คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 10
รุ่น 76 ครับ
ออกจากมหาลัยนี้ตั่งแต่ปีแรก ปัจจุบันเป็น นศ.ปี4 ของมหาลัยที่อื่นแล้ว
ยังมีมากกว่านี้ครับ ที่หนักสุดรุ่นผม อธิการบดีโดนปิดตึกเรื่องลดเวลาการรับน้องด้วย ถึงกับต้องไปอาศัยบ้านญาตเพื่อนที่เชียงใหม่อยู่กัน 2-3วันเลย(ออกข่าวด้วย ลองหากันดูนะครับ)
รุ่นผม โดนเก็บโทรศัพย์เช้สาล็อคเกอร์ด้วยนะ(ถึงจะสเดาะเอาเองได้ทีหลังก็เถอะ) นาฬิกาด้วยนะ และนาฬิกาทุกเรือนในมหาลัยโดนปิดหมด ว่าง่ายๆคือไม่รู้วันรู้คืนเลย
รุ่นผมที่โดน เท่าที่ผมจำได้
-ตอนวิ่งตอนเช้า มีคนเอาเหล้าขาวมาให้กิน
-มีคนโดนเตะ ถีบจนลงข้างทาง
-เงยหน้ามองไม่ได้อีก มองนิดเดียว แม้มทำหยั่งกะไม่ฆ่าญาติมันมา
-ตอนเช้าๆเป็นช่วงที่เจ็บตัว่ายที่สุด เพราะแม้งมั่วมาก ทั่งต่อย ถึบ
และพอผ่านรับตรงนี้ 7วัน น้องก็ต้องเจออีก 3 คืนที่เรียกว่า "โดม" ถ้ามีการเข้าโดม นั้นแหละครับ คือรับน้องย่อยๆ และไม่ได้เลิกแต่หัวค่ำนะครับ คืนนั้นอย่าหวังจะได้ทำงานเลย
มีอีกเยอะครับ เล่าไปก็ไม่จบ แต่พี่อยากบอกน้องว่า ถ้าน้องผ่านตรงนี้มาได้ เวลา 1ปีที่น้องจะต้องอยู่ในมหาลัยนี้ น้องโดนตัดสิทธิ์หลายๆอย่าง ไม่ว่
-ห้ามลิฟท์
-เจอรุ่นพี่(ที่บางที ก็ไม่ได้รู้จักเชี้ยอะไรเลย) ก็ต้องไหว้ตลอด
-ไปเรียน ต้องเข้าแถวไปพร้อมๆกัน
-ห้ามขี่มอไซ ในมหาลัย
-เดินเรียน...ใช้ครับ เดินเรียน ร้อน หรือไกล
ก็ต้องเดินครับ
บอกได้ไม่หมดหรอกครับ เยอะ
มหาลัยนี้
ออกจากมหาลัยนี้ตั่งแต่ปีแรก ปัจจุบันเป็น นศ.ปี4 ของมหาลัยที่อื่นแล้ว
ยังมีมากกว่านี้ครับ ที่หนักสุดรุ่นผม อธิการบดีโดนปิดตึกเรื่องลดเวลาการรับน้องด้วย ถึงกับต้องไปอาศัยบ้านญาตเพื่อนที่เชียงใหม่อยู่กัน 2-3วันเลย(ออกข่าวด้วย ลองหากันดูนะครับ)
รุ่นผม โดนเก็บโทรศัพย์เช้สาล็อคเกอร์ด้วยนะ(ถึงจะสเดาะเอาเองได้ทีหลังก็เถอะ) นาฬิกาด้วยนะ และนาฬิกาทุกเรือนในมหาลัยโดนปิดหมด ว่าง่ายๆคือไม่รู้วันรู้คืนเลย
รุ่นผมที่โดน เท่าที่ผมจำได้
-ตอนวิ่งตอนเช้า มีคนเอาเหล้าขาวมาให้กิน
-มีคนโดนเตะ ถีบจนลงข้างทาง
-เงยหน้ามองไม่ได้อีก มองนิดเดียว แม้มทำหยั่งกะไม่ฆ่าญาติมันมา
-ตอนเช้าๆเป็นช่วงที่เจ็บตัว่ายที่สุด เพราะแม้งมั่วมาก ทั่งต่อย ถึบ
และพอผ่านรับตรงนี้ 7วัน น้องก็ต้องเจออีก 3 คืนที่เรียกว่า "โดม" ถ้ามีการเข้าโดม นั้นแหละครับ คือรับน้องย่อยๆ และไม่ได้เลิกแต่หัวค่ำนะครับ คืนนั้นอย่าหวังจะได้ทำงานเลย
มีอีกเยอะครับ เล่าไปก็ไม่จบ แต่พี่อยากบอกน้องว่า ถ้าน้องผ่านตรงนี้มาได้ เวลา 1ปีที่น้องจะต้องอยู่ในมหาลัยนี้ น้องโดนตัดสิทธิ์หลายๆอย่าง ไม่ว่
-ห้ามลิฟท์
-เจอรุ่นพี่(ที่บางที ก็ไม่ได้รู้จักเชี้ยอะไรเลย) ก็ต้องไหว้ตลอด
-ไปเรียน ต้องเข้าแถวไปพร้อมๆกัน
-ห้ามขี่มอไซ ในมหาลัย
-เดินเรียน...ใช้ครับ เดินเรียน ร้อน หรือไกล

บอกได้ไม่หมดหรอกครับ เยอะ


สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 48
ผมอ่านเสร็จแล้วขำนะ ขำความคิดเห็นหลายๆอันในกระทู้นี้
แต่พอขำไปได้สักพักก็หดหู่นะ หดหู่ว่าทำไมคนในประเทศเราหลายๆคนถึงมีความคิดแบบนี้
อันดับแรกคือมันผิดกฏหมาย หมายถึงกฏหมายของราชอาณาจักรไทยเราเอง จะกฏไหนๆก็ไม่สามารถใช้ได้หากขัดกับกฏหมายครับ ยกตัวอย่างเช่น ผมเขียนไว้หน้าบ้านว่า "บ้านนี้สามารถเล่นการพนันได้" แล้วพอตำรวจมาผมจะไปอ้างว่า "ก็นี่บ้านผม ผมจะทำอะไรก็ได้ ผมเขียนป้ายบอกไว้แล้ว ทำไมคุณตำรวจไม่อ่าน" ก็ถือว่าใช้ไม่ได้ เพราะยังไงการพนันก็ผิดกฏหมาย เช่นเดียวกันกับที่เราเห็นในกิจกรรมรับน้อง ไม่ว่าจะเป็นการกักขังหน่วงเหนี่ยว, ริบทรัพย์, ทำร้ายร่างกาย ทำไม่ได้ครับ ถ้าคุณอ้างว่า "มหาลัยเราทำ ยังไม่เคยถูกปิดเลย" รบกวนนำกล้องวิดีโอ ไปถ่ายกิจกรรมตลอดเวลาเลยนะครับ ถ่ายให้หมดเลย คำพูดคำจาของพี่ สั่งอะไรน้องบ้าง ทำอะไรน้องบ้าง ให้ครบตลอดเลยนะ แล้วส่งเข้ากระทรวงศึกษา ส่งให้สำนักนายกเลยครับ อ่อ จริงๆไม่ต้องถ่ายเองก็ได้นะ แค่ให้น้องเอามือถือไปด้วยก็ได้ครับ
อันดับสองคือมันไม่ช่วยครับ มันไม่ได้ช่วยเรื่องการเพิ่มความกดดันในการทำงาน มันไม่ได้ช่วยเรื่องการเตรียมความพร้อมใดๆทั้งสิ้น หากลุ่มตัวอย่างในการพิสูจน์ไม่ยาก ก็คนทำกิจกรรมที่ปากบอกเองว่าจะช่วยทำให้น้องรับแรงกดดันได้มากๆนั้นแหละ เขายังไม่มีความกดดันเลยเวลาคนอื่นว่า คนอื่นสงสัยในกิจกรรมของตนเลย... และมันก็ไม่ได้สร้างวินัยอะไรเลย ก็กลับมาเรื่องเดิม... กฏหมายที่ควรจะเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติตาม ก็ตัวพี่ที่ทำกิจกรรมเองยังเอาตัวเองอยู่ใน "วินัย" ของชาติไม่ได้เลย
อันดับสามคือการเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องไม่ต้องผ่านกิจกรรมแบบนี้ กิจกรรมแบบอื่นที่ไม่ต้องบังคับ กิจกรรมแบบอื่นที่ทำให้เจอเพื่อน เจอพี่ เจอน้อง มีอีกมากมาย ตอนที่เรียน ผมรู้จักเพื่อน พี่น้อง ก็ด้วยกิจกรรมของชมรมคณะ ของสโมสรนักศึกษานั้นแหละครับ (อ่อ ผมไม่ได้เรียนแม่โจ้นะครับ ไม่ต้องสืบ)
ผมเคยพูดเรื่องนี้หลายครั้งกับคนที่ทำกิจกรรมด้านนี้นะ ผมรู้ว่าพูดให้เขาฟังยังไง มีเหตุผลแค่ไหน ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดคนเหล่านี้ได้เลย คงเหล่านี้ส่วนนึงเป็นคนบ้าพรรคบ้าพวก ถ้าเพื่อนทำ พี่ทำ ก็อยากมีส่วนร่วมอยากทำด้วย จริงๆแล้วดี แต่ผิดที่ว่าการเลือกทำอะไรตามคนส่วนใหญ่ ตามคนที่เราเคารพนับถือ ก็ต้องเคารพกฏหมายบ้านเมือง ความถูกผิดของสังคมส่วนใหญ่ด้วย
เขียนยังไงคนเหล่านี้ก็คงไม่เปลี่ยนใจ... ไม่เปลี่ยนความคิด... คนเหล่านี้กลับเป็นคนที่ไม่รู้จักปรับตัวเข้ากับสังคม ที่ทุกวันนี้มีแต่จะก้าวเดินไปในทางที่แต่ละตัวบุคคลมีสิทธิ์และเสรีภาพมากขึ้น
แต่พอขำไปได้สักพักก็หดหู่นะ หดหู่ว่าทำไมคนในประเทศเราหลายๆคนถึงมีความคิดแบบนี้
อันดับแรกคือมันผิดกฏหมาย หมายถึงกฏหมายของราชอาณาจักรไทยเราเอง จะกฏไหนๆก็ไม่สามารถใช้ได้หากขัดกับกฏหมายครับ ยกตัวอย่างเช่น ผมเขียนไว้หน้าบ้านว่า "บ้านนี้สามารถเล่นการพนันได้" แล้วพอตำรวจมาผมจะไปอ้างว่า "ก็นี่บ้านผม ผมจะทำอะไรก็ได้ ผมเขียนป้ายบอกไว้แล้ว ทำไมคุณตำรวจไม่อ่าน" ก็ถือว่าใช้ไม่ได้ เพราะยังไงการพนันก็ผิดกฏหมาย เช่นเดียวกันกับที่เราเห็นในกิจกรรมรับน้อง ไม่ว่าจะเป็นการกักขังหน่วงเหนี่ยว, ริบทรัพย์, ทำร้ายร่างกาย ทำไม่ได้ครับ ถ้าคุณอ้างว่า "มหาลัยเราทำ ยังไม่เคยถูกปิดเลย" รบกวนนำกล้องวิดีโอ ไปถ่ายกิจกรรมตลอดเวลาเลยนะครับ ถ่ายให้หมดเลย คำพูดคำจาของพี่ สั่งอะไรน้องบ้าง ทำอะไรน้องบ้าง ให้ครบตลอดเลยนะ แล้วส่งเข้ากระทรวงศึกษา ส่งให้สำนักนายกเลยครับ อ่อ จริงๆไม่ต้องถ่ายเองก็ได้นะ แค่ให้น้องเอามือถือไปด้วยก็ได้ครับ
อันดับสองคือมันไม่ช่วยครับ มันไม่ได้ช่วยเรื่องการเพิ่มความกดดันในการทำงาน มันไม่ได้ช่วยเรื่องการเตรียมความพร้อมใดๆทั้งสิ้น หากลุ่มตัวอย่างในการพิสูจน์ไม่ยาก ก็คนทำกิจกรรมที่ปากบอกเองว่าจะช่วยทำให้น้องรับแรงกดดันได้มากๆนั้นแหละ เขายังไม่มีความกดดันเลยเวลาคนอื่นว่า คนอื่นสงสัยในกิจกรรมของตนเลย... และมันก็ไม่ได้สร้างวินัยอะไรเลย ก็กลับมาเรื่องเดิม... กฏหมายที่ควรจะเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติตาม ก็ตัวพี่ที่ทำกิจกรรมเองยังเอาตัวเองอยู่ใน "วินัย" ของชาติไม่ได้เลย
อันดับสามคือการเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องไม่ต้องผ่านกิจกรรมแบบนี้ กิจกรรมแบบอื่นที่ไม่ต้องบังคับ กิจกรรมแบบอื่นที่ทำให้เจอเพื่อน เจอพี่ เจอน้อง มีอีกมากมาย ตอนที่เรียน ผมรู้จักเพื่อน พี่น้อง ก็ด้วยกิจกรรมของชมรมคณะ ของสโมสรนักศึกษานั้นแหละครับ (อ่อ ผมไม่ได้เรียนแม่โจ้นะครับ ไม่ต้องสืบ)
ผมเคยพูดเรื่องนี้หลายครั้งกับคนที่ทำกิจกรรมด้านนี้นะ ผมรู้ว่าพูดให้เขาฟังยังไง มีเหตุผลแค่ไหน ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดคนเหล่านี้ได้เลย คงเหล่านี้ส่วนนึงเป็นคนบ้าพรรคบ้าพวก ถ้าเพื่อนทำ พี่ทำ ก็อยากมีส่วนร่วมอยากทำด้วย จริงๆแล้วดี แต่ผิดที่ว่าการเลือกทำอะไรตามคนส่วนใหญ่ ตามคนที่เราเคารพนับถือ ก็ต้องเคารพกฏหมายบ้านเมือง ความถูกผิดของสังคมส่วนใหญ่ด้วย
เขียนยังไงคนเหล่านี้ก็คงไม่เปลี่ยนใจ... ไม่เปลี่ยนความคิด... คนเหล่านี้กลับเป็นคนที่ไม่รู้จักปรับตัวเข้ากับสังคม ที่ทุกวันนี้มีแต่จะก้าวเดินไปในทางที่แต่ละตัวบุคคลมีสิทธิ์และเสรีภาพมากขึ้น
ความคิดเห็นที่ 46
คำว่า ประเพณี มันไม่ได้แปลว่าทำถูกเสมอไป ที่ไม่ดีก็เลิกซะ ตัวอย่างเช่น ที่ เนปาลเขาฆ่าสัตว์เป็นแสนๆ ในเวลาเดียวกัน บูชายันต์ มีเป็น 400 ปี นี่ก็เริ่มจะเลิกละ อย่างอินเดียสมัยก่อนมีฆ่าคนเพื่อบูชายันต์ ทำมาหลายพันปีแล้ว แล้วมันต้องทำต่อไปด้วยเหรอ คิดสิคิด ไตร่ตรองหน่อย
ขอให้เลิกทำอะไรงี่เง่าสักทีเถอะ เลิกอ้างโน่นอ้างนี่ เลิกบังคับ และยอมรับเหอะ ว่ามันไม่เข้าท่า
ถ้าอยากจะจัดกิจกรรม ขอให้เป็นกิจกรรมที่มันดีมีคุณค่า เช่น ค่ายอาสา ช่วยสอนหนังสือเด็กๆที่ห่างไกล ช่วยเหลือคนพิการ สอนหนังสือน้องๆหรือแม้แต่ประชาชนที่ไม่ค่อยได้เรียนหนังสือ ช่วยเหลือสัตว์ไร้บ้าน ปลูกป่า เก็บขยะ ช่วยชาวบ้านที่เดือดร้อนจากภัยธรรมชาติ ขุดลอกคูคลอง
เป็นปัญญาชนควรทำตัวอย่างดีๆ ให้คนเขาเห็นเถอะ นี่ก็อาศัยภาษีคนไทยไปเรียนด้วยส่วนหนึ่งนะ (ไม่ใช่มหาวิทยาลัยเอกชน) ควรสำนึกบุญคุณของประเทศ และช่วยทำตัวให้มีคุณค่า อย่าสร้างปัญหาให้สังคมเลย
ขอให้เลิกทำอะไรงี่เง่าสักทีเถอะ เลิกอ้างโน่นอ้างนี่ เลิกบังคับ และยอมรับเหอะ ว่ามันไม่เข้าท่า
ถ้าอยากจะจัดกิจกรรม ขอให้เป็นกิจกรรมที่มันดีมีคุณค่า เช่น ค่ายอาสา ช่วยสอนหนังสือเด็กๆที่ห่างไกล ช่วยเหลือคนพิการ สอนหนังสือน้องๆหรือแม้แต่ประชาชนที่ไม่ค่อยได้เรียนหนังสือ ช่วยเหลือสัตว์ไร้บ้าน ปลูกป่า เก็บขยะ ช่วยชาวบ้านที่เดือดร้อนจากภัยธรรมชาติ ขุดลอกคูคลอง
เป็นปัญญาชนควรทำตัวอย่างดีๆ ให้คนเขาเห็นเถอะ นี่ก็อาศัยภาษีคนไทยไปเรียนด้วยส่วนหนึ่งนะ (ไม่ใช่มหาวิทยาลัยเอกชน) ควรสำนึกบุญคุณของประเทศ และช่วยทำตัวให้มีคุณค่า อย่าสร้างปัญหาให้สังคมเลย
ความคิดเห็นที่ 23
น่าแปลกใจนะครับ คนที่จบมหาวิทยาลัยนี้"ส่วนใหญ่"ก็ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและไม่สร้างความวุ่นวายหรือเป็นภาระแก่สังคม ไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่รุ่นพี่ท่านอื่นๆให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ทั้งๆที่ไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ และรุ่นพี่ท่านอื่นๆก็ล้วนผ่านเหตุการณ์นี้กันมาแล้วทั้งนั้น
แต่ก็น่าแปลกใจอีกล่ะครับ คนเข้าเรียนเป็นพันเป็นหมื่นคน กลับมีคนออกมาโวยวายแค่ไม่กี่คน และในสมัยนี้เป็นไปไม่ได้ที่ก่อนเข้ามหาวิยาลัยน้องๆ จะไม่สืบประวัติของมหาวิทยาลัย ที่ตนเองจะเข้าเรียน หนึ่งในนั้นคือการรับน้อง ซึ่งก็มีคนบอกอยู่แล้วว่าแต่ละที่รับน้องกันยังไง น่าจะช่วยในการตัดสินใจที่จะไม่เรียนที่นั่นได้นะครับ ดีกว่ามาป่าวประกาศแบบนี้คนอื่นเค้าจะว่าเอานะครับว่าไม่รู้จัก"ความอดทน"
ประเด็นของการเคารพผู้อาวุโส อยูที่ตัวเราเองครับ เราจะทำตัวแบบว่าหากต้องการให้พี่คนนั้น พี่คนนี้ช่วยเหลือ ค่อยไปไหว้มันล่ะกัน คิดในทางกลับกัน หากเราเป็นรุ่นพี่บ้างเราจะรู้สึกยังไง เก็บเอาไปคิดนะครับ คิดมุมกว้าง อย่าคิดเอาแต่เราคนเดียว มันเห็นแก่ตัว
แต่ก็น่าแปลกใจอีกล่ะครับ คนเข้าเรียนเป็นพันเป็นหมื่นคน กลับมีคนออกมาโวยวายแค่ไม่กี่คน และในสมัยนี้เป็นไปไม่ได้ที่ก่อนเข้ามหาวิยาลัยน้องๆ จะไม่สืบประวัติของมหาวิทยาลัย ที่ตนเองจะเข้าเรียน หนึ่งในนั้นคือการรับน้อง ซึ่งก็มีคนบอกอยู่แล้วว่าแต่ละที่รับน้องกันยังไง น่าจะช่วยในการตัดสินใจที่จะไม่เรียนที่นั่นได้นะครับ ดีกว่ามาป่าวประกาศแบบนี้คนอื่นเค้าจะว่าเอานะครับว่าไม่รู้จัก"ความอดทน"
ประเด็นของการเคารพผู้อาวุโส อยูที่ตัวเราเองครับ เราจะทำตัวแบบว่าหากต้องการให้พี่คนนั้น พี่คนนี้ช่วยเหลือ ค่อยไปไหว้มันล่ะกัน คิดในทางกลับกัน หากเราเป็นรุ่นพี่บ้างเราจะรู้สึกยังไง เก็บเอาไปคิดนะครับ คิดมุมกว้าง อย่าคิดเอาแต่เราคนเดียว มันเห็นแก่ตัว
แสดงความคิดเห็น
รับน้องป่าเถื่อนแบบนี้ ยังมีอยู่อีกหรือ?
สวัสดีครับชาวพันทิป วันนี้ผมจะมาเขียนกระทู้การรับน้องของมหาลัยแห่งหนึ่งทางเหนือชื่อ 2 พยางค์ ขึ้นต้นด้วย ม. ม้า ลงท้ายด้วย จ. จาน รับน้องกินเวลาทั้งหมด 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 1-7 สิงหาคม เปิดเรียนจริงวันที่ 10 จขกท. ไม่รู้ว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันรู้สึกอย่างไร กับกิจกรรมการรับน้องของทางมหาลัย แต่ จขกท. คิดว่ามันเป็นการรับน้องที่ป่าเถื่อนที่สุด ไม่คิดเลยว่าการรับน้องแบบนี้ยังคงหลงเหลืออยู่ วันที่ จขกท. เขียนกระทู้นี้คือวันที่ 4 ของกิจกรรมน้อง ก่อนกิจกรรมรับน้อง รุ่นพี่บอกไว้ว่า ทางหหาลัยห้ามให้ใช้ แป้งหอม น้ำหอม โฟมล้างหน้า จำกัดจำนวนเสื้อพ้า บลาๆ จนถึงห้ามใช้มือถือ เพราะ (ได้ยินมาว่า) ปีที่แล้วมีปัญหาโดนถ่ายวิดีโอไปแจ้งความ แต่เรื่องก็เงียบไป ไม่มีอะไรคืบหน้า
วันแรกของการรับน้อง มีเสียงกริ่งเหมือนกริ่งดับเพลิง ปลุกตั้งแต่ตี 5 (เวลาประมาณ) ทุกอย่างดูเหมือนจะปกติ แต่เวลาเลิกกลับเข้าหอของวันนั้นประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง จขกท. ไม่ทราบว่ามีกิจกรรมอะไรบ้างแต่เพื่อน จขกท. กลับมามีกลิ่นโชย + ปวดคอ + หอบกันทุกคน รุ่นพี่เริ่มแสดงอาการ "ว๊าก" เป็นสิ่งที่ จขกท. ไม่ชอบเอามากๆ เร่งน้องอาบน้ำ ด้วยการตะโกนลั่น ด้วยคำหยายคาย ว๊ากน้องต่างๆ นาๆ วันที่ 2 มีปลุกด้วยกริ่งเหมือนเดิม แต่มีอะไรที่ยิ่งกว่านั้นคือ มีรุ่นพี่เป็นขโยงมาโห่ปลุกน้อง เสียงโหยหวนมาก หนักสุดมีคำด่าทอ ท้าทาย ไอ้สั* มึ*ลงมาดิวะ ... และอื่นๆ อีกมากมาย วันที่ 3,4 ก็มีกิจกรรมแบบเดิม ว๊ากน้องตามเคย แต่ที่หนักกว่านั้นคือ เพื่อน จขกท. โดนซ้อม (ไม่ถึงกับฟกช้ำ) แบบจับมือใครดมไม่ได้ แน่นอนว่าทาวมหาลัยบอกหากโดนซ้อมให้เรียกรุ่นพี่คนอื่นๆ ช่วย แล้วจับมือพี่คนที่ทำร้ายไว้ แต่รุ่นพี่มาเป็นกลุ่มคณะ เพื่อน จขกท. เล่าว่า โดนต่อยมือไปทีหนึ่ง แล้วหกล้ม (จขกท. ไม่ทราบว่าหกล้มได้ยังไง) แล้วมีพี่คนนึ่งเหมือนจะมาช่วย แต่ดันเอามือมากดคอเพื่อน จขกท. ไว้ แล้วบีบซ้ำ เพื่อน จขกท. ถึงกลับร้องไห้ แต่ก็ไม่มีใครช่วยเหลือ (แค่เหมือนจะมีครูมาช่วยภายหลัง) จนตอนนี้จะเข้าสู่วันที่ 5 ของการรับน้องแล้ว ที่นี่เป็นเสมือน "นรก" สำหรับรุ่นน้อง จขกท. ไม่อยากให้มีการรับน้องแบบนี้เลย อยากขอให้การรับน้องที่แสนจะป่าเถื่อนแบบนี้หมดไป อยากให้เป็นการรับน้องที่สร้างสรรค์ ไม่ใช่เหมือนการระบายอารมณ์ของรุ่นพี่ ที่ได้รับความเจ็บปวดจากการรับน้องของรุ่นพี่ต่อๆ กันมา ปัญญาชนเขาไม่ทำแบบนี้กันหรอก จขกท. อยากมาเรียน มาหาความรู้ แน่นอนว่า ทุกคนที่เข้ามาเรียนก็คิดแบบนี้เช่นกัน จขกท. วอนกราบทุกท่านที่เจ้ามาอ่าน ช่วยกันแชร์ ช่วยกันแสดงความคิดเห็น ช่วยกันล้มล้าง การรับน้องที่แสนจะป่าเถื่อนแบบนี้ที ...
สุดท้ายนี้ จขกท. ก็ต้องกราบขอโทษ ที่เอาความลับของมหาลัยมาเปิดเผย แต่มันไม่ควรจะสืบต่อการรับน้องแบบนี้ต่อไปในอนาคต ขอบคุณครับ
====== เพิ่มเติม ======
ก่อนอื่นต้องขอโทษทุกท่าน ที่เสนอเนื้อหาเพียงด้านเดียว และต้องขอย้ำว่า ไม่ได้ทีเจตนาที่จะมาป่วนกระทู้เล่นๆ เนื้อหาต่อไปที่ จขกท. จะเพิ่มเติมก็คือด้านที่ทำให้ จขกท. รู้สึกประทับใจ และอยากให้คงอยู่เช่นเดิม เช่น
- รุ่นพี่ออกมาช่วยแบกกระเป๋าในวันแรกที่เดินเข้ามาในรั้วมหาลัย เป็นภาพที่น่าประทับใจมาก
- รุ่นพี่สาขาอาสาช่วยเหลือในด้านสิ่งของอุปโภค บริโภคต่างๆ (เทคแคร์ดีมากๆ )
- มีบริการอาหารทั้งมื้อเช้า และมื้อเย็น รวมถึงมื้อกลางวัน และยังมีขนม นมเนย ให้บริการน้ำน้องๆ ถึงที่
- มีพี่มาเช็ดตัวให้น้อง ในกรณีที่ไม่สบาย ตัวร้อนเป็นไข้ ไม่สามารถดูแลตัวเองได้
- มีการพบปะพี่สาขา และพี่เทค รวมถึงพี่รหัส และครูประจำสาขาวิชาของแต่ละวิชา และอธิการของคณะ
ที่กล่าวมานี้อาจจะเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งและเป็นส่วนที่ดี (มากๆ) และ คหสต. ของ จขกท. คิดว่า เพียงแค่นี้ จขกท. ก็ประทับใจในการต้อนรับของรุ่นพี่มากแล้ว
จขกท. คิดว่าการรับน้องที่ดูรุนแรง และอย่างที่กล่าวว่า มีการว๊าดน้องหรือ อื่นๆ โดยอ้างจุดประสงค์นาๆ เช่น เพื่อฝึกความอดทน ความสามัคคี หรือเป็นการทดสอบอะไรก็ตามแต่ จขกท. คิดว่า มันไม่จำเป็นที่จะต้องฝึกถึงขนาดนั้น หากคุยด้วยเหตุและผล วัยทำงานคงไม่มีเหตุการณ์ที่รุนแรงเหล่านั้น กล่าวคือ ความกดดันมันมากเกินไป การรับน้องควรจะมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ไม่จำเป็นต้องล้มล้างหรือยกเลิก (หากแต่ ตปท. เขาไม่มีการรับน้อง) และอยากให้การรับน้อง มีความสอดคล้องกับกฎหมายมากกว่านี้ อีกทั้งกฎหมายการรับน้องในปัจจุบัน ก็ครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็น ห้ามว๊ากน้อง, บังคับให้น้องเข้าร่วม, ลงไม้ลงมือ, กล้ำกลืนฝืนใจ หรือ ถึงขั้นบาดเจ็บและเสียชีวิต (คงไม่ถึงขั้นนี้) กฎหมายรับน้องก็ครอบคลุมทั้งหมด แต่การรับน้องก็ยังคงมีการบังคับน้อง ว๊ากน้อง หรือถึงขั้นลงไม้ลงมือ หรือจะเป็นเพราะว่าการรับน้องของมหาวิทยาลัยนี้ ไม่ได้ใช้รัฐธรรมนูญ ไม่ได้อยู่ใต้ธงไทยเช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ หรือ ...
ทั้งนี้ผมต้องกราบขอโทษพี่ๆ ที่ทำการแหกกฎพี่รุ่นพี่ต่างรักษากันมา แต่ผมอยากให้พี่ลองเปิดใจ และลองคิดดูว่า หากมันมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ให้มันทันสมัย เกิดรอยยิ้มในการรับร้อง และหลังการรับน้อง มิใช่เพียงว่า พี่โดนมาอย่างไร น้องก็ต้องโดนมาอย่างนั้น ถึงจะสืบต่อกันมาเกือบร้อยปีแล้ว แต่หากมันล้าสมัย ก็ควรจะมีการอัพเดทมิใช่หรือ จากที่ผมสอบถามเพื่อนๆ ที่เข้าร่วมการรับน้องด้วยกันต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "รุนแรง, โหด, ยิ่งกว่าค่ายทหาร และอื่นๆ" คนอื่นๆ เมื่อได้ทราบแบบนี้แล้วก็บอกเป็นเสียงเดียวเช่นกัน จขกท. ไม่ทราบมาก่อนว่า มหาลัยนี้มีการรับน้องโหดที่ติดอันดับต้นๆ ... ส่วนเรื่องเราเป็นคนเลือกมหาลัย มหาลัยไม่ได้เลือกเรา ส่วนตัวคิดว่า เรียน มหาลัยไหนก็คงมีการรับน้องที่ไม่ต่างกันครับ
===== ผมก็มีเรื่องมาเพิ่มเติมเพียงเท่านี้ครับ และก็ขอบคุณทุกความคิดเห็นนะครับ ขอบคุณครับ =====
=== เพิ่มเติมรับน้องวันที่ 6 (สุดท้าย) ===
เจ้าของกระทู้ได้เขียนคำร้องลบกระทู่ไปเมื่อประมาณ 8 ชม. ก่อนหน้านี้ แต่กระทู้ก็ยังคงอยู่ จขกท. อยากขอโทษรุ่นพี่มากๆ ที่เข้าใจจุดประสงค์ของกิจกรรมรับน้องบางกิจกรรมผิดไป และหลังจากที่มีข่าวรุ่นพี่ ปี 2 ถูกระเบิดแขนซ้ายขาด และต้องตัดขาซ้ายทิ้ง การรับน้องดูเหมือนจะเบาลงมาเล็กน้อย จขกท. เข้าใจแล้วว่าบางอย่างทำไมถึงได้เก็บไว้เป็นความลับ และ จขกท. ก็เล็งเห็นความสำคัญของกิจกรรมรับน้องบางกิจกรรม แต่ จขกท. ก็ยังคงยืนยันคำเดิมว่า กิจกรรมรับน้องบางกิจกรรมที่รุนแรง เช่น รับน้องด้วยระเบิด หรือในข่าวเรียกว่าประทัดยักษ์นั่นเอง สมควรเลิกใช้ อย่างน้อยก็ควรจะเป็นประทัดธรรมดาๆ (แต่ก็ยังคงอันตราย หากใช้ไม่ระมัดระวัง), อีกอย่างก็คือ การว๊ากน้องยังคงมีให้เห็น รุ่นพี่บางคนยังคงใช้คำไม่สุภาพตะโกนใส่รุ่นน้อง (ในบางกรณีที่รุ่นน้องคุยกันเสียงดังอาจจะไม่เกี่ยวข้อง), การให้น้องก้มหน้านานๆ โดยไม่มีสาเหตุ และสุดท้าย ลัทธิอาวุโสยังคงเด่นชัด พี่ๆ ปี 3 จะมีอำนาจมากจนเห็นได้ชัดเจน ส่วนพี่ปี 2 ก็มีอำนาจกว่าน้องใหม่ (ว่าที่ปี 1) แต่ก็ขึ้นตรงต่อพี่ปี 3 ส่วนพี่ปี 4 ก็คงจะเหมือนกรณีพี่ปี 3 และพี่ปี 2, เวลาในการร่วมกิจกรรมรับน้องดูเหมือนจะกินเวลามากเกินไปหรือปล่าวครับ เรื่องนี้ก็เป็นประเด็นที่สำคัญเช่นกันครับ
ขอบคุณสำหรับการรับฟัง และต้องกราบขอโทษรุ่นพี่อีกครั้งหนึ่ง ที่นำเอาความลับของมหาลัยมาแพร่งพราย ส่วนตัว จขกท. คิดว่ายกมาเฉพาะสิ่งที่มันอันตรายเท่านั้น หากผิดพลาดประการใด ก็ต้องกราบขอโทษไว้ ณ ที่นี้ด้วย กระทู้นี้ จขกท. ขอผิดการแสดงความคิดเห็นของตัว จขกท. เองเพียงเท่านี้ครับ