คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 48
อย่าชี้นิ้วโทษใครเลยครับ พวกเราทำกันเองทั้งนั้น
กี่ครั้งแล้วที่เราเห็น บางสิ่ง บางอย่าง ไม่ถูกต้อง
แล้วพวกเราก็มองข้าม หรือไม่ก็ร่วมทำสิ่งนั้นด้วย
ขนาดเรื่องเล็กๆ ขยะทิ้งที่ไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่บ้านของตัวเอง

หรือบางทีไปเที่ยวทะเล กับอุดหนุนพวกร้านขายอาหารที่ทำผิดกฏหมาย บุกรุกชายหาด


หรือเวลาหาโรงเรียนดีๆ ดังๆ ให้ลูก
พ่อ แม่ บางคน ใช้เงิน หรือไม่ก็ต้องหาผู้ที่มีอำนาจที่จะสามารถฝากลูกหลานของตัวเองได้

พอลูกหลานโตขึ้นหน่อย ถ้างานไหนที่สามารถฝากลูกหลานทำได้ ก็จะวิ่งเต้นหาผู้ใหญ่
รวมถึงพฤติกรรมอีกหลายๆอย่างที่เกาะลึกในสังคมเรา
แต่ตัวที่สำคัญที่สุดคือการคอรัปชั่น
การคอรัปชั่นที่เกาะกินมานาน พวกนักการเมืองรวย แต่ตัวเองได้ผลประโยชน์ก็ไม่เป็นไร สังคมไทยยอมรับได้
เคยมีผลสำรวจว่า คนไทยร้อยละ 63 ยอมรับรัฐบาลโกง หากตัวเองได้ประโยชน์ด้วย
ตัวอย่างเกาหลีใต้
เขียนโดย เกษมสันต์ วีระกุล
ตีพิมพ์ลงในนิตยสาร Mix Magazine ฉบับเดือน กันยายน 2557
พ.ศ. 2503 คนเกาหลีใต้มีรายได้เฉลี่ยคนละ 5,100 บาท คนไทยมีรายได้เฉลี่ยคนละ 3,300 บาทต่อปี ต่างกัน แค่ 1,800 เท่านั้นเอง
แต่พอมาถึงปี พ.ศ. 2556 ขณะที่คนไทยมีรายได้เฉลี่ย 188,000 บาท คนเกาหลีใต้ กลับมี รายได้สูงถึง 842,000 บาท ต่างกัน 654,000 บาท
ที่เขาทำได้นอกจากจะเป็นเพราะเขามียุทธศาสตร์ ในการพัฒนาประเทศที่ชัดเจนกว่าเราแล้ว อีกเรื่องที่ผมคิดว่ามีผลอย่างมากก็คือ เขาปราบคอร์รัปชั่นได้เก่งกว่าเรา ทั้งๆที่ในอดีตนั้นการคอร์รัปชั่นในเกาหลีใต้นั้นเคยหนักหนาสาหัสไม่น้อยไปกว่าในไทย
การคอร์รัปชั่นในเกาหลีใต้เริ่มพร้อมๆกับการที่ประเทศเขาได้เอกราชจากญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2491 เพราะในตอนนั้น รัฐบาลได้ยึดทรัพย์สินและโรงงานของญี่ปุ่นมาเป็นของรัฐ ใครอยากจะได้ของดีราคาถูกก็ต้องวิ่งเข้าหารัฐบาล แต่คนมีสิทธิ์ก็จะมีเพียงคนที่มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลเท่านั้น กลุ่มธุรกิจไหนที่สายสัมพันธ์ดีกว่ากลุ่มอื่นๆ ก็จะเติบใหญ่กลายเป็น “แชโบล” ซึ่งเป็นภาษาเกาหลีแปลว่า “ธุรกิจขนาดใหญ่”
ความสัมพันธ์ระหว่างแชโบลกับการเมืองจึงเป็น “ความสัมพันธ์ในเชิงอุปถัมภ์” เหมือนๆกับในเมืองไทย หากใครหันไปสนับสนุนฝ่ายตรงข้ามก็จะถูกประธานาธิบดีใช้กฎหมายปราบปรามคอร์รัปชั่นจับติดคุกหมด ดังนั้นก่อนปี พ.ศ. 2540 การปราบคอร์รัปชั่นจึงเป็นเพียงข้ออ้างบังหน้าที่มีเอาไว้ใช้ ปราบศัตรูทางการเมือง เท่านั้นเอง
เติบใหญ่ทางธุรกิจก็ยังไม่พอ แชโบลยังอาศัยสายสัมพันธ์ที่ดีรุกคืบเข้าไปซื้อหุ้นธนาคารที่รัฐบาลเคยถือหุ้นอยู่ ซึ่งรัฐบาลก็เต็มใจขายเพราะมีแรงกดดันจากนานาชาติให้เปิดเสรีทางการเงิน พอได้เป็นเจ้าของธนาคารด้วย แชโบลก็เลยสนุกสนานกับการเอาเงินธนาคารที่ตัวเองเป็นเจ้าของไปลงทุนแบบไม่ยั้งไม่ต้องคิดถึงต้นทุนดอกเบี้ยจนทำให้สัดส่วนหนี้ต่อสินทรัพย์ของแชโบลนั้นโตเป็นบอลลูนเลยทีเดียว และพอวิกฤติต้มยำกุ้งซึ่งเริ่มต้น จากเมืองไทยลามไปถึงเกาหลีใต้ เศรษฐกิจที่นั่นก็เลยพังพาบไปพร้อมๆกับเมืองไทยเลยทีเดียว
ตอนนั้นล่ะครับที่เกาหลีใต้เขารู้ว่าถ้าปล่อยให้มีการโกงแบบนี้ต่อไป เขาไปไม่รอดแน่ ประธานาธิบดี คิม แด จุง ก็เลยผลักดันให้การต่อต้านการคอร์รัปชั่นให้เป็นวาระแห่งชาติ และมีการออกกฎหมายต่อต้านคอร์รัปชั่นใหม่ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการปราบปรามคอร์รัปชั่นอย่างแท้จริง และได้มีการตั้ง “คณะกรรมการอิสระต่อต้าน คอร์รัปชั่นเกาหลี” หรือ “ Korea Independent Commission Against Corruption : KICAC” ซึ่งมีหน้าที่และ โครงสร้างคล้ายๆกับ ICAC ของฮ่องกงซึ่งปราบคอร์รัปชั่นได้ดีและหลายๆประเทศได้เอารูปแบบองค์กรและ รูปแบบการทำงานไปเป็นต้นแบบใช้กันเลยทีเดียว ในปี พ.ศ. 2542 ดัชนีความโปร่งใสขององค์กรความโปร่งใส นานาชาติของเกาหลีใต้ยังได้แค่ 3.8 สูงกว่าเมืองไทยที่ได้ 3.2 อยู่ไม่มากเท่าไหร่ แต่พอหลังจากมีกฎหมาย ปราบปรามคอร์รัปชั่นใหม่และมี KICAC คะแนนดัชนีความโปร่งใสของเกาหลีใต้เริ่มทิ้งห่างของไทย
เกาหลีใต้เขาไม่ได้หยุดอยู่แค่ KICAC เท่านั้น เพราะเขามองว่าการมุ่งแต่การปราบปรามคอร์รัปชั่น เพียงอย่างเดียว จะไม่ทำให้เกาหลีใต้หลุดพ้นจากปัญหาคอร์รัปชั่นเชิงอุปถัมภ์ได้อย่างเด็ดขาด แต่เขามองว่าจะปราบคอร์รัปชั่น ที่ฝังรากลึกได้นั้นจะต้องสร้างระบบบริหารราชการให้โปร่งใสมี ประสิทธิภาพ และจะต้องทำให้ภาคธุรกิจและ ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแจ้งเบาะแสและป้องกัน การคอร์รัปชั่นให้ได้ ดังนั้นในปี พ.ศ. 2551 เกาหลีใต้จึงได้เอาอีกสองหน่วยงานคือ ผู้ตรวจการรัฐสภา และคณะกรรมการรับเรื่องอุทธรณ์การบริหารงาน มารวมเข้ากับ KICAC และเปลี่ยนชื่อเป็น “คณะกรรมการต่อต้านการทุจริตและสิทธิพลเมือง” หรือ “ Anti-Corruption and Civil Rights Commission of Korea : ACRC”
สนใจอ่านต่อได้ที่
http://www.aecconsultandconnect.co.th/th/aec-knowledge-3/article-about-aec/349-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9B%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89.html
รวมๆ ส่วนตัวคิดว่า ถ้าคนไทยเรายังไม่สามารถพัฒนาจิตใจให้เป็นสาธารณะและลดความเห็นแก่ตัวลงได้ ยากครับที่จะสู้กับใครๆ
กี่ครั้งแล้วที่เราเห็น บางสิ่ง บางอย่าง ไม่ถูกต้อง
แล้วพวกเราก็มองข้าม หรือไม่ก็ร่วมทำสิ่งนั้นด้วย
ขนาดเรื่องเล็กๆ ขยะทิ้งที่ไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่บ้านของตัวเอง

หรือบางทีไปเที่ยวทะเล กับอุดหนุนพวกร้านขายอาหารที่ทำผิดกฏหมาย บุกรุกชายหาด


หรือเวลาหาโรงเรียนดีๆ ดังๆ ให้ลูก
พ่อ แม่ บางคน ใช้เงิน หรือไม่ก็ต้องหาผู้ที่มีอำนาจที่จะสามารถฝากลูกหลานของตัวเองได้

พอลูกหลานโตขึ้นหน่อย ถ้างานไหนที่สามารถฝากลูกหลานทำได้ ก็จะวิ่งเต้นหาผู้ใหญ่
รวมถึงพฤติกรรมอีกหลายๆอย่างที่เกาะลึกในสังคมเรา
แต่ตัวที่สำคัญที่สุดคือการคอรัปชั่น
การคอรัปชั่นที่เกาะกินมานาน พวกนักการเมืองรวย แต่ตัวเองได้ผลประโยชน์ก็ไม่เป็นไร สังคมไทยยอมรับได้
เคยมีผลสำรวจว่า คนไทยร้อยละ 63 ยอมรับรัฐบาลโกง หากตัวเองได้ประโยชน์ด้วย
ตัวอย่างเกาหลีใต้
เขียนโดย เกษมสันต์ วีระกุล
ตีพิมพ์ลงในนิตยสาร Mix Magazine ฉบับเดือน กันยายน 2557
พ.ศ. 2503 คนเกาหลีใต้มีรายได้เฉลี่ยคนละ 5,100 บาท คนไทยมีรายได้เฉลี่ยคนละ 3,300 บาทต่อปี ต่างกัน แค่ 1,800 เท่านั้นเอง
แต่พอมาถึงปี พ.ศ. 2556 ขณะที่คนไทยมีรายได้เฉลี่ย 188,000 บาท คนเกาหลีใต้ กลับมี รายได้สูงถึง 842,000 บาท ต่างกัน 654,000 บาท
ที่เขาทำได้นอกจากจะเป็นเพราะเขามียุทธศาสตร์ ในการพัฒนาประเทศที่ชัดเจนกว่าเราแล้ว อีกเรื่องที่ผมคิดว่ามีผลอย่างมากก็คือ เขาปราบคอร์รัปชั่นได้เก่งกว่าเรา ทั้งๆที่ในอดีตนั้นการคอร์รัปชั่นในเกาหลีใต้นั้นเคยหนักหนาสาหัสไม่น้อยไปกว่าในไทย
การคอร์รัปชั่นในเกาหลีใต้เริ่มพร้อมๆกับการที่ประเทศเขาได้เอกราชจากญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2491 เพราะในตอนนั้น รัฐบาลได้ยึดทรัพย์สินและโรงงานของญี่ปุ่นมาเป็นของรัฐ ใครอยากจะได้ของดีราคาถูกก็ต้องวิ่งเข้าหารัฐบาล แต่คนมีสิทธิ์ก็จะมีเพียงคนที่มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลเท่านั้น กลุ่มธุรกิจไหนที่สายสัมพันธ์ดีกว่ากลุ่มอื่นๆ ก็จะเติบใหญ่กลายเป็น “แชโบล” ซึ่งเป็นภาษาเกาหลีแปลว่า “ธุรกิจขนาดใหญ่”
ความสัมพันธ์ระหว่างแชโบลกับการเมืองจึงเป็น “ความสัมพันธ์ในเชิงอุปถัมภ์” เหมือนๆกับในเมืองไทย หากใครหันไปสนับสนุนฝ่ายตรงข้ามก็จะถูกประธานาธิบดีใช้กฎหมายปราบปรามคอร์รัปชั่นจับติดคุกหมด ดังนั้นก่อนปี พ.ศ. 2540 การปราบคอร์รัปชั่นจึงเป็นเพียงข้ออ้างบังหน้าที่มีเอาไว้ใช้ ปราบศัตรูทางการเมือง เท่านั้นเอง
เติบใหญ่ทางธุรกิจก็ยังไม่พอ แชโบลยังอาศัยสายสัมพันธ์ที่ดีรุกคืบเข้าไปซื้อหุ้นธนาคารที่รัฐบาลเคยถือหุ้นอยู่ ซึ่งรัฐบาลก็เต็มใจขายเพราะมีแรงกดดันจากนานาชาติให้เปิดเสรีทางการเงิน พอได้เป็นเจ้าของธนาคารด้วย แชโบลก็เลยสนุกสนานกับการเอาเงินธนาคารที่ตัวเองเป็นเจ้าของไปลงทุนแบบไม่ยั้งไม่ต้องคิดถึงต้นทุนดอกเบี้ยจนทำให้สัดส่วนหนี้ต่อสินทรัพย์ของแชโบลนั้นโตเป็นบอลลูนเลยทีเดียว และพอวิกฤติต้มยำกุ้งซึ่งเริ่มต้น จากเมืองไทยลามไปถึงเกาหลีใต้ เศรษฐกิจที่นั่นก็เลยพังพาบไปพร้อมๆกับเมืองไทยเลยทีเดียว
ตอนนั้นล่ะครับที่เกาหลีใต้เขารู้ว่าถ้าปล่อยให้มีการโกงแบบนี้ต่อไป เขาไปไม่รอดแน่ ประธานาธิบดี คิม แด จุง ก็เลยผลักดันให้การต่อต้านการคอร์รัปชั่นให้เป็นวาระแห่งชาติ และมีการออกกฎหมายต่อต้านคอร์รัปชั่นใหม่ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการปราบปรามคอร์รัปชั่นอย่างแท้จริง และได้มีการตั้ง “คณะกรรมการอิสระต่อต้าน คอร์รัปชั่นเกาหลี” หรือ “ Korea Independent Commission Against Corruption : KICAC” ซึ่งมีหน้าที่และ โครงสร้างคล้ายๆกับ ICAC ของฮ่องกงซึ่งปราบคอร์รัปชั่นได้ดีและหลายๆประเทศได้เอารูปแบบองค์กรและ รูปแบบการทำงานไปเป็นต้นแบบใช้กันเลยทีเดียว ในปี พ.ศ. 2542 ดัชนีความโปร่งใสขององค์กรความโปร่งใส นานาชาติของเกาหลีใต้ยังได้แค่ 3.8 สูงกว่าเมืองไทยที่ได้ 3.2 อยู่ไม่มากเท่าไหร่ แต่พอหลังจากมีกฎหมาย ปราบปรามคอร์รัปชั่นใหม่และมี KICAC คะแนนดัชนีความโปร่งใสของเกาหลีใต้เริ่มทิ้งห่างของไทย
เกาหลีใต้เขาไม่ได้หยุดอยู่แค่ KICAC เท่านั้น เพราะเขามองว่าการมุ่งแต่การปราบปรามคอร์รัปชั่น เพียงอย่างเดียว จะไม่ทำให้เกาหลีใต้หลุดพ้นจากปัญหาคอร์รัปชั่นเชิงอุปถัมภ์ได้อย่างเด็ดขาด แต่เขามองว่าจะปราบคอร์รัปชั่น ที่ฝังรากลึกได้นั้นจะต้องสร้างระบบบริหารราชการให้โปร่งใสมี ประสิทธิภาพ และจะต้องทำให้ภาคธุรกิจและ ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแจ้งเบาะแสและป้องกัน การคอร์รัปชั่นให้ได้ ดังนั้นในปี พ.ศ. 2551 เกาหลีใต้จึงได้เอาอีกสองหน่วยงานคือ ผู้ตรวจการรัฐสภา และคณะกรรมการรับเรื่องอุทธรณ์การบริหารงาน มารวมเข้ากับ KICAC และเปลี่ยนชื่อเป็น “คณะกรรมการต่อต้านการทุจริตและสิทธิพลเมือง” หรือ “ Anti-Corruption and Civil Rights Commission of Korea : ACRC”
สนใจอ่านต่อได้ที่
http://www.aecconsultandconnect.co.th/th/aec-knowledge-3/article-about-aec/349-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9B%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89.html
รวมๆ ส่วนตัวคิดว่า ถ้าคนไทยเรายังไม่สามารถพัฒนาจิตใจให้เป็นสาธารณะและลดความเห็นแก่ตัวลงได้ ยากครับที่จะสู้กับใครๆ
แสดงความคิดเห็น
สิงคโปร์ก็แค่เสือกระดาษเรามีไรสู้เขาไม่ได้
เรามีอะไรที่สู้ สิงคโปร์ไม่ได้ทั้งๆที่เราเหนือกว่าทุกด้านถ้าไม่ทำตัวเอง เขาก็แค่เสือกระดาษ เรื่องบ้างเรื่องเราเป็นศูยน์กลางอาเซี่ยนได้เลย
แต่เราก็อิงสิงค์โปร์มันจำเป็นขนาดนั้นเลยหรอ
คนไทยเก่งนะมีความสามารถด้วยแต่ทำไมเราสู้เขาไม่ได้
คนไทยเก่งๆเยอะเปรียนเหมือนน้ำมันมีค่าก็ต่อเหมือนสำรวจเจอเอง ผมไม่เชื่อว่าคนไทยโง่ แต่ขาดโอกาศลงมือทำมากกว่าห้ามคิดเองต้องเชื่อนาย ปราชญ์ชาวบ้านยังเก่งเลยคิดดูลองไปฟังความเห็นและหลักการจะรู้ถึงการมองการไกล
สิงคโปร์ประเทศเล็กๆแต่เป็นศูยน์กลางธนาคารอาเซี่ยน เป็นประเทศเล็กๆที่มีท่าเรือสำคัญ
สิ่งที่สิงคโปร์มีเราก็มีได้ทำไมเราปล่อยให้เขามีถ้าเป็นประเทศอื่นเขาไม่ปล่อยให้สิงค์โปร์มีหรอกสมัยก่อนเรามีความพร้อมแทบทุกด้านเป็นเจ้าอาเซียนเลยแหละเตะตัดขาสิงค์โปร์ได้หมดและแต่ไม่ทำเหนือกว่าเขาเยอะแต่ทำตัวด้วยกว่าเขาเชอะ
ทหารเขาก็เหนือกว่าเรา
ตลาดหุ้นเขาก็เหนือกว่าเรา
เศรษฐกิจก็ดีกว่าเรา
ไม่มีหรือไม่ทำสำหรับประเทศไทย
เป็นเพราะเราหยุดให้เขาได้แซงเราทั้งๆที่ถ้าเราไม่หยุดเขาจะไม่มีวันี้ เขาก็แค่เสือกระดาษเราทำให้เขายิ่งใหญ่เอง
หลายๆอย่าประเทศไทยทำได้แต่ไม่ทำทำไมถึงไม่ทำมันน่าคิดมาก
ประไทยถ้าเป็นคนก็เหมือนคนแก่เราพอและได้เท่านี้ก็พอคนข้างๆจะเป็นไงก็ช่าง
ทำไมประเทศเราต้องทำตัวชิวๆด้วยเหมือนคนไม่เดือดร้อนไรเลยอยู่ไปวันๆจริงใหม่