สวัสดีครับ พอดีมีคนส่งข่าวมาว่ากระทู้แนว "คณิตศาสตร์สำคัญอย่างไร" เหมือนกำลังเป็นที่ถกเถียงกันในนี้ (เช่น
http://pantip.com/topic/33983481) ปัญหาเรื่องว่า "เราเรียนคณิตศาสตร์กันไปทำไม" นั้น ความจริงตอบให้รอบด้านแล้วต้องใช้เนื้อที่มาก ด้วยเงื่อนไขเวลา(ที่ต้องใช้การคิดและเรียบเรียงคำตอบดีๆ) วันนี้จึงขอลองตอบเพียงแง่หนึ่งของปัญหาดูก่อนนะครับ
และขออนุญาตแยกออกมาเป็นหัวข้อใหม่ไปเลย เพราะคิดว่าเรื่องที่เขียนมีประโยชน์ในตัวมันเองนอกจากใช้ตอบคำถามของกระทู้ดังกล่าวครับ
(ป.ล. เรื่องนี้ปรับภาษาจากเรื่องที่ผมเคยเขียนที่อื่นมาก่อน ถ้าไปพบข้อความแทบจะเหมือนกันที่อื่น ก็คงเป็นของผมเองครับ ไม่ได้แอบขโมยของคนอื่นมาแต่อย่างใด แหะๆ)
ถาม "หลักสูตรเลขในโรงเรียน ทำไมถึงกลายเป็นสภาพเรียนเกินจำเป็นอย่างทุกวันนี้"
ตอบ ขอเล่านิทานดังนี้ครับ
"เรียนเลขยากๆ ไปทำไม สุดท้ายก็ได้ใช้แต่บวกลบคูณหารง่ายๆ ไม่กี่อย่าง"
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สมัยที่มังกรยังเต็มพิภพ เวลามังกรมาบุกหมู่บ้านทีหนึ่ง ก็ต้องให้ผู้กล้าออกไปปราบให้
ทีนี้ผู้กล้าส่วนใหญ่ไม่สู้มังกรด้วยดาบ เพราะมีหวังถูกกระทืบไส้แตกตายก่อน อาวุธที่ผู้กล้า 9 ใน 10 คนแนะนำก็คือ "คันศรกับธนู" เพราะซุ่มยิงจากไกลๆ ได้ (ส่วนผู้กล้าอีก 1 คนมันได้จอมมารเป็นเมียไปแล้ว เลยแปลงสภาพเป็นพ่อบ้านใจกล้า งดออกความเห็น)
แต่ธนูก็ใช้ยากของมัน นอกจากจะพลาดเป้าจนกระสุนหมดได้แล้วยังโจมตีเบา เวลาจะจัดการมังกรต้องยิงตรงจุดอ่อนที่เป็นจุดสีแดงเล็กๆ เหนือคิ้วซ้ายของมังกรเท่านั้น ด้วยความยากอย่างนี้เองจึงมีแต่ผู้กล้าที่บังเอิญมีพรสวรรค์ในการยิงธนูเท่านั้นที่จะปราบมังกรได้
ชาวบ้านเองก็ไม่ได้อยากให้เหล่าผู้กล้าผูกขาดการปราบมังกรมากนัก (ผู้กล้าบางทีก็มาช้า บางทีก็ไม่มา หลังๆ ผู้กล้ายังชักได้ใจเรียกค่าจ้างสูงลิ่ว) เลยพยายามเรียนรู้เคล็ดลับในการยิงธนู แต่ไม่เป็นผล เพราะผู้กล้าเป็น "ผู้มีพรสวรรค์" คือยิงได้แต่อธิบายไม่ถูก ไปถามว่ายิงยังไงให้โดน พี่แกก็บอกว่า "ไม่รู้แหะ แบบมันเป็นอินเนอร์ เป็นฟิลลิ่ง ยิงๆ ไป Don't think. Feel." เป็นอันสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้เหล่าชาวบ้านอย่างยิ่ง
จนกระทั่งวันหนึ่ง เนิร์ด... ไม่ใช่ นักปราชญ์ประจำเมืองแห่งหนึ่งที่พินิจพิเคราะห์การสังหารมังกรของผู้กล้าต่างๆ มานานก็ค้นพบ "วิชา" ที่อธิบายได้เป็นหลักการได้ว่า ศรทุกดอกที่โดนจุดสีแดงนั้น ยิงในแบบพิเศษเหมือนกันอย่างไร นักปราชญ์นำวิชานั้นมาบอกชาวบ้าน แล้วในที่สุดหลังจากพยายามอยู่หลายครั้ง ชาวไร่ลำไยผู้หนึ่งก็เป็นไพร่คนแรกในแผ่นดินที่สามารถสังหารมังกรได้สำเร็จด้วยข้อสังเกตนั้น
กรมเมืองของเมืองแห่งนั้นจึงเห็นประโยชน์ของ "วิชาฆ่ามังกร" ดังกล่าว เริ่มสนับสนุนให้คนเข้าฝึกการใช้ธนูเพื่อฆ่ามังกร นานๆ ไปทั้งแผ่นดินก็เป็นภาคบังคับว่าทุกคนต้องรู้ "วิชาฆ่ามังกร" เพราะยังมีโอกาสที่คนจะโชคร้ายต้องจัดการมังกรด้วยตัวเองอยู่บ้าง
เวลาผ่านไปนับร้อยปี เมื่อคนฆ่ามังกรได้มากขึ้น มังกรก็ลดลงมากจนแทบไม่มีให้เห็น มังกรไม่ใช่ส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอีกต่อไป ถ้าใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ได้อยู่แนวหน้าออกไปสำรวจดินแดนใหม่ๆ อย่าว่าแต่ไม่เคยฆ่ามังกร กระทั่งไม่เคยเจอมังกรเลยตลอดชีวิตก็ไม่แปลก บัดนี้ขอเพียงผู้กล้าจำนวนหยิบมือคอยดูแลความปลอดภัยตามขอบขัณฑ์ คนทั้งแผ่นดินก็ปลอดภัยดี อีกทั้งวิทยาการยังก้าวหน้า จากธนูคันศรกลายเป็นมีปืนสไนเปอร์ราคาถูก มีขายตามห้างร้านและแผงสินค้าชั้นนำทั่วไป ฉุกเฉินจริงๆ ก็หยิบใช้ได้ง่ายๆ โรงเรียนอาจไม่ได้สอนวิธีใช้ปืนสไนเปอร์ แต่เป็นความรู้รอบตัวของชาวบ้านทุกคนว่าแค่เล็งดีๆ (มีเลเซอร์นำวิถีให้อีกต่างหาก) แล้วเหนี่ยวไกก็เรียบร้อย
แล้ววันหนึ่งก็มีคนตั้งคำถามว่า "เราจะเรียนรู้วิธีใช้ธนูไปทำไม วุ่นวายยุ่งยาก จบออกมาก็ไม่ได้ใช้ มีสไนเปอร์กระบอกเดียว เหนี่ยวเปรี้ยงก็เรียบร้อย"
And we and our math curriculum lived together unhappily ever after.
(เล่าเรื่อง) เล่านิทานตอบว่าหลักสูตรเลขในโรงเรียนทำไมจึงเรียนเกินจำเป็น
และขออนุญาตแยกออกมาเป็นหัวข้อใหม่ไปเลย เพราะคิดว่าเรื่องที่เขียนมีประโยชน์ในตัวมันเองนอกจากใช้ตอบคำถามของกระทู้ดังกล่าวครับ
(ป.ล. เรื่องนี้ปรับภาษาจากเรื่องที่ผมเคยเขียนที่อื่นมาก่อน ถ้าไปพบข้อความแทบจะเหมือนกันที่อื่น ก็คงเป็นของผมเองครับ ไม่ได้แอบขโมยของคนอื่นมาแต่อย่างใด แหะๆ)
ถาม "หลักสูตรเลขในโรงเรียน ทำไมถึงกลายเป็นสภาพเรียนเกินจำเป็นอย่างทุกวันนี้"
ตอบ ขอเล่านิทานดังนี้ครับ
"เรียนเลขยากๆ ไปทำไม สุดท้ายก็ได้ใช้แต่บวกลบคูณหารง่ายๆ ไม่กี่อย่าง"
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สมัยที่มังกรยังเต็มพิภพ เวลามังกรมาบุกหมู่บ้านทีหนึ่ง ก็ต้องให้ผู้กล้าออกไปปราบให้
ทีนี้ผู้กล้าส่วนใหญ่ไม่สู้มังกรด้วยดาบ เพราะมีหวังถูกกระทืบไส้แตกตายก่อน อาวุธที่ผู้กล้า 9 ใน 10 คนแนะนำก็คือ "คันศรกับธนู" เพราะซุ่มยิงจากไกลๆ ได้ (ส่วนผู้กล้าอีก 1 คนมันได้จอมมารเป็นเมียไปแล้ว เลยแปลงสภาพเป็นพ่อบ้านใจกล้า งดออกความเห็น)
แต่ธนูก็ใช้ยากของมัน นอกจากจะพลาดเป้าจนกระสุนหมดได้แล้วยังโจมตีเบา เวลาจะจัดการมังกรต้องยิงตรงจุดอ่อนที่เป็นจุดสีแดงเล็กๆ เหนือคิ้วซ้ายของมังกรเท่านั้น ด้วยความยากอย่างนี้เองจึงมีแต่ผู้กล้าที่บังเอิญมีพรสวรรค์ในการยิงธนูเท่านั้นที่จะปราบมังกรได้
ชาวบ้านเองก็ไม่ได้อยากให้เหล่าผู้กล้าผูกขาดการปราบมังกรมากนัก (ผู้กล้าบางทีก็มาช้า บางทีก็ไม่มา หลังๆ ผู้กล้ายังชักได้ใจเรียกค่าจ้างสูงลิ่ว) เลยพยายามเรียนรู้เคล็ดลับในการยิงธนู แต่ไม่เป็นผล เพราะผู้กล้าเป็น "ผู้มีพรสวรรค์" คือยิงได้แต่อธิบายไม่ถูก ไปถามว่ายิงยังไงให้โดน พี่แกก็บอกว่า "ไม่รู้แหะ แบบมันเป็นอินเนอร์ เป็นฟิลลิ่ง ยิงๆ ไป Don't think. Feel." เป็นอันสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้เหล่าชาวบ้านอย่างยิ่ง
จนกระทั่งวันหนึ่ง เนิร์ด... ไม่ใช่ นักปราชญ์ประจำเมืองแห่งหนึ่งที่พินิจพิเคราะห์การสังหารมังกรของผู้กล้าต่างๆ มานานก็ค้นพบ "วิชา" ที่อธิบายได้เป็นหลักการได้ว่า ศรทุกดอกที่โดนจุดสีแดงนั้น ยิงในแบบพิเศษเหมือนกันอย่างไร นักปราชญ์นำวิชานั้นมาบอกชาวบ้าน แล้วในที่สุดหลังจากพยายามอยู่หลายครั้ง ชาวไร่ลำไยผู้หนึ่งก็เป็นไพร่คนแรกในแผ่นดินที่สามารถสังหารมังกรได้สำเร็จด้วยข้อสังเกตนั้น
กรมเมืองของเมืองแห่งนั้นจึงเห็นประโยชน์ของ "วิชาฆ่ามังกร" ดังกล่าว เริ่มสนับสนุนให้คนเข้าฝึกการใช้ธนูเพื่อฆ่ามังกร นานๆ ไปทั้งแผ่นดินก็เป็นภาคบังคับว่าทุกคนต้องรู้ "วิชาฆ่ามังกร" เพราะยังมีโอกาสที่คนจะโชคร้ายต้องจัดการมังกรด้วยตัวเองอยู่บ้าง
เวลาผ่านไปนับร้อยปี เมื่อคนฆ่ามังกรได้มากขึ้น มังกรก็ลดลงมากจนแทบไม่มีให้เห็น มังกรไม่ใช่ส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอีกต่อไป ถ้าใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ได้อยู่แนวหน้าออกไปสำรวจดินแดนใหม่ๆ อย่าว่าแต่ไม่เคยฆ่ามังกร กระทั่งไม่เคยเจอมังกรเลยตลอดชีวิตก็ไม่แปลก บัดนี้ขอเพียงผู้กล้าจำนวนหยิบมือคอยดูแลความปลอดภัยตามขอบขัณฑ์ คนทั้งแผ่นดินก็ปลอดภัยดี อีกทั้งวิทยาการยังก้าวหน้า จากธนูคันศรกลายเป็นมีปืนสไนเปอร์ราคาถูก มีขายตามห้างร้านและแผงสินค้าชั้นนำทั่วไป ฉุกเฉินจริงๆ ก็หยิบใช้ได้ง่ายๆ โรงเรียนอาจไม่ได้สอนวิธีใช้ปืนสไนเปอร์ แต่เป็นความรู้รอบตัวของชาวบ้านทุกคนว่าแค่เล็งดีๆ (มีเลเซอร์นำวิถีให้อีกต่างหาก) แล้วเหนี่ยวไกก็เรียบร้อย
แล้ววันหนึ่งก็มีคนตั้งคำถามว่า "เราจะเรียนรู้วิธีใช้ธนูไปทำไม วุ่นวายยุ่งยาก จบออกมาก็ไม่ได้ใช้ มีสไนเปอร์กระบอกเดียว เหนี่ยวเปรี้ยงก็เรียบร้อย"
And we and our math curriculum lived together unhappily ever after.