เมื่อปี 2555 เป็นปีที่ผมเจ็บช้ำและผิดหวังกับตัวเองมากที่สุด นั่นก็คือ เรียนไม่จบตามกำหนดครับ อ่านไม่ผิดหรอกครับ ผมติด F วิชา แคลคูลัส 1 ในเทอมสุดท้าย ตอนที่ในสมองมีแต่แผนว่าจะสมัครงานที่ไหน จะทำงานอะไร คือมันพังหมดเลยครับ 555+ (นึกภาพตอนที่ตัวเองเศร้าแล้วมันขำ)
พอได้สติเเราก็มานั่งนึกถึงสาเหตุว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ ก็พบหลายๆคำตอบ
1. ผมไม่ถนัดวิชาแคลคูลัสเลย แต่ดีนเอาวิชานี้ไว้เทอมสุดท้าย โดยไม่เผื่อเวลาสำหรับติด F หรือ เรียนไม่ไหว เพราะอาจจะเอาไว้ลงเทอมถัดไปด้ ถ้าเรียนก่อนหน้านี้
2. ผมทุ่มเวลาไปกับการเตรียมตัวสมัครงาน หางาน กิจกรรมกับเพื่อนๆ จนลืมทุ่มเทไปกับวิชาที่ตัวเองไม่ถนัด ซึ่งจริงๆแล้วควรจะเอาใจใส่เป็น 2เท่า เรียกง่าย ทุ่มเทผิดที่ผิดเวลา
3.ไม่ว่างแผน ข้อนี้สำคัญสุดเลย คือผมไม่วางแผนการเรียน ไม่ใช่แผนการเรียนวิชานี้นะครับ แต่คือแผนการเรียนทั้งหมด เพราะถ้าผมประเมินตัวเองด้วยความรอบคอบ ผมก็จะเห็นว่าไม่ควรจะลงวิชานี้ในเทอมสุดท้าย
ในช่วงที่Hurt และเคว้ง ผมก็ใช้เวลาไปการอ่านหนังสือ และได้มีโอกาศอ่านเจอบทความเกี่ยวกับการวางแผนชีวิต (จำชื่อหนังสือไม่ได้ครับ จดบันทึกไว้แค่เนื้อหา) มันเป็นเรื่องของการกำหนดเป้าหมายชีวิต เราสามารประยุกต์ใช้กับเป้าหมายใดๆก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเป้าหมายใหญ่ในชีวิตเท่านั้นครับ
โดยในหนังสือเขาบอกว่า #ชีวิตต้องกำหนดเป้าหมาย ใช้คำว่า #ต้อง แสดงว่ามันสำคัญมาก โดยเป้าหมายที่เราตั้งไว้ไม่จำเป็นต้องมีเป้าหมายเดียว อาจมีหลายเป้าหมาย และควรมีเป็าหมาย ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว แบ่งไปตามความสำคัญและจุดที่แสดงออกถึงความสำเร็จของชีวิต
เป็าหมายที่ดี ต้องมีลักษณะดังนี้
- SPECIFIC เป้าหมายต้องชัดเจน
- MEASURABLE เป็าหมายนั้นต้องสามารถวัดผลได้
- ACHIEVE บรรลุผลตามเป้าหมาย
- REALITY เป้าหมายนั้นต้องสมเหตุสมผล ไม่เกินจริง
- TIMING เป้าหมายนั้นต้องมีกำหนดเวลาที่ชัดเจน กี่ปี กี่เดือน ว่าไป
พอได้อ่านพิจรณาแล้ว ผมก็กลับมาวิเคราะห์ตัวเองครับ ซึ่งตอนนั้นพอผมรู้ว่าตัวเองติด F ผมตัดสินใจ drop เรียนไปหนึ่งปีเลยครับ ระหว่างนั่นก็ไปทำงานครับ (สมัครแบบคนจบ ป.ตรี บอกความจริงไปเขาเลย) เหตุที่ต้องไปทำงานก็เพราะ ไม่ขอตังพ่อแม่แล้วครับ หาตังใช้เอง เก็บตังจ่ายค่าเทอมเอง ผ่านไปหนึ่งปีก็กลับมาลงทะเบียนครับ
ในหนึ่งเทอมทางมหาวิทยาลัยกำหนดว่าต้องลงไม่ต่ำกว่า 9 หน่วยกิจ แต่ผมทำเรื่องขอเรียนแค่วิชาเดียว 3หน่วยกิจ ซึ่งมหาวิทยาลัยก็อนุญาต ซึ่งเป็นผลดีกับเอง เพราะได้ทุ่มเทแค่วิชาเดียว
ผมกำหนดเป้าหมายว่า ผมจะต้องผ่านวิชานี้และภายในเทอมนี้ให้ได้ ตั้งเป้าว่าคะแนนสอบมิดเทอมจะต้องเกินค่ามีน ซึ่งผมก็ทำได้จริงๆ พอรู้ว่าตัวเองได้เกินค่ามีน ผมก็ตั้งค่าความสำเร็จของตัวเองแบบสมเหตุสมผล คือ ผมจะต้องผ่านวิชานี้ด้วยเกรด D ฮ่าๆๆ นี่แหละครับสมเหตุสมผลสำหรับคนโง่แคล พอผมกำหนดตัวเองแบบนี้มันเลยทำให้ไม่เครียดและบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
21 ต.ค. 56 ประกาศผลการเรียน ปรากฏว่าผมได้ D โอ้วววววว น้ำตาไหลพราก ความสำเร็จมาจากความอดทน กำหนดเป้าหมายและเดินตามแผนเพื่อไปถึงเป้าหมาย มันสุดๆจริงๆครับ หลายๆคนอาจจะมองว่าเป็นสิ่งเล็กๆนะครับ แต่สำหรับผมมันช่วยยกระดับและเปลี่ยนแปลงวิธีคิดของผมไปอย่างสิ้นเชิงเลยครับ
ถ้าตอนนี้ใครประสบปัญหาอะไรอยู่ ลองเอาวิธีนี้ไปใช้นะครับ เป้าหมายที่มันไม่ชัดเจน อาจจะชัดเจนและส่องสว่างขึ้นมาก็ได้ครับ
ชีวิตต้องกำหนดเป้าหมาย
พอได้สติเเราก็มานั่งนึกถึงสาเหตุว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ ก็พบหลายๆคำตอบ
1. ผมไม่ถนัดวิชาแคลคูลัสเลย แต่ดีนเอาวิชานี้ไว้เทอมสุดท้าย โดยไม่เผื่อเวลาสำหรับติด F หรือ เรียนไม่ไหว เพราะอาจจะเอาไว้ลงเทอมถัดไปด้ ถ้าเรียนก่อนหน้านี้
2. ผมทุ่มเวลาไปกับการเตรียมตัวสมัครงาน หางาน กิจกรรมกับเพื่อนๆ จนลืมทุ่มเทไปกับวิชาที่ตัวเองไม่ถนัด ซึ่งจริงๆแล้วควรจะเอาใจใส่เป็น 2เท่า เรียกง่าย ทุ่มเทผิดที่ผิดเวลา
3.ไม่ว่างแผน ข้อนี้สำคัญสุดเลย คือผมไม่วางแผนการเรียน ไม่ใช่แผนการเรียนวิชานี้นะครับ แต่คือแผนการเรียนทั้งหมด เพราะถ้าผมประเมินตัวเองด้วยความรอบคอบ ผมก็จะเห็นว่าไม่ควรจะลงวิชานี้ในเทอมสุดท้าย
ในช่วงที่Hurt และเคว้ง ผมก็ใช้เวลาไปการอ่านหนังสือ และได้มีโอกาศอ่านเจอบทความเกี่ยวกับการวางแผนชีวิต (จำชื่อหนังสือไม่ได้ครับ จดบันทึกไว้แค่เนื้อหา) มันเป็นเรื่องของการกำหนดเป้าหมายชีวิต เราสามารประยุกต์ใช้กับเป้าหมายใดๆก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเป้าหมายใหญ่ในชีวิตเท่านั้นครับ
โดยในหนังสือเขาบอกว่า #ชีวิตต้องกำหนดเป้าหมาย ใช้คำว่า #ต้อง แสดงว่ามันสำคัญมาก โดยเป้าหมายที่เราตั้งไว้ไม่จำเป็นต้องมีเป้าหมายเดียว อาจมีหลายเป้าหมาย และควรมีเป็าหมาย ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว แบ่งไปตามความสำคัญและจุดที่แสดงออกถึงความสำเร็จของชีวิต
เป็าหมายที่ดี ต้องมีลักษณะดังนี้
- SPECIFIC เป้าหมายต้องชัดเจน
- MEASURABLE เป็าหมายนั้นต้องสามารถวัดผลได้
- ACHIEVE บรรลุผลตามเป้าหมาย
- REALITY เป้าหมายนั้นต้องสมเหตุสมผล ไม่เกินจริง
- TIMING เป้าหมายนั้นต้องมีกำหนดเวลาที่ชัดเจน กี่ปี กี่เดือน ว่าไป
พอได้อ่านพิจรณาแล้ว ผมก็กลับมาวิเคราะห์ตัวเองครับ ซึ่งตอนนั้นพอผมรู้ว่าตัวเองติด F ผมตัดสินใจ drop เรียนไปหนึ่งปีเลยครับ ระหว่างนั่นก็ไปทำงานครับ (สมัครแบบคนจบ ป.ตรี บอกความจริงไปเขาเลย) เหตุที่ต้องไปทำงานก็เพราะ ไม่ขอตังพ่อแม่แล้วครับ หาตังใช้เอง เก็บตังจ่ายค่าเทอมเอง ผ่านไปหนึ่งปีก็กลับมาลงทะเบียนครับ
ในหนึ่งเทอมทางมหาวิทยาลัยกำหนดว่าต้องลงไม่ต่ำกว่า 9 หน่วยกิจ แต่ผมทำเรื่องขอเรียนแค่วิชาเดียว 3หน่วยกิจ ซึ่งมหาวิทยาลัยก็อนุญาต ซึ่งเป็นผลดีกับเอง เพราะได้ทุ่มเทแค่วิชาเดียว
ผมกำหนดเป้าหมายว่า ผมจะต้องผ่านวิชานี้และภายในเทอมนี้ให้ได้ ตั้งเป้าว่าคะแนนสอบมิดเทอมจะต้องเกินค่ามีน ซึ่งผมก็ทำได้จริงๆ พอรู้ว่าตัวเองได้เกินค่ามีน ผมก็ตั้งค่าความสำเร็จของตัวเองแบบสมเหตุสมผล คือ ผมจะต้องผ่านวิชานี้ด้วยเกรด D ฮ่าๆๆ นี่แหละครับสมเหตุสมผลสำหรับคนโง่แคล พอผมกำหนดตัวเองแบบนี้มันเลยทำให้ไม่เครียดและบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
21 ต.ค. 56 ประกาศผลการเรียน ปรากฏว่าผมได้ D โอ้วววววว น้ำตาไหลพราก ความสำเร็จมาจากความอดทน กำหนดเป้าหมายและเดินตามแผนเพื่อไปถึงเป้าหมาย มันสุดๆจริงๆครับ หลายๆคนอาจจะมองว่าเป็นสิ่งเล็กๆนะครับ แต่สำหรับผมมันช่วยยกระดับและเปลี่ยนแปลงวิธีคิดของผมไปอย่างสิ้นเชิงเลยครับ
ถ้าตอนนี้ใครประสบปัญหาอะไรอยู่ ลองเอาวิธีนี้ไปใช้นะครับ เป้าหมายที่มันไม่ชัดเจน อาจจะชัดเจนและส่องสว่างขึ้นมาก็ได้ครับ