้อมากองๆไว้
เคยรู้สึกมั้ย..เสื้อผ้าแพงๆกองเต็มตู้ ใส่ไม่ถึงอาทิตย์ก็เบื่อ
เคยรู้สึกมั้ย..คิดแผนทลายเงินล่วงหน้า วางแผนซื้อโน่นนี่นั่น ตั้งแต่เงินเดือนยังไม่ออก
เคยรู้สึกมั้ย..มีเงินในบัญชี/ในกระเป๋าไม่ได้ ต้องเอามาใช้ให้หมด
เคยรู้สึกมั้ย..สิ้นเดือนปุ๊บเงินหายไปไหน ไม่เคยเหลือเก็บ
เคยรู้สึกมั้ย..น้ำปั่น ชา กาแฟ เครื่องดื่มแก้วละ 50บาทอัพ ตอนกินก็อร่อยดีอยู่หรอก พอกินหมดกระเป๋าแฟบ นึกเสียดาย
เคยรู้สึกมั้ย..ป๊อบคอร์นหน้าโรงหนัง กินๆก็อร่อย แต่พอกลับบ้านรู้สึกเสียดาย
เคยรู้สึกมั้ย..เป็นหวัดเดือนละครั้ง ร่างกายไม่แข็งแรง แต่ไม่เคยคิดออกกำลังกาย
เคยรู้สึกมั้ย..นั่งอิจฉาคนหุ่นดี แต่ไม่เคยยั้งปาก เวลาผ่านไป ชั่งน้ำหนัก เห็นตัวเลขแล้วแทบทรุด
เคยรู้สึกมั้ย..เที่ยวเล่น ดูหนัง ช้อปปิ้ง กินบุฟเฟต์ สนุกเฉพาะหน้า หมดไปวันนึงมานึกเสียดายเวลาอ่านหนังสือ เสียดายเวลาพัฒนาตัวเอง เสียดายเวลาทำประโยชน์อย่างอื่นที่ได้ผลระยะยาว
เพื่อนๆอย่าเพิ่งงง กับวลียาวๆ ที่เกริ่นมาข้างบนนี้นะคะ แค่จะบอกว่าที่เกริ่นไว้ทั้งหมด จขกท.เคยชิน เคยรู้สึก และเคยทำอย่างเป็นเรื่องปกติ ตั้งแต่จำความได้ จนถึงเดี๋ยวนี้ชักจะรู้สึกบ่อย เห็นผลเสีย เห็นความล้มเหลวในชีวิตบางอย่างแล้วชักทนไม่ได้ เกิดแรงฮึดขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองในปี 2558 ที่ผ่านเข้ามา และกำลังจะผ่านพ้นไปอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้...เห็นมีกระทู้แชร์ประสบการณ์นู่นนี่นั่นในพันทิป อ่านแล้วก็ได้แรงกระตุ้น แรงผลักดัน ให้อยากทำตามกระทู้ที่เล่าเรื่องราวดีๆ มีความคิดเห็นน่าสนใจกระตุ้นความอยากพัฒนาตัวเองมากมาย เลยอยากให้กระทู้นี้เป็นที่ร่วมแชร์ประสบการณ์การ “พัฒนาตัวเอง” ประจำปีนี้ ที่ผ่านมาใครได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นในแง่ไหนบ้าง มาแชร์สู่กันฟังนะคะ
เปิดกระทู้ด้วยการแชร์ประสบการณ์พัฒนาตัวเองของ จขกท. ในปี 58 ก่อนเลย
1.เริ่มทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย
-จดละเอียดยิบย่อยทุกเมนูเงินหาย ทำให้รู้ว่า ตัวเองเสียเงินไปกับสินค้าฟุ่มเฟือยมากพอสมควร ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดอยากทำเอง พ่อก็เคยบังคับให้เขียนสมัยเรียน ไม่เคยมีแก่ใจอยากทำด้วยตัวเอง เพราะไม่เห็นประโยชน์ ตอนนี้เห็นแล้วว่า..เงินหายไปไหนบ้าง..และนำมาซึ่ง “การวางแผนการเงิน” ที่สำคัญ ทำให้ลากจูงมาถึงประโยชน์ในข้อถัดไป
2.รู้จักหักเงินออม ก่อนนำมาใช้จ่าย
-อันนี้ก็ต้องยกประโยชน์ให้หนังสือ ของพี่โจ มณฑานี ที่เป็นแรงบันดาลใจอย่างยิ่งยวด มีอยู่วันนึงเดินร้านหนังสือ นึกอยากหยิบซื้อมาอ่าน พออ่านแล้วได้แต่น้ำตาตกใน ว่าตัวเองเคยแต่จ่ายเงินไปวัน ไม่เคยคิดหักเงินออมก่อนนำมาใช้ ถึงได้เข้าใจว่าทำไมไม่เคยมีเงินเก็บ เห็นเด็กมหาลัยบางคนได้เงินจากพ่อแม่มาก็เริ่มเก็บได้เยอะแล้ว รู้สึกอายเด็ก คราวนี้เปลี่ยนใหม่ ได้เงินมาเท่าไหร่แบ่งส่วนออมเข้าบัญชีแยกต่างหากเลย อย่างตอนนี้ 10% เก็บไว้เป็นเงินออมฉุกเฉิน พอทำได้สักสองสามเดือน รู้สึกดีมาก คือ ทั้งชีวิตไม่เคยทำ เพราะคิดว่าพ่อหักส่วนของรายรับไปบริหารจัดการเข้ากองทุนนู่นนี่นั่น ยังไงก็มีเงินเก็บ แต่พอลองมาทำเองมันเกิด “ความภาคภูมิใจ” “ความนับถือตัวเอง”
3.รู้จักหักเงินสำหรับลงทุน
-เก็บเงินไปเก็บเงินมา อยู่ๆก็สนใจอยากทำให้เงินเก็บมันงอกเงย ซื้อหนังสือเรื่องการลงทุนในหุ้นมาอ่าน รวมถึงตามกระทู้ในพันทิปที่มีกูรูมาแนะนำ สอนเรื่องงบการเงินที่เคยแต่เห็นผ่านตาตอนไปประชุมผู้ถือหุ้นกับพ่อ ได้แต่โงกหลับ ไม่เคยเห็นความสำคัญ พอมีกระทู้มาสอนวิธีอ่าน และบอกถึงประโยชน์ ก็เออ...เข้าท่าแฮะ การอ่านงบนี่มันก็สนุกเหมือนกัน และมีประโยชน์มากด้วย เลยอ่านหนังสือศึกษาเพิ่มเติม ไปๆมาๆเลยอยากลงทุนหุ้นเองบ้าง แต่ตอนนี้ก็อยู่ในช่วงเก็บเงินส่วนที่จะเอาไปลงทุนไว้เพิ่มอีกบัญชี หักไว้ 50%ของรายรับ เอาให้มั่นใจในความรู้แล้วก็เตรียมลุยกันเต็มที่..ข้อนี้รู้สึกเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตมากๆ ไม่เคยคิดจะลงทุนอะไรใดๆ นอกจากฝันลมๆแล้งๆว่าอยากเป็นเจ้าของกิจการ แต่ไม่เคยลงมือทำ ตอนนี้ก็ชักจะเริ่มวางแผนไว้บ้างแล้ว ทำงานเก็บเงินไปพลางๆ หาความรู้พัฒนาทักษะไปให้เต็มที่ สักวันนึงต้องก่อร่างสร้างตัวด้วยการเป็นนายตัวเองแน่ๆ
4.ซื้อหนังสือเพื่อการพัฒนาตนเอง
-ลงทุนในความรู้ เดือนนึงต้องได้ซื้อหนังสือเกี่ยวกับการลงทุน รวมถึงพัฒนาตนเองมาไว้อ่าน 2-4เล่มต่อเดือน ส่วนใหญ่เป็นของ ดร.นิเวศน์ รู้สึกว่าหูตากว้างไกลออกมาจากกะลาในส่วนงานที่ตัวเองทำอยู่มากมาย
5.เข้าสัมมนาฝึกทักษะในงานที่ทำ
-ช่วงนี้ก็ทำฟรีแลนซ์ เลยมีเวลาว่างมากขึ้น ได้เริ่มอยากจะไปเก็บเกี่ยวทักษะในส่วนที่ขาดด้วยตัวเอง จากแต่ก่อนไม่เคยเสียตังให้กับคอร์สสัมมนาใดๆ เปิดโอกาสให้เจอผู้คนใหม่ๆ ไปๆมาๆ อาจได้สร้างคอนเนคชั่นเพิ่มเติมอีก มีประโยชน์มากๆ
6.ลดกิจกรรมฟุ่มเฟือย
-แต่ก่อนวันหยุดไม่ได้ ต้องไปดูหนัง ต้องไปเดินห้าง ผลาญเงินตัวเองไปวันๆ เดี๋ยวนี้ลด ละ เลิกได้แล้ว เพราะมัวแต่หมกหมุ่นอยู่กับการหาความรู้ โดยเฉพาะการลงทุน ความรู้ใหม่ๆ การพัฒนาตัวเอง อาจเป็นเพราะทำบัญชีรายรับรายจ่าย ก็เลยรู้สึกเสียดายกับเงินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รู้สึกตัวเองมีสมาธิมากขึ้น เมื่อมาหมกหมุ่นกับสิ่งที่มีประโยชน์และมีเป้าหมาย ไม่ฟุ้งซ่านวกวนมากเหมือนแต่ก่อน รู้สึกชัดเลยว่า กิจกรรมเหล่านั้นให้ความสุขแค่เฉพาะหน้า แต่ก่อทุกข์ในระยะยาว
7.ออกกำลังกาย
-เดี๋ยวนี้ ต้องได้ไปวิ่งที่สวนสาธารณะอย่างน้อย 1ครั้งต่อสัปดาห์ ถ้างานยุ่งๆ แต่ถ้างานไม่ยุ่งมากก็พยายามออกกำลังกายให้ได้ 3-4ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 40นาทีขึ้นไป รู้สึกว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก เพราะทำให้ร่างกายทนทานกับงานหนัก เพื่อสร้างรายได้ให้ในระยะยาว ที่สำคัญ พอร่วมกับการกินวิตามินซี ทั้งจากอาหารเสริม และผลไม้ ไม่อยากเชื่อว่าตั้งแต่ต้นปีถึงวันนี้ยังไม่เคยเป็นหวัดเลย ร่างกายแข็งแรงขึ้นหลายเท่า
8.เลือกอาหารที่มีประโยชน์
-รวมถึงการควบคุมอาหาร มื้อเย็นเน้นผลไม้ หลีกเลี่ยงขนมหวาน แป้งขัดขาว หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมาก ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณดีขึ้น คุมน้ำหนักได้ดีขึ้น ร่างกายเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว รูปร่างดีขึ้น แถมยังลดรายจ่าย เหลือเงินเก็บอีกเป็นกอง เอาแค่น้ำปั่นหวานๆแก้วแพงๆ ก็ตัดไปได้เยอะกันเลยทีเดียว
9.งดซื้อเสื้อผ้า/ลดปริมาณสินค้าฟุ่มเฟือย
-อย่างที่บอกว่าเปิดตู้มานี่แทบน้ำตาตก รู้สึกเสียดายเงิน ตลอดสามสี่ปี่ที่เริ่มทำงานได้เงินก็หมดไปกับของพวกนี้ รวมแล้วก็หลายแสนบาท นึกเสียดายว่าน่าจะเอาเงินตรงนั้นมาลงทุน มาเก็บออมไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ตอนนี้ก็เลยแบ่งเสื้อผ้าให้น้องใช้ และตัวเองก็ใช้เท่าที่มี ก็รู้สึกว่าใช้ชีวิตได้ปกติ ไม่เห็นจะเดือดร้อนเหมือนเมื่อก่อนที่ต้องคอยตามเก็บแฟชั่น ตามเก็บคอลเลคชั่นในฤดูกาลต่างๆ ก็เพราะบัญชีรายรับรายจ่ายอีกนั่นแหละ ทำให้นึกเสียดาย ถ้าจะต้องเสียเงินไปกับของไม่จำเป็น หรือไม่ทำให้เกิดรายได้ อีกอย่างคือแทบไม่ได้เข้าห้าง หรือถ้ามีความจำเป็นต้องเข้าไปซื้อหนังสือ ก็จะไม่ไปส่องแผนกเสื้อผ้า หรือร้านแบรนประจำ วิธีนี้ช่วยได้มากเลย ถ้าลองหลุดเข้าไปในร้านได้แล้ว อย่าหวังว่าจะเก็บเงินไว้อยู่ ยิ่งได้หยิบมาลองหลายตัวก็จะนึกเสียดายอยากได้ทุกตัว ตัดปัญหาด้วยการไม่เข้ามันซะเลย
หมดคร่าวๆเท่านี้ค่ะ สำหรับปี 2558 นี้ อยากมาแชร์ว่า พอเราตั้งใจเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น มีการวางแผน กำหนดเป้าหมายที่จริงจัง พอเราทำตามแผนที่วางไว้ได้ มันทำให้เกิด “ความภาคภูมิใจ” “ความนับถือตัวเอง” “คุณค่าในตัวเอง” ทำให้รู้สึกดี และมีกำลังใจจะพัฒนาตัวเองยิ่งขึ้นเรื่อยๆค่ะ
หลายๆคนก็คงมีประสบการณ์พัฒนาตัวเองในรูปแบบต่างๆกันนะคะ ขอให้กระทู้นี้เป็นพื้นที่สำหรับการแชร์ประสบการณ์ดีๆ เป็นแรงบันดาลใจที่ส่งต่อกันไปเรื่อยๆ ขอให้ปีนี้เป็นปีแห่งการเรียนรู้ ปีแห่งการวางเป้าหมายในชีวิต และเป็นปีที่ทุกคนมีความสุขตามเหตุปัจจัยที่ทำไว้ดีแล้วนะคะ
มาแชร์ประสบการณ์ "การพัฒนาตัวเอง" ไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น ประจำปี 2558 กันเถอะ
เคยรู้สึกมั้ย..เสื้อผ้าแพงๆกองเต็มตู้ ใส่ไม่ถึงอาทิตย์ก็เบื่อ
เคยรู้สึกมั้ย..คิดแผนทลายเงินล่วงหน้า วางแผนซื้อโน่นนี่นั่น ตั้งแต่เงินเดือนยังไม่ออก
เคยรู้สึกมั้ย..มีเงินในบัญชี/ในกระเป๋าไม่ได้ ต้องเอามาใช้ให้หมด
เคยรู้สึกมั้ย..สิ้นเดือนปุ๊บเงินหายไปไหน ไม่เคยเหลือเก็บ
เคยรู้สึกมั้ย..น้ำปั่น ชา กาแฟ เครื่องดื่มแก้วละ 50บาทอัพ ตอนกินก็อร่อยดีอยู่หรอก พอกินหมดกระเป๋าแฟบ นึกเสียดาย
เคยรู้สึกมั้ย..ป๊อบคอร์นหน้าโรงหนัง กินๆก็อร่อย แต่พอกลับบ้านรู้สึกเสียดาย
เคยรู้สึกมั้ย..เป็นหวัดเดือนละครั้ง ร่างกายไม่แข็งแรง แต่ไม่เคยคิดออกกำลังกาย
เคยรู้สึกมั้ย..นั่งอิจฉาคนหุ่นดี แต่ไม่เคยยั้งปาก เวลาผ่านไป ชั่งน้ำหนัก เห็นตัวเลขแล้วแทบทรุด
เคยรู้สึกมั้ย..เที่ยวเล่น ดูหนัง ช้อปปิ้ง กินบุฟเฟต์ สนุกเฉพาะหน้า หมดไปวันนึงมานึกเสียดายเวลาอ่านหนังสือ เสียดายเวลาพัฒนาตัวเอง เสียดายเวลาทำประโยชน์อย่างอื่นที่ได้ผลระยะยาว
เพื่อนๆอย่าเพิ่งงง กับวลียาวๆ ที่เกริ่นมาข้างบนนี้นะคะ แค่จะบอกว่าที่เกริ่นไว้ทั้งหมด จขกท.เคยชิน เคยรู้สึก และเคยทำอย่างเป็นเรื่องปกติ ตั้งแต่จำความได้ จนถึงเดี๋ยวนี้ชักจะรู้สึกบ่อย เห็นผลเสีย เห็นความล้มเหลวในชีวิตบางอย่างแล้วชักทนไม่ได้ เกิดแรงฮึดขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองในปี 2558 ที่ผ่านเข้ามา และกำลังจะผ่านพ้นไปอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้...เห็นมีกระทู้แชร์ประสบการณ์นู่นนี่นั่นในพันทิป อ่านแล้วก็ได้แรงกระตุ้น แรงผลักดัน ให้อยากทำตามกระทู้ที่เล่าเรื่องราวดีๆ มีความคิดเห็นน่าสนใจกระตุ้นความอยากพัฒนาตัวเองมากมาย เลยอยากให้กระทู้นี้เป็นที่ร่วมแชร์ประสบการณ์การ “พัฒนาตัวเอง” ประจำปีนี้ ที่ผ่านมาใครได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นในแง่ไหนบ้าง มาแชร์สู่กันฟังนะคะ
เปิดกระทู้ด้วยการแชร์ประสบการณ์พัฒนาตัวเองของ จขกท. ในปี 58 ก่อนเลย
1.เริ่มทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย
-จดละเอียดยิบย่อยทุกเมนูเงินหาย ทำให้รู้ว่า ตัวเองเสียเงินไปกับสินค้าฟุ่มเฟือยมากพอสมควร ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดอยากทำเอง พ่อก็เคยบังคับให้เขียนสมัยเรียน ไม่เคยมีแก่ใจอยากทำด้วยตัวเอง เพราะไม่เห็นประโยชน์ ตอนนี้เห็นแล้วว่า..เงินหายไปไหนบ้าง..และนำมาซึ่ง “การวางแผนการเงิน” ที่สำคัญ ทำให้ลากจูงมาถึงประโยชน์ในข้อถัดไป
2.รู้จักหักเงินออม ก่อนนำมาใช้จ่าย
-อันนี้ก็ต้องยกประโยชน์ให้หนังสือ ของพี่โจ มณฑานี ที่เป็นแรงบันดาลใจอย่างยิ่งยวด มีอยู่วันนึงเดินร้านหนังสือ นึกอยากหยิบซื้อมาอ่าน พออ่านแล้วได้แต่น้ำตาตกใน ว่าตัวเองเคยแต่จ่ายเงินไปวัน ไม่เคยคิดหักเงินออมก่อนนำมาใช้ ถึงได้เข้าใจว่าทำไมไม่เคยมีเงินเก็บ เห็นเด็กมหาลัยบางคนได้เงินจากพ่อแม่มาก็เริ่มเก็บได้เยอะแล้ว รู้สึกอายเด็ก คราวนี้เปลี่ยนใหม่ ได้เงินมาเท่าไหร่แบ่งส่วนออมเข้าบัญชีแยกต่างหากเลย อย่างตอนนี้ 10% เก็บไว้เป็นเงินออมฉุกเฉิน พอทำได้สักสองสามเดือน รู้สึกดีมาก คือ ทั้งชีวิตไม่เคยทำ เพราะคิดว่าพ่อหักส่วนของรายรับไปบริหารจัดการเข้ากองทุนนู่นนี่นั่น ยังไงก็มีเงินเก็บ แต่พอลองมาทำเองมันเกิด “ความภาคภูมิใจ” “ความนับถือตัวเอง”
3.รู้จักหักเงินสำหรับลงทุน
-เก็บเงินไปเก็บเงินมา อยู่ๆก็สนใจอยากทำให้เงินเก็บมันงอกเงย ซื้อหนังสือเรื่องการลงทุนในหุ้นมาอ่าน รวมถึงตามกระทู้ในพันทิปที่มีกูรูมาแนะนำ สอนเรื่องงบการเงินที่เคยแต่เห็นผ่านตาตอนไปประชุมผู้ถือหุ้นกับพ่อ ได้แต่โงกหลับ ไม่เคยเห็นความสำคัญ พอมีกระทู้มาสอนวิธีอ่าน และบอกถึงประโยชน์ ก็เออ...เข้าท่าแฮะ การอ่านงบนี่มันก็สนุกเหมือนกัน และมีประโยชน์มากด้วย เลยอ่านหนังสือศึกษาเพิ่มเติม ไปๆมาๆเลยอยากลงทุนหุ้นเองบ้าง แต่ตอนนี้ก็อยู่ในช่วงเก็บเงินส่วนที่จะเอาไปลงทุนไว้เพิ่มอีกบัญชี หักไว้ 50%ของรายรับ เอาให้มั่นใจในความรู้แล้วก็เตรียมลุยกันเต็มที่..ข้อนี้รู้สึกเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตมากๆ ไม่เคยคิดจะลงทุนอะไรใดๆ นอกจากฝันลมๆแล้งๆว่าอยากเป็นเจ้าของกิจการ แต่ไม่เคยลงมือทำ ตอนนี้ก็ชักจะเริ่มวางแผนไว้บ้างแล้ว ทำงานเก็บเงินไปพลางๆ หาความรู้พัฒนาทักษะไปให้เต็มที่ สักวันนึงต้องก่อร่างสร้างตัวด้วยการเป็นนายตัวเองแน่ๆ
4.ซื้อหนังสือเพื่อการพัฒนาตนเอง
-ลงทุนในความรู้ เดือนนึงต้องได้ซื้อหนังสือเกี่ยวกับการลงทุน รวมถึงพัฒนาตนเองมาไว้อ่าน 2-4เล่มต่อเดือน ส่วนใหญ่เป็นของ ดร.นิเวศน์ รู้สึกว่าหูตากว้างไกลออกมาจากกะลาในส่วนงานที่ตัวเองทำอยู่มากมาย
5.เข้าสัมมนาฝึกทักษะในงานที่ทำ
-ช่วงนี้ก็ทำฟรีแลนซ์ เลยมีเวลาว่างมากขึ้น ได้เริ่มอยากจะไปเก็บเกี่ยวทักษะในส่วนที่ขาดด้วยตัวเอง จากแต่ก่อนไม่เคยเสียตังให้กับคอร์สสัมมนาใดๆ เปิดโอกาสให้เจอผู้คนใหม่ๆ ไปๆมาๆ อาจได้สร้างคอนเนคชั่นเพิ่มเติมอีก มีประโยชน์มากๆ
6.ลดกิจกรรมฟุ่มเฟือย
-แต่ก่อนวันหยุดไม่ได้ ต้องไปดูหนัง ต้องไปเดินห้าง ผลาญเงินตัวเองไปวันๆ เดี๋ยวนี้ลด ละ เลิกได้แล้ว เพราะมัวแต่หมกหมุ่นอยู่กับการหาความรู้ โดยเฉพาะการลงทุน ความรู้ใหม่ๆ การพัฒนาตัวเอง อาจเป็นเพราะทำบัญชีรายรับรายจ่าย ก็เลยรู้สึกเสียดายกับเงินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รู้สึกตัวเองมีสมาธิมากขึ้น เมื่อมาหมกหมุ่นกับสิ่งที่มีประโยชน์และมีเป้าหมาย ไม่ฟุ้งซ่านวกวนมากเหมือนแต่ก่อน รู้สึกชัดเลยว่า กิจกรรมเหล่านั้นให้ความสุขแค่เฉพาะหน้า แต่ก่อทุกข์ในระยะยาว
7.ออกกำลังกาย
-เดี๋ยวนี้ ต้องได้ไปวิ่งที่สวนสาธารณะอย่างน้อย 1ครั้งต่อสัปดาห์ ถ้างานยุ่งๆ แต่ถ้างานไม่ยุ่งมากก็พยายามออกกำลังกายให้ได้ 3-4ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 40นาทีขึ้นไป รู้สึกว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก เพราะทำให้ร่างกายทนทานกับงานหนัก เพื่อสร้างรายได้ให้ในระยะยาว ที่สำคัญ พอร่วมกับการกินวิตามินซี ทั้งจากอาหารเสริม และผลไม้ ไม่อยากเชื่อว่าตั้งแต่ต้นปีถึงวันนี้ยังไม่เคยเป็นหวัดเลย ร่างกายแข็งแรงขึ้นหลายเท่า
8.เลือกอาหารที่มีประโยชน์
-รวมถึงการควบคุมอาหาร มื้อเย็นเน้นผลไม้ หลีกเลี่ยงขนมหวาน แป้งขัดขาว หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมาก ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณดีขึ้น คุมน้ำหนักได้ดีขึ้น ร่างกายเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว รูปร่างดีขึ้น แถมยังลดรายจ่าย เหลือเงินเก็บอีกเป็นกอง เอาแค่น้ำปั่นหวานๆแก้วแพงๆ ก็ตัดไปได้เยอะกันเลยทีเดียว
9.งดซื้อเสื้อผ้า/ลดปริมาณสินค้าฟุ่มเฟือย
-อย่างที่บอกว่าเปิดตู้มานี่แทบน้ำตาตก รู้สึกเสียดายเงิน ตลอดสามสี่ปี่ที่เริ่มทำงานได้เงินก็หมดไปกับของพวกนี้ รวมแล้วก็หลายแสนบาท นึกเสียดายว่าน่าจะเอาเงินตรงนั้นมาลงทุน มาเก็บออมไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ตอนนี้ก็เลยแบ่งเสื้อผ้าให้น้องใช้ และตัวเองก็ใช้เท่าที่มี ก็รู้สึกว่าใช้ชีวิตได้ปกติ ไม่เห็นจะเดือดร้อนเหมือนเมื่อก่อนที่ต้องคอยตามเก็บแฟชั่น ตามเก็บคอลเลคชั่นในฤดูกาลต่างๆ ก็เพราะบัญชีรายรับรายจ่ายอีกนั่นแหละ ทำให้นึกเสียดาย ถ้าจะต้องเสียเงินไปกับของไม่จำเป็น หรือไม่ทำให้เกิดรายได้ อีกอย่างคือแทบไม่ได้เข้าห้าง หรือถ้ามีความจำเป็นต้องเข้าไปซื้อหนังสือ ก็จะไม่ไปส่องแผนกเสื้อผ้า หรือร้านแบรนประจำ วิธีนี้ช่วยได้มากเลย ถ้าลองหลุดเข้าไปในร้านได้แล้ว อย่าหวังว่าจะเก็บเงินไว้อยู่ ยิ่งได้หยิบมาลองหลายตัวก็จะนึกเสียดายอยากได้ทุกตัว ตัดปัญหาด้วยการไม่เข้ามันซะเลย
หมดคร่าวๆเท่านี้ค่ะ สำหรับปี 2558 นี้ อยากมาแชร์ว่า พอเราตั้งใจเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น มีการวางแผน กำหนดเป้าหมายที่จริงจัง พอเราทำตามแผนที่วางไว้ได้ มันทำให้เกิด “ความภาคภูมิใจ” “ความนับถือตัวเอง” “คุณค่าในตัวเอง” ทำให้รู้สึกดี และมีกำลังใจจะพัฒนาตัวเองยิ่งขึ้นเรื่อยๆค่ะ
หลายๆคนก็คงมีประสบการณ์พัฒนาตัวเองในรูปแบบต่างๆกันนะคะ ขอให้กระทู้นี้เป็นพื้นที่สำหรับการแชร์ประสบการณ์ดีๆ เป็นแรงบันดาลใจที่ส่งต่อกันไปเรื่อยๆ ขอให้ปีนี้เป็นปีแห่งการเรียนรู้ ปีแห่งการวางเป้าหมายในชีวิต และเป็นปีที่ทุกคนมีความสุขตามเหตุปัจจัยที่ทำไว้ดีแล้วนะคะ