สวัสดีค่ะ นี่เป็นกระทูแรกของเราในพันทิปยังไงมีอะไรผิดพลาดต้องขอโทษด้วยนะคะ
กระทู้นี้เขียนขึ้นมาเพื่ออธิบายง่ายๆเกี่ยวกับการช้อปเครื่องสำอางในอเมริกา
อาจจะไม่ได้มีเคล็ดลับหาของถูกหรืออะไรมากมายมากเล่าสู่กันฟัง
เพียงแต่อยากจะอธิบายขั้นต้นง่ายๆ ว่า ยี่ห้ออะไรขายอยู่ที่ไหน จะได้หาของที่ต้องการได้ครบค่ะ
หวังว่ากระทู้นี้จะมีประโยชน์แม้เพียงเล็กน้อยสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาช้อป
เพราะมีหลายที่ให้เที่ยว หรือไม่สามารถสั่งของออนไลน์ได้ เพื่อที่จะได้หาของที่ตัวเองต้องการได้ครบค่ะ
เท้าความนิดนึงว่า พอดีช่วงนี้เราได้มีโอกาสไปอเมริกาประมาณ10วัน
ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เราได้ไปอเมริหาหลังจากผันตัวมาเป็นอีบ้าเครื่องสำอาง
ก็เลยตื่นเต้นอยากช้อปมาก แต่เพราะเราไม่ค่อยมีเวลา
(ไปกับแฟนแล้วแฟนเราอยากไปดูนั่นดูนี่มากมายเลยไม่ค่อยมีเวลาช้อป)
แล้วเราก็สั่งของจากเน็ตไม่ได้เพราะอยู่โรงแรม กลัวพลาด
(รอบที่แล้วพลาดค่ะ ของมาส่งช้ากว่าที่คิด ก็เลยเสียตังฟรีของก็ไม่ได้)
เราก็เลยตัดสินใจจะนั่งหาข้อมูลให้ได้มากที่สุดจะได้ได้ของที่ต้องการครบ โดยที่ไม่ซื้อออนไลน์เลย
แต่ปรากฏว่าหาอะไรไม่ค่อยจะเจอเลยค่ะ ว่าอันไหนขายอยู่ที่ไหนบ้าง
หายากพอสมควรเลย เลยคิดว่าหลังจากจบทริปแล้วจะเขียนอธิบายง่ายๆขึ้นมาดีกว่าไหนๆก็หาข้อมูลมาแล้ว
จะได้มีประโยชน์กับคนอื่นบ้าง
คำเตือน: ข้อมูลทั้งหมดเขียนขึ้นจากประสบการณ์ของเราเองใน10วันที่เดินช้อปปิ้งอยู่ในอเมริกา
ก็อาจจะผิดพลาดไปบ้างหรือไม่ตรงกับความเป็นจริง เพราะเราเองก็เป็นแค่นักท่องเที่ยว ต้องขออภัยด้วยค่ะ
หากมีเพิ่มเติมหรือแย้งอย่างไรสามารถบอกได้ยินดีแก้ไขค่ะ
*เมืองที่เราไปมาคือ San Francisco กับ Boston ค่ะ
ข้อมูลที่เห็นนี้คือประสบการณ์ของเราจากสองเมืองนี้เท่านั้น
อาจต่างกันไปในแต่ละเมืองในเชิงของสต็อคสินค้าและความหลากหลายของสินค้าค่ะ
กระทู้นี้เป็นเพียงการอธิบายเพียงคร่าวๆเพื่อให้เห็นภาพ และง่ายต่อการช้อปปิ้งค่ะ*
*เราไม่ได้ถ่ายรูปสถานที่ไว้เลยเพราะตอนแรกไม่ได้กะจะเขียน ยังไงขอยืมรูปจาก internet และลง credit ไว้นะคะ ขออภัยมานะที่นี้ด้วย*
วางแผนเพื่อประหยัดเวลา
ก่อนอื่นขอแนะนำให้คนที่ไม่ค่อยมีเวลา เริ่มจากการวางแผนก่อนค่ะว่าตัวเองอยากได้อะไร
สินค้าที่ขายในsephora ถ้าที่ไทยมีก็ไปลอง ถ้าไม่มีก็หาอ่านรีวิวประกอบการตัดสินใจให้ดี
โดยเฉพาะของที่ขายในdrug storeที่อเมริกา
ไม่สามารถลองสินค้าได้เลยซักชิ้น
อยากจะเปิดแท่งลิปสติกดูสียังทำไม่ได้เลยค่ะ (เค้าเอาสติกเกอร์ติดไว้ไม่ให้เปิดหลอดได้)
ดังนั้นถ้าหวังว่าไปถึงนู่นแล้วจะไปลองๆเอาคือทำไม่ได้ในร้านขายยานะคะ อีกอย่างหนึ่งคือ
ของบางอย่างไม่ได้มีขายที่ร้านใกล้ๆตัวเมืองเลย เช่น ต้องไปซื้อเอาที่ target หรือ Ulta
ซึ่งส่วนใหญ่มักจะไม่ได้อยู่ใน downtown ทำให้คนที่ไม่มีรถไปลำบาก ลองศึกษาดูค่ะว่ายี่ห้อที่ตัวเองต้องการมีขายที่ไหนบ้าง
หน้าร้านไม่ค่อยมีของ
อีกสิ่งนึงที่น่าสนใจเกี่ยวกับการซื้อเครื่องสำอางในอเมริกาคือของส่วนใหญ่ต้องซื้อผ่านทางเน็ต
ที่หน้าร้านมักจะไม่มีของครบครันรอให้เราซื้อ (ยกเว้นพวกdrug store ยี่ห้อยักษ์ใหญ่แบบLoreal Maybelline)
ในเว็บจะมีความหลากหลายของสินค้ามากกว่าหน้าร้านเสมอไม่ว่าจะเป็นร้านไหน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Sephora บางยี่ห้อนี่มีโผล่มาแค่ในเว็บด้วยซ้ำ ในร้านมีขายชิ้นเดียว
(ซึ่งดันไม่ใช่อันที่เราอยากได้T_T) หากไม่สามารถสั่งของจากในเน็ตที่อเมริกาได้ก็ต้องทำใจตรงนี้ค่ะ
ซื้อเครื่องสำอางได้ที่ไหน
1.High-end store : Sephora, Nordstrom, department store -
อันนี้คือเหมือนที่ไทยค่ะ เครื่องสำอางไลน์แบบไฮเอนด์หน่อยก็จะมีขายในห้างเช่น Macy’s
หรือ Nordstrom และแน่นอนที่Sephora สามารถ test สินค้าได้ตามสะดวก
ข้อดีซึ่งอาจเป็นข้อเสียสำหรับมนุษย์กลัวพนักงานขาย(แบบเรา) ก็คือพนักงานชอบถามว่าให้ช่วยไหมๆๆๆ
2.Drugstore: Walgreens, CVS -
ก็คือWatsonกับBootsที่ไทยดีๆนี่เองค่ะ ประเภทของสินค้าที่ขายจะใกล้เคียงกันมาก
ยกเว้นแต่ว่าเค้าขายของกินด้วยเลยทำให้ดูเหมือนเป็นsupermarketขนาดย่อมมากกว่า
ข้อเสียหลักๆเลยคือ
testเครื่องสำอางไม่ได้ค่ะ และ
ไม่มีคำอธิบายเรื่องสีต่างๆว่าเหมาะสมกับสีผิวใด
บอกแต่codeสีกับชื่อสี ซึ่งทำให้ยากมากในการหาสีรองพื้นที่ตรงกับตนเองโดยไม่ไปนั่งอ่านรีวิวในเนตมาก่อน
Drug store ที่อเมริกาหลักๆจะมีสองร้านคือWalgreens กับ CVS ค่ะ
Walgreens จะมีเยอะกว่า เป็นchainที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกามี8217สาขาทั่วประเทศ ส่วน CVS มี 7600 สาขา
เรียกว่าเดินไปเจออย่างน้อยหนึ่งร้านแทบจะทุกบลอค ยิ่งในโซนช้อปปิ้งนี่มีกันให้เกลื่อนเลยค่ะ
ตอนแรกเราไม่รู้ว่ามันจะมีเยอะ คิดว่าประมาณวัตสันมั้ง เพื่อความชัวร์ก็หาโลเกชั่นเก็บไว้ก่อนดีกว่า
ปรากฏว่าผิดคาดค่ะ เยอะอย่างกับเซเว่น เราเดาว่าที่นู่นdrug storeเค้าเป็นคล้ายๆเซเว่นที่นั่นนะ
อนึ่ง กระทู้นี้จะพูดถึงแต่ CVSและWalgreensนะคะ เนื่องจากเป็นร้านใหญ่ที่หาเจอได้ง่าย
3.Nordstrom Rack -
เป็นร้านลดราคาของ Nordstrom ที่เอาสินค้าเก่า/โละมาขาย ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า ของแบรนด์เนม
และ เครื่องสำอางlow-end/high-endปะปนกันไป เป็นที่ที่น่าสนใจมากในการหาของราคาถูกไปลองเล่น
แต่แน่นอนว่าเป็นของตกรุ่นซะส่วนใหญ่ เครื่องสำอางก็จะเป็นของSeasonเมื่อปีมะโว้ซะส่วนมาก
แต่มีหลากหลายตั้งแต่ NYX lorac ไปจนถึง Bobbi brown, smashbox และ stila แต่มีแค่ของลดราคาของแต่ละยี่ห้อไม่กี่รุ่นเท่านั้น
4.Local Discounted Beauty Store -
เราไม่ได้ไปเลยค่ะอันนี้ (โง่) เพิ่งมาค้นพบว่าแถวโรงแรมมีเอาวันท้ายๆ
หาจากใน yelp (เว็บหาร้านค้าต่างๆในอเมริกา) เลยไม่ทราบว่าถูกกว่าเยอะไหม
บางร้านที่เราเห็นก็คือราคาเท่ากับในห้างนั่นแหละแค่มีของมากกว่า เพราะเป็นร้านแบบspecializeค่ะ เช่น ขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผมโดยเฉพาะ
5.Supermarket -
อันนี้ก็ไม่ได้ไปอีกเช่นกัน ของกินซื้อที่ร้านขายยาเอา
แต่super marketที่ขายของorganic เช่น wholefood market
จะมีเครื่องสำอางแบบ organic หรืออย่างน้อยก็ผลิตภัณฑ์ที่ position ตัวเองว่าเป็นแบบนั้นขายอยู่เช่นครีม Egyptian Magic ค่ะ
6.Ulta -
ร้านนี้คือที่สุดแล้วค่ะขายของเกี่ยวกับความงามทุกรูปแบบ
ที่สำคัญคือมีทุกยี่ห้อตั้งแต่ถูกสุดๆยันแพงแบบไฮเอนท์
เหมือนSephora+walgreens+CVSในร้านเดียว คือมาร้านเดียวได้ครบ จบทุกสิ่งมากๆ
แต่ข้อเสียคือมักไม่มีอยู่ใกล้ตัวเมืองหรือdowntown เพราะร้านต้องใช้พื้นที่ใหญ่
อย่างเมืองที่เราไปทั้ง2เมือง ไม่มี ulta อยู่ในแหล่งท่องเที่ยวเลย
ต้องหาทางตะกายไปเองตรงขอบๆเมือง ซึ่งเราไม่มีรถทำให้การเดินทางลำบากมาก
*หมายเหตุ: จขกทไม่ได้ไป Target ซึ่งเป็นอีกที่คล้ายๆUlta
ที่มีเครื่องสำอางแบรนด์ไม่ใหญ่แต่น่าสนใจวางขายอยู่ เพราะมันไกลเกินค่ะ
ไม่ได้ไป Barney's ด้วยค่ะ ต้องขอโทษตรงนี้ด้วยที่ไม่มีข้อมูล*
ยี่ห้อและสถานที่ซื้อ - low-end
*ยี่ห้ออาจจะไม่ครบนะคะ อาศัยจำเอาก็จำได้แต่ยี่ห้อที่รู้จัก*
อธิบายเรื่องของตารางนิดนึง
ตามในตารางคือ สีเขียวมีขาย สีแดงไม่มีขาย
ส่วน%ที่เห็นนั้นคือAvailabilityหรือ%ว่าหาง่ายแค่ไหน 100%แปลว่ามีทุกร้านค่ะ
เช่น พวกยี่ห้อใหญ่ๆแถวบนนั้นนอกจากจะมีขายทั้งสองร้านแล้ว
ยังหาได้ทุกสาขาแน่นอน และที่สำคัญมีของขายครบเกือบหมดทั้งproduct line
คือว่าง่ายๆว่าสต็อคของเยอะและหลากหลายค่ะ
แต่ยี่ห้ออื่นๆเช่น ELF, real technique นั้นไม่ได้มีทุกสาขาและสินค้าที่มีก็ไม่ครบถ้วนค่ะ
ร้านเล็กๆหน่อยโอกาสที่จะไม่มีก็สูงค่ะ คอลัมน์สุดท้ายของตารางคือ
บอกว่าแต่ละยี่ห้อมีขายเยอะแค่ไหนโดยประมาณ
(เรากะเอาจากสายตาของเราเอง จากปริมาณของบนshelfที่เราเห็น
เทียบกับปริมาณสินค้าจริงที่ยี่ห้อนั้นมีขายในเนต)
สำหรับยี่ห้อที่product line = 100% คือไม่ต้องกังวงเลยค่ะว่าจะหาไม่ได้
เห็นตัวไหนน่าสนใจก็ไม่ต้องรีบซื้อก็ได้ หารีวิวอ่านก่อน
เดี๋ยวเดินเจออีกเรื่อยๆระหว่างทริปแน่นอนค่ะ เพราะทุกร้านขายครบทั้งไลน์สินค้า
ขึ้นอยู่ว่าของจะหมดหรือไม่เท่านั้นค่ะ
ไม่มีความจำเป็นต้องสั่งสินค้าชิ้นไหนจากเนตหากคุณมีกำหนดการณ์จะมาอเมริกาอยู่แล้วค่ะ
อย่างที่เราเขียนไว้ในตารางนะคะ Ulta เป็นที่ๆมีของขายครบเกือบทุกอย่างเลยค่ะ
และที่สำคัญจะมีสินค้าให้เลือกมากกว่า มีความหมายหลายกว่า
สำหรับพวกยี่ห้อเล็กๆเช่น Real techniques หรือ Lorac
ที่ไม่สามารถจะหาที่ไหนได้เลย ก็จะมีขายที่นี่ และมีของมากกว่าค่ะ
ต่อไปขอพูดถึงปริมาณและความหลากหลายของที่มีขายของแต่ละแบรนด์นิดนึงค่ะ
NYX
สามารถหาได้ค่อนข้างง่ายและมีของให้เลือกครบครันมากๆ
ไม่จำเป็นต้องตะเกียดตะกายหาอะไรมากมาย สำหรับNYXมีขายในnordstrom rackด้วยค่ะ
แต่สินค้าจะมีไม่เยอะเท่ากับในร้านขายยาและไม่ค่อยมีstockเท่าไหร่
ELF
เราลืมถ่ายรูปมาเลยไปเอารูปมาจากในเน็ต ต้องขอโทษด้วย เครดิตไว้ตามภาพนะคะ
Shelf ของ ELF ในCVSหน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ (มีแค่ที่ CVS นะคะ Walgreens ไม่มี)
http://nouveaucheap.blogspot.jp/2014_11_16_archive.html
image credit: Emily for Nouveau Cheap

image credit:
http://beautybycorra.com/post/63636495711/elf-at-harmon
อย่างที่เห็นก็ดูเหมือนจะมีเยอะนะคะ แต่จริงๆเทียบกับของที่มีขายในเว็บELF หรือ Iherb
นี่ถือว่ามีไม่เยอะเลยนะ แต่สินค้าจำเป็นในการแต่งหน้า
เช่น blush, bronzer, foundation, eyeshadow palette, concealer มีขายค่ะ
เพียงแต่สินค้าที่ไม่จำเป็นเท่าไหร่เช่น แปรงรุ่นต่างๆที่ELFมีมากมายก็อาจจะมีไม่หมดค่ะ
แปรงที่มีก็มีเหมือนในรูปเลยค่ะมีแค่แถวบนสุด รวมๆแล้วไม่ถึง10รุ่นแน่นอน ชุดแปรงก็ไม่มี
รุ่นที่เราอยากได้ก็หาไม่เจอ T_T ไปมากี่ร้านๆก็ขายแปรงรุ่นเดียวกันหมดเลย สุดท้ายเราก็เลยหาไม่ได้
แปรงที่เราจำได้ว่ามีขายนะคะ
ELF Studio – Complexion brush, Angle Blush Brush, eyeshadow “C” Brush, Stipple Brush อันละ $3 ค่ะ
ส่วนแปรงที่เห็นในรูปที่2ที่เป็นสีขาวเป็นรุ่นธรรมดาที่ถูกลงมาอีกอันละ $2 ค่ะ
สรุป: สำหรับ ELF แนะนำว่าสั่ง Iherb ดีกว่าค่ะ เพราะcounterก็ลองไม่ได้เหมือนกัน แถวของน้อยกว่า ถ้าอยากได้จริงๆควรสั่งเนตค่ะ
MUA
มีแค่ที่CVSค่ะ ส่วนใหญ่เน้นไปที่แปรง ไม่ใช่เครื่องสำอาง ส่วนตัวเราไม่ได้ตามยี่ห้อนี้เท่าไหร่เลยไม่ค่อยทราบ ขอโทษด้วยค่ะ
Physicians formula
มีแค่ที่ CVS อีกเหมือนกัน มีสินค้าค่อนข้างหลากหลายค่ะ เพียงแค่ไม่ครบทุกสี
เช่น เราตามหา highlighter strip สี Miami strip ไม่เจอค่ะเจอแต่ Vegas กับ Waikiki
หาหลายร้านก็เจอแค่2สีนี้ ไม่รู้ของขาดstockหรือมันมีแค่นั้นกันแ่น่ อื่นๆนอกนั้นมีครบค่ะ รองพื้น บีบี ไฮไลท์ blush bronzer ☺
สรุป: หากไม่มายด์เรื่องสีมีไม่ครบถือว่าของครบครันมากค่ะ น่าจะสามารถหาทุกอย่างที่ต้องการได้
The balm
อันที่จริงเป็นสิ่งที่ไม่โลว์เอนด์เอามากๆ แต่เพราะหาได้ในร้านขายยาจึงจัดอยู่ในหมวดนี้
The balm จะสามารถพบเจอได้ในWalgreensขนาดใหญ่ยักษ์ที่มีโซนเครื่องสำอางพรีเมี่ยมเท่านั้นค่ะ
สังเกตร้านพวกนี้จะใหญ่มากแบบมีคาเฟ่ โซนขายยา แบ่งโซนต่างๆ ยิ่งใหญ่อลังการมาก ก็จะมีขายค่ะ
สินค้ามีหลากหลายเพราะมีshelfเป็นของตัวเอง ของดังๆมีครบ เช่น eyeshadow palette, apple cream blush palette
และตระกูล Louminizer

image credit:
http://www.yelp.com/biz/walgreens-los-angeles-24

image credit:
http://www.yelp.com/biz_photos/walgreens-honolulu?select=S9Q1Vi6bUkgQM7KVdh-O4A
[CR] Simple Guide to Make up shopping in USA:แชร์ประสบการณ์ช้อปปิ้ง ยี่ห้ออะไรซื้อได้ที่ไหน สำหรับคนไม่มีเวลาช้อป
กระทู้นี้เขียนขึ้นมาเพื่ออธิบายง่ายๆเกี่ยวกับการช้อปเครื่องสำอางในอเมริกา
อาจจะไม่ได้มีเคล็ดลับหาของถูกหรืออะไรมากมายมากเล่าสู่กันฟัง
เพียงแต่อยากจะอธิบายขั้นต้นง่ายๆ ว่า ยี่ห้ออะไรขายอยู่ที่ไหน จะได้หาของที่ต้องการได้ครบค่ะ
หวังว่ากระทู้นี้จะมีประโยชน์แม้เพียงเล็กน้อยสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาช้อป
เพราะมีหลายที่ให้เที่ยว หรือไม่สามารถสั่งของออนไลน์ได้ เพื่อที่จะได้หาของที่ตัวเองต้องการได้ครบค่ะ
เท้าความนิดนึงว่า พอดีช่วงนี้เราได้มีโอกาสไปอเมริกาประมาณ10วัน
ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เราได้ไปอเมริหาหลังจากผันตัวมาเป็นอีบ้าเครื่องสำอาง
ก็เลยตื่นเต้นอยากช้อปมาก แต่เพราะเราไม่ค่อยมีเวลา
(ไปกับแฟนแล้วแฟนเราอยากไปดูนั่นดูนี่มากมายเลยไม่ค่อยมีเวลาช้อป)
แล้วเราก็สั่งของจากเน็ตไม่ได้เพราะอยู่โรงแรม กลัวพลาด
(รอบที่แล้วพลาดค่ะ ของมาส่งช้ากว่าที่คิด ก็เลยเสียตังฟรีของก็ไม่ได้)
เราก็เลยตัดสินใจจะนั่งหาข้อมูลให้ได้มากที่สุดจะได้ได้ของที่ต้องการครบ โดยที่ไม่ซื้อออนไลน์เลย
แต่ปรากฏว่าหาอะไรไม่ค่อยจะเจอเลยค่ะ ว่าอันไหนขายอยู่ที่ไหนบ้าง
หายากพอสมควรเลย เลยคิดว่าหลังจากจบทริปแล้วจะเขียนอธิบายง่ายๆขึ้นมาดีกว่าไหนๆก็หาข้อมูลมาแล้ว
จะได้มีประโยชน์กับคนอื่นบ้าง
คำเตือน: ข้อมูลทั้งหมดเขียนขึ้นจากประสบการณ์ของเราเองใน10วันที่เดินช้อปปิ้งอยู่ในอเมริกา
ก็อาจจะผิดพลาดไปบ้างหรือไม่ตรงกับความเป็นจริง เพราะเราเองก็เป็นแค่นักท่องเที่ยว ต้องขออภัยด้วยค่ะ
หากมีเพิ่มเติมหรือแย้งอย่างไรสามารถบอกได้ยินดีแก้ไขค่ะ
*เมืองที่เราไปมาคือ San Francisco กับ Boston ค่ะ
ข้อมูลที่เห็นนี้คือประสบการณ์ของเราจากสองเมืองนี้เท่านั้น
อาจต่างกันไปในแต่ละเมืองในเชิงของสต็อคสินค้าและความหลากหลายของสินค้าค่ะ
กระทู้นี้เป็นเพียงการอธิบายเพียงคร่าวๆเพื่อให้เห็นภาพ และง่ายต่อการช้อปปิ้งค่ะ*
*เราไม่ได้ถ่ายรูปสถานที่ไว้เลยเพราะตอนแรกไม่ได้กะจะเขียน ยังไงขอยืมรูปจาก internet และลง credit ไว้นะคะ ขออภัยมานะที่นี้ด้วย*
วางแผนเพื่อประหยัดเวลา
ก่อนอื่นขอแนะนำให้คนที่ไม่ค่อยมีเวลา เริ่มจากการวางแผนก่อนค่ะว่าตัวเองอยากได้อะไร
สินค้าที่ขายในsephora ถ้าที่ไทยมีก็ไปลอง ถ้าไม่มีก็หาอ่านรีวิวประกอบการตัดสินใจให้ดี
โดยเฉพาะของที่ขายในdrug storeที่อเมริกา ไม่สามารถลองสินค้าได้เลยซักชิ้น
อยากจะเปิดแท่งลิปสติกดูสียังทำไม่ได้เลยค่ะ (เค้าเอาสติกเกอร์ติดไว้ไม่ให้เปิดหลอดได้)
ดังนั้นถ้าหวังว่าไปถึงนู่นแล้วจะไปลองๆเอาคือทำไม่ได้ในร้านขายยานะคะ อีกอย่างหนึ่งคือ
ของบางอย่างไม่ได้มีขายที่ร้านใกล้ๆตัวเมืองเลย เช่น ต้องไปซื้อเอาที่ target หรือ Ulta
ซึ่งส่วนใหญ่มักจะไม่ได้อยู่ใน downtown ทำให้คนที่ไม่มีรถไปลำบาก ลองศึกษาดูค่ะว่ายี่ห้อที่ตัวเองต้องการมีขายที่ไหนบ้าง
หน้าร้านไม่ค่อยมีของ
อีกสิ่งนึงที่น่าสนใจเกี่ยวกับการซื้อเครื่องสำอางในอเมริกาคือของส่วนใหญ่ต้องซื้อผ่านทางเน็ต
ที่หน้าร้านมักจะไม่มีของครบครันรอให้เราซื้อ (ยกเว้นพวกdrug store ยี่ห้อยักษ์ใหญ่แบบLoreal Maybelline)
ในเว็บจะมีความหลากหลายของสินค้ามากกว่าหน้าร้านเสมอไม่ว่าจะเป็นร้านไหน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Sephora บางยี่ห้อนี่มีโผล่มาแค่ในเว็บด้วยซ้ำ ในร้านมีขายชิ้นเดียว
(ซึ่งดันไม่ใช่อันที่เราอยากได้T_T) หากไม่สามารถสั่งของจากในเน็ตที่อเมริกาได้ก็ต้องทำใจตรงนี้ค่ะ
ซื้อเครื่องสำอางได้ที่ไหน
1.High-end store : Sephora, Nordstrom, department store -
อันนี้คือเหมือนที่ไทยค่ะ เครื่องสำอางไลน์แบบไฮเอนด์หน่อยก็จะมีขายในห้างเช่น Macy’s
หรือ Nordstrom และแน่นอนที่Sephora สามารถ test สินค้าได้ตามสะดวก
ข้อดีซึ่งอาจเป็นข้อเสียสำหรับมนุษย์กลัวพนักงานขาย(แบบเรา) ก็คือพนักงานชอบถามว่าให้ช่วยไหมๆๆๆ
2.Drugstore: Walgreens, CVS -
ก็คือWatsonกับBootsที่ไทยดีๆนี่เองค่ะ ประเภทของสินค้าที่ขายจะใกล้เคียงกันมาก
ยกเว้นแต่ว่าเค้าขายของกินด้วยเลยทำให้ดูเหมือนเป็นsupermarketขนาดย่อมมากกว่า
ข้อเสียหลักๆเลยคือtestเครื่องสำอางไม่ได้ค่ะ และไม่มีคำอธิบายเรื่องสีต่างๆว่าเหมาะสมกับสีผิวใด
บอกแต่codeสีกับชื่อสี ซึ่งทำให้ยากมากในการหาสีรองพื้นที่ตรงกับตนเองโดยไม่ไปนั่งอ่านรีวิวในเนตมาก่อน
Drug store ที่อเมริกาหลักๆจะมีสองร้านคือWalgreens กับ CVS ค่ะ
Walgreens จะมีเยอะกว่า เป็นchainที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกามี8217สาขาทั่วประเทศ ส่วน CVS มี 7600 สาขา
เรียกว่าเดินไปเจออย่างน้อยหนึ่งร้านแทบจะทุกบลอค ยิ่งในโซนช้อปปิ้งนี่มีกันให้เกลื่อนเลยค่ะ
ตอนแรกเราไม่รู้ว่ามันจะมีเยอะ คิดว่าประมาณวัตสันมั้ง เพื่อความชัวร์ก็หาโลเกชั่นเก็บไว้ก่อนดีกว่า
ปรากฏว่าผิดคาดค่ะ เยอะอย่างกับเซเว่น เราเดาว่าที่นู่นdrug storeเค้าเป็นคล้ายๆเซเว่นที่นั่นนะ
อนึ่ง กระทู้นี้จะพูดถึงแต่ CVSและWalgreensนะคะ เนื่องจากเป็นร้านใหญ่ที่หาเจอได้ง่าย
3.Nordstrom Rack -
เป็นร้านลดราคาของ Nordstrom ที่เอาสินค้าเก่า/โละมาขาย ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า ของแบรนด์เนม
และ เครื่องสำอางlow-end/high-endปะปนกันไป เป็นที่ที่น่าสนใจมากในการหาของราคาถูกไปลองเล่น
แต่แน่นอนว่าเป็นของตกรุ่นซะส่วนใหญ่ เครื่องสำอางก็จะเป็นของSeasonเมื่อปีมะโว้ซะส่วนมาก
แต่มีหลากหลายตั้งแต่ NYX lorac ไปจนถึง Bobbi brown, smashbox และ stila แต่มีแค่ของลดราคาของแต่ละยี่ห้อไม่กี่รุ่นเท่านั้น
4.Local Discounted Beauty Store -
เราไม่ได้ไปเลยค่ะอันนี้ (โง่) เพิ่งมาค้นพบว่าแถวโรงแรมมีเอาวันท้ายๆ
หาจากใน yelp (เว็บหาร้านค้าต่างๆในอเมริกา) เลยไม่ทราบว่าถูกกว่าเยอะไหม
บางร้านที่เราเห็นก็คือราคาเท่ากับในห้างนั่นแหละแค่มีของมากกว่า เพราะเป็นร้านแบบspecializeค่ะ เช่น ขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผมโดยเฉพาะ
5.Supermarket -
อันนี้ก็ไม่ได้ไปอีกเช่นกัน ของกินซื้อที่ร้านขายยาเอา
แต่super marketที่ขายของorganic เช่น wholefood market
จะมีเครื่องสำอางแบบ organic หรืออย่างน้อยก็ผลิตภัณฑ์ที่ position ตัวเองว่าเป็นแบบนั้นขายอยู่เช่นครีม Egyptian Magic ค่ะ
6.Ulta -
ร้านนี้คือที่สุดแล้วค่ะขายของเกี่ยวกับความงามทุกรูปแบบ
ที่สำคัญคือมีทุกยี่ห้อตั้งแต่ถูกสุดๆยันแพงแบบไฮเอนท์
เหมือนSephora+walgreens+CVSในร้านเดียว คือมาร้านเดียวได้ครบ จบทุกสิ่งมากๆ
แต่ข้อเสียคือมักไม่มีอยู่ใกล้ตัวเมืองหรือdowntown เพราะร้านต้องใช้พื้นที่ใหญ่
อย่างเมืองที่เราไปทั้ง2เมือง ไม่มี ulta อยู่ในแหล่งท่องเที่ยวเลย
ต้องหาทางตะกายไปเองตรงขอบๆเมือง ซึ่งเราไม่มีรถทำให้การเดินทางลำบากมาก
*หมายเหตุ: จขกทไม่ได้ไป Target ซึ่งเป็นอีกที่คล้ายๆUlta
ที่มีเครื่องสำอางแบรนด์ไม่ใหญ่แต่น่าสนใจวางขายอยู่ เพราะมันไกลเกินค่ะ
ไม่ได้ไป Barney's ด้วยค่ะ ต้องขอโทษตรงนี้ด้วยที่ไม่มีข้อมูล*
ยี่ห้อและสถานที่ซื้อ - low-end
*ยี่ห้ออาจจะไม่ครบนะคะ อาศัยจำเอาก็จำได้แต่ยี่ห้อที่รู้จัก*
อธิบายเรื่องของตารางนิดนึง
ตามในตารางคือ สีเขียวมีขาย สีแดงไม่มีขาย
ส่วน%ที่เห็นนั้นคือAvailabilityหรือ%ว่าหาง่ายแค่ไหน 100%แปลว่ามีทุกร้านค่ะ
เช่น พวกยี่ห้อใหญ่ๆแถวบนนั้นนอกจากจะมีขายทั้งสองร้านแล้ว
ยังหาได้ทุกสาขาแน่นอน และที่สำคัญมีของขายครบเกือบหมดทั้งproduct line
คือว่าง่ายๆว่าสต็อคของเยอะและหลากหลายค่ะ
แต่ยี่ห้ออื่นๆเช่น ELF, real technique นั้นไม่ได้มีทุกสาขาและสินค้าที่มีก็ไม่ครบถ้วนค่ะ
ร้านเล็กๆหน่อยโอกาสที่จะไม่มีก็สูงค่ะ คอลัมน์สุดท้ายของตารางคือ
บอกว่าแต่ละยี่ห้อมีขายเยอะแค่ไหนโดยประมาณ
(เรากะเอาจากสายตาของเราเอง จากปริมาณของบนshelfที่เราเห็น
เทียบกับปริมาณสินค้าจริงที่ยี่ห้อนั้นมีขายในเนต)
สำหรับยี่ห้อที่product line = 100% คือไม่ต้องกังวงเลยค่ะว่าจะหาไม่ได้
เห็นตัวไหนน่าสนใจก็ไม่ต้องรีบซื้อก็ได้ หารีวิวอ่านก่อน
เดี๋ยวเดินเจออีกเรื่อยๆระหว่างทริปแน่นอนค่ะ เพราะทุกร้านขายครบทั้งไลน์สินค้า
ขึ้นอยู่ว่าของจะหมดหรือไม่เท่านั้นค่ะ
ไม่มีความจำเป็นต้องสั่งสินค้าชิ้นไหนจากเนตหากคุณมีกำหนดการณ์จะมาอเมริกาอยู่แล้วค่ะ
อย่างที่เราเขียนไว้ในตารางนะคะ Ulta เป็นที่ๆมีของขายครบเกือบทุกอย่างเลยค่ะ
และที่สำคัญจะมีสินค้าให้เลือกมากกว่า มีความหมายหลายกว่า
สำหรับพวกยี่ห้อเล็กๆเช่น Real techniques หรือ Lorac
ที่ไม่สามารถจะหาที่ไหนได้เลย ก็จะมีขายที่นี่ และมีของมากกว่าค่ะ
ต่อไปขอพูดถึงปริมาณและความหลากหลายของที่มีขายของแต่ละแบรนด์นิดนึงค่ะ
NYX
สามารถหาได้ค่อนข้างง่ายและมีของให้เลือกครบครันมากๆ
ไม่จำเป็นต้องตะเกียดตะกายหาอะไรมากมาย สำหรับNYXมีขายในnordstrom rackด้วยค่ะ
แต่สินค้าจะมีไม่เยอะเท่ากับในร้านขายยาและไม่ค่อยมีstockเท่าไหร่
ELF
เราลืมถ่ายรูปมาเลยไปเอารูปมาจากในเน็ต ต้องขอโทษด้วย เครดิตไว้ตามภาพนะคะ
Shelf ของ ELF ในCVSหน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ (มีแค่ที่ CVS นะคะ Walgreens ไม่มี)
http://nouveaucheap.blogspot.jp/2014_11_16_archive.html
image credit: Emily for Nouveau Cheap
image credit: http://beautybycorra.com/post/63636495711/elf-at-harmon
อย่างที่เห็นก็ดูเหมือนจะมีเยอะนะคะ แต่จริงๆเทียบกับของที่มีขายในเว็บELF หรือ Iherb
นี่ถือว่ามีไม่เยอะเลยนะ แต่สินค้าจำเป็นในการแต่งหน้า
เช่น blush, bronzer, foundation, eyeshadow palette, concealer มีขายค่ะ
เพียงแต่สินค้าที่ไม่จำเป็นเท่าไหร่เช่น แปรงรุ่นต่างๆที่ELFมีมากมายก็อาจจะมีไม่หมดค่ะ
แปรงที่มีก็มีเหมือนในรูปเลยค่ะมีแค่แถวบนสุด รวมๆแล้วไม่ถึง10รุ่นแน่นอน ชุดแปรงก็ไม่มี
รุ่นที่เราอยากได้ก็หาไม่เจอ T_T ไปมากี่ร้านๆก็ขายแปรงรุ่นเดียวกันหมดเลย สุดท้ายเราก็เลยหาไม่ได้
แปรงที่เราจำได้ว่ามีขายนะคะ
ELF Studio – Complexion brush, Angle Blush Brush, eyeshadow “C” Brush, Stipple Brush อันละ $3 ค่ะ
ส่วนแปรงที่เห็นในรูปที่2ที่เป็นสีขาวเป็นรุ่นธรรมดาที่ถูกลงมาอีกอันละ $2 ค่ะ
สรุป: สำหรับ ELF แนะนำว่าสั่ง Iherb ดีกว่าค่ะ เพราะcounterก็ลองไม่ได้เหมือนกัน แถวของน้อยกว่า ถ้าอยากได้จริงๆควรสั่งเนตค่ะ
MUA
มีแค่ที่CVSค่ะ ส่วนใหญ่เน้นไปที่แปรง ไม่ใช่เครื่องสำอาง ส่วนตัวเราไม่ได้ตามยี่ห้อนี้เท่าไหร่เลยไม่ค่อยทราบ ขอโทษด้วยค่ะ
Physicians formula
มีแค่ที่ CVS อีกเหมือนกัน มีสินค้าค่อนข้างหลากหลายค่ะ เพียงแค่ไม่ครบทุกสี
เช่น เราตามหา highlighter strip สี Miami strip ไม่เจอค่ะเจอแต่ Vegas กับ Waikiki
หาหลายร้านก็เจอแค่2สีนี้ ไม่รู้ของขาดstockหรือมันมีแค่นั้นกันแ่น่ อื่นๆนอกนั้นมีครบค่ะ รองพื้น บีบี ไฮไลท์ blush bronzer ☺
สรุป: หากไม่มายด์เรื่องสีมีไม่ครบถือว่าของครบครันมากค่ะ น่าจะสามารถหาทุกอย่างที่ต้องการได้
The balm
อันที่จริงเป็นสิ่งที่ไม่โลว์เอนด์เอามากๆ แต่เพราะหาได้ในร้านขายยาจึงจัดอยู่ในหมวดนี้
The balm จะสามารถพบเจอได้ในWalgreensขนาดใหญ่ยักษ์ที่มีโซนเครื่องสำอางพรีเมี่ยมเท่านั้นค่ะ
สังเกตร้านพวกนี้จะใหญ่มากแบบมีคาเฟ่ โซนขายยา แบ่งโซนต่างๆ ยิ่งใหญ่อลังการมาก ก็จะมีขายค่ะ
สินค้ามีหลากหลายเพราะมีshelfเป็นของตัวเอง ของดังๆมีครบ เช่น eyeshadow palette, apple cream blush palette
และตระกูล Louminizer
image credit: http://www.yelp.com/biz/walgreens-los-angeles-24
image credit: http://www.yelp.com/biz_photos/walgreens-honolulu?select=S9Q1Vi6bUkgQM7KVdh-O4A